เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1341 ไม่ค่อยวางใจ + ตอนที่ 1342 หมู่บ้านประหลาด
ตอนที่ 1341 ไม่ค่อยวางใจ + ตอนที่ 1342 หมู่บ้านประหลาด
ตอนที่ 1341 ไม่ค่อยวางใจ
“คำพูดนี้ไปบอกกับเฟิ่งจิ่วเถิด!” เขาเดินออกไป เตรียมตัวไปฝึกกระบี่ที่ป่าไผ่
หยางหย่งเห็นเช่นนี้ก็ทำได้เพียงรับคำ มองอิ่งอีออกไปพร้อมกับนายท่าน ส่วนฮุยหลางยังนอนหลับอยู่บนต้นไม้ เขาจึงรอเฟิ่งจิ่วตื่นอยู่ในลานบ้าน
ครึ่งชั่วยามต่อมา เฟิ่งจิ่วก็ตื่น เธอล้างหน้าบ้วนปากออกจากห้องมา ก็เห็นหยางหย่งที่อยู่ในลานบ้าน “พ่อบ้าน ท่านมาทำไมหรือ?” ขณะกล่าวก็หันมองรอบๆ ครั้นไม่เห็นเซวียนหยวนโม่เจ๋อจึงถาม “เขาล่ะ?”
หยางหย่งค้อมกายคารวะ แล้วจึงกล่าว “นายท่านไปฝึกกระบี่ที่ป่าไผ่ ข้ามาขอโทษ เรื่องเมื่อวานข้าต้องขอภัยจริงๆ ข้า…”
เฟิ่งจิ่วโบกมือ “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเมื่อวาน แล้วข้าก็ไม่ได้ใส่ใจด้วย” เธอก้าวเข้าไปนั่งลงข้างโต๊ะหิน มองอาหารเช้าบนโต๊ะแล้วยักคิ้ว “ท่านเตรียมเองหรือ?”
“ขอรับ” เขาอมยิ้มพยักหน้ารับ
“ดูเหมือนจะไม่เลวเลย” เธอเอามือชันคางพลางเอ่ยชม
“ภูตหมอเชิญกินก่อนได้ กลับไปข้าจะให้คนยกมาให้นายท่านอีกหนึ่งชุด”
“อืม” เธอไม่ได้รอเซวียนหยวนโม่เจ๋อ ด้วยรู้ว่าปกติหากเขาฝึกกระบี่จะใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม ตนเองจึงกินก่อน แล้วค่อยให้หยางหย่งส่งสำรับอาหารร้อนๆ มาอีกชุดทีหลัง
หยางหย่งเองก็ไม่ได้ไปไหน แต่อยู่ในลานบ้านต่อ นั่งอยู่ข้างโต๊ะมองเธอพลางถามว่า “พรุ่งนี้ภูตหมอจะไปแล้วหรือ ต้องการให้ข้าส่งคนไปคุ้มกันหรือไม่?”
“ไม่ต้อง” เฟิ่งจิ่วโบกมือ “ข้าเดินทางคนเดียวสะดวกกว่า” เธอเช็ดมุมปาก แล้วกล่าว “วันหน้าข้าไม่อยู่ข้างกายเขา พวกท่านคอยดูแลเขาให้มากหน่อยก็พอแล้ว”
“ขอรับ ภูตหมอวางใจได้ พวกเราจะดูแลนายท่านแน่นอน”
ตอนเซวียนหยวนโม่เจ๋อกลับมา ก็เห็นทั้งสองพูดคุยกันอยู่ในลานบ้าน แววตาของเขาไหวระริก จากนั้นถึงเดินเข้าไปหา
ครั้นเห็นเซวียนหยวนโม่เจ๋อกลับมาแล้ว หยางหย่งยืนขึ้น “นายท่าน”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อเหลือบมองหยางหย่งแวบหนึ่ง “ข้างนอกไม่มีเรื่องให้ทำแล้วหรือ”
หยางหย่งชะงักเล็กน้อย ยิ้มตอบว่า “มีขอรับ ข้านึกขึ้นได้พอดีว่ามีเรื่องที่ยังสะสางไม่เสร็จ นายท่าน ภูตหมอ พวกท่านคุยกันเถิด ข้าขอตัวไปทำงานก่อน” กล่าวจบจึงค่อยถอยออกไป
พอเขาออกไปแล้ว เฟิ่งจิ่วค่อยยิ้มตาหยี กล่าวว่า “อาหารเช้าที่หยางหย่งยกมาให้ไม่เลวเลย สำรับเมื่อครู่ตอนข้ากินร้อนกำลังดี แต่เพราะรู้ว่าท่านจะไม่กลับมาเร็ว จึงไม่ได้เก็บไว้ให้ท่าน”
เธอมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังบึ้งตึงของเขา ยิ้มกล่าวว่า “ท่านนั่งลงก่อน อีกเดี๋ยวเขาจะให้คนยกสำรับอาหารร้อนๆ มาให้” ขณะพูด ก็เห็นเขายื่นมือมากุมมือเธอไว้
“เป็นอะไรไป?” เธอถามไถ่ มองเขาที่กำลังหลุบตามองมือของเธอ
“เจ้าจากไปคนเดียว ข้าไม่วางใจ”
อยู่ทางนี้ ผู้แข็งแกร่งระดับกำเนิดวิญญาณมีมากมายเหมือนกลุ่มเมฆ ผู้แข็งแกร่งเซียนเหินแม้ไม่ได้มีให้พบเห็นตามท้องถนน แต่แทบจะทุกตระกูลมีระดับเซียนเหินคนหนึ่งดูแลอยู่ ให้นางไปอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง เขาจะวางใจได้อย่างไร?
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เฟิ่งจิ่วหัวเราะทันที “ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องห่วงข้า ถึงจะสู้ไม่ได้ ข้าก็หนีได้นี่! อีกอย่าง ข้าจะระวังตัวไว้ ไม่ไปหาเรื่องใครส่งเดช”
ได้ยินเช่นนั้น เขาเหล่ตามองเธอแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมายิ่ง “คำพูดเจ้าไม่ค่อยน่าเชื่อถือ”
เฟิ่งจิ่วชะงัก ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “เอาละๆ เอาเป็นว่าท่านวางใจเถิด! ข้าดูแลตัวเองได้” เธอไม่อยากให้เขาส่งคนไปคอยคุ้มกันเธอลับๆ นั่นจะทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่
เขาเห็นเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงถามว่า “เก็บของเรียบร้อยหมดแล้วหรือ ข้าให้ทางครัวเตรียมอาหารจำพวกของว่างไว้ให้เจ้า เอาไว้กินระหว่างทางได้”
………………………………….
ตอนที่ 1342 หมู่บ้านประหลาด
“เจ๋อ ท่านช่างดีจริงๆ” เธอกอดแขนเขา ยิ้มตาหยีพลางกล่าว
“เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า ข้าไม่ดีกับเจ้า แล้วจะดีกับใคร?” เขาเผยรอยยิ้ม มองดูเธอที่อยู่ข้างกาย ในใจทั้งอาลัยอาวรณ์ทั้งเป็นห่วง
“โอ๊ย!”
มีเสียงร้องแหลมๆ ดังเข้ามา ทั้งสองคนหันไปมอง ที่แท้ก็เป็นฮุยหลางที่นอนหลับอยู่บนต้นไม้เผลอพลิกตัวแล้วตกลงมาจากด้านบน ทั้งตัวกระแทกลงบนพื้นอย่างจัง
“อูย!”
เขาครางเบาๆ นอนคว่ำหน้าบนพื้นอยู่นานถึงค่อยลุกขึ้นมา รู้สึกได้ว่าพวกเขากำลังมองตนเอง จึงเงยหน้าขึ้น ยิ้มเหยเกแล้วแก้ต่างว่า “คือว่า ข้าไม่ได้ยิน ข้าไม่ได้แอบฟังพวกท่านคุยกันเลย จริงๆ นะ”
อิ่งอีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกลานบ้านได้ยินก็กลอกตา นี่ไม่ต่างอะไรกับการบอกว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง[1]เลยแม้แต่น้อย
เซวียนหยวนโม่เจ๋อกับเฟิ่งจิ่วไม่ได้ถือสาเขา เหลือบมองแวบหนึ่งแล้วก็ละสายตาไป ฮุยหลางเห็นเช่นนี้จึงรีบออกไปข้างนอก พอก้าวพ้นประตูมาถึงค่อยตบหน้าอกอย่างโล่งใจ
“ใจหายใจคว่ำหมด”
อิ่งอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนละสายตาออกไปเงียบๆ นายท่านกับภูตหมอเคยชินกับเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นสมองอย่างเจ้าทึ่มนี่ไม่มีทางรอดตัวมาได้หรอก
วันนี้ เซวียนหยวนโม่เจ๋ออยู่กับเฟิ่งจิ่ว ทั้งสองทะนุถนอมช่วงเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันในวันสุดท้าย ไม่มีเรื่องหยุมหยิมกวนใจ มีเพียงช่วงเวลาอันอบอุ่นที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ยิ่งต้องแยกจาก ยิ่งอาลัยอาวรณ์ ทว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
กระทั่งเช้าตรู่วันต่อมา ตอนฟ้ายังไม่สาง เด็กหนุ่มที่ใส่ชุดขอทานเก่าๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าเปื้อนฝุ่นสีเทา ก็ออกจากจวนและมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง
บนที่สูงของจวน เซวียนหยวนโม่เจ๋อในชุดคลุมสีดำทั้งตัวยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น มองส่งเงาร่างนั้นจากไป…
ครึ่งเดือนต่อมา วันนี้ท้องฟ้ามืดมนเล็กน้อย เฟิ่งจิ่วที่เดินอยู่บนถนนคาบหญ้าหางหมาจิ้งจอกเส้นหนึ่งไว้ที่มุมปาก เดินไปพลาง สังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆ ไปพลาง
ครึ่งเดือนมานี้เธอเดินทางด้วยเท้า เดินทางผ่านมาหลายที่ ได้ทำความเข้าใจความเป็นอยู่ของคนแต่ละพื้นที่ในจักรวรรดิเซวียนหยวน ได้เห็นทัศนียภาพมากมาย และรู้จักกับผู้คนไม่น้อย
โดยเฉพาะเมื่อเธอแต่งตัวเป็นขอทานยิ่งเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกมาก ไม่ว่าใครล้วนพากันหลีกเลี่ยงเธอ ไม่สนใจจะมองเธอด้วยซ้ำ เพราะอย่างไรสภาพของเธอก็ดูสกปรกมอมแมม ไม่มีอะไรที่ผู้คนต้องการอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอไม่เจอเรื่องวุ่นวายอะไรเลยตลอดเส้นทาง
เมื่อทอดมองไปข้างหน้า เหมือนมีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ไกลออกไป ในใจเธอนึกยินดี มีหมู่บ้านเล็กๆ ก็แสดงว่ามีข้าวปลาอาหารร้อนๆ ให้กิน เฟิ่งจิ่วรีบสาวเท้าไปข้างหน้าเร็วๆ
หากบอกว่าเป็นขอทานทั้งปลอดภัยและไม่สะดุดตา เช่นนั้นการกินข้าวก็เป็นเรื่องยุ่งยากเรื่องหนึ่ง เพราะไม่มีเหลาสุราภัตตาคารไหนยอมให้ขอทานเข้าไปรบกวนแขกในร้าน
พอนึกได้ว่าข้างหน้ามีอาหารให้กิน ฝีเท้าของเธอก็ยิ่งเบาและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็มาถึงหมู่บ้านเล็กแห่งนั้น เพียงแต่พอเห็นหมู่บ้านที่ว่างเปล่าตรงหน้าก็อดตะลึงไม่ได้
“ทำไมไม่เหมือนที่คิดไว้เลย?” เธอพึมพำเบาๆ ก้าวเท้าเดินเข้าไปในนั้น ในใจลอบระแวดระวัง
หมู่บ้านทำไมไม่มีคนอยู่เลยล่ะ?
ที่นี่ดูเหมือนเป็นหมู่บ้านชนบทธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง รอบๆ ถนนยังมีธัญพืชที่ปลูกไว้ เมื่อมองธัญพืชที่เติบโตได้ดีจนน่าชื่นใจเหล่านั้น เธอรู้สึกว่าที่นี่ไม่เหมือนที่ที่ไม่มีคนอยู่
ด้วยเหตุนี้จึงเดินไปข้างในเรื่อยๆ พลางตะโกนเรียก “มีคนอยู่ไหม มี…”
ครั้นกล่าว เสียงพูดก็ติดอยู่ในลำคออย่างไม่ทันตั้งตัว ตอนที่เธอเดินเลี้ยวบนถนนเส้นหนึ่ง ก็บังเอิญเหลือบเห็นบางอย่างจนต้องตกใจสะดุ้ง
………………………………….
[1] ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึง อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้แทน