เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1359 ไสหัวไป + ตอนที่ 1360 ก็เขานั่นแหละ
ตอนที่ 1359 ไสหัวไป + ตอนที่ 1360 ก็เขานั่นแหละ
ตอนที่ 1359 ไสหัวไป
“ขอบคุณท่านลุงมาก” เฟิ่งจิ่วกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงค่อยกระโดดขึ้นไปนั่งบนกองฟางที่กองสูงอยู่บนเกวียน
“ดึงข้าหน่อยๆ”
จูเยวี่ยเดินเข้ามา ตั้งแต่ถูกขังอยู่ในโอ่งน้ำเขาก็รู้สึกอ่อนแรงเล็กน้อย แต่ที่น่าแปลกคือ พอฟื้นขึ้นมาเขารู้สึกเหมือนมีพลังงานขุมหนึ่งคอยหนุนส่งเขาอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงเดินไม่ได้ไกลขนาดนี้ เพียงแต่พลังงานนั้นคืออะไร แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้
เห็นเขาปีนป่ายเกวียนอยู่นานก็ยังขึ้นมาไม่ได้ เฟิ่งจิ่วจึงยื่นมือไปดึงเขาขึ้นมา
“ฮู่!”
จูเยวี่ยที่ล้มนั่งบนกองฟางเอนกายลงไปนอนเลย “เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
“นั่งให้ดี” ชายฉกรรจ์ที่ขับเกวียนอยู่ตะโกนเสียงดัง จากนั้นค่อยบังคับเกวียนให้เดินหน้าต่อ
“ขอทานน้อย เจ้าก็จะไปเมืองโอสถตะวันด้วยสินะ?” จูเยวี่ยเอนกายนอน มองท้องฟ้าสีครามก้อนเมฆสีขาวพลางถาม
“อืม” เฟิ่งจิ่วนั่งขัดสมาธิ มือข้างหนึ่งชันคาง ดวงตาหรี่ลง
“เจ้าไปทำอะไรที่เมืองโอสถตะวัน?” จูเยวี่ยถามต่อ แต่เฟิ่งจิ่วเหมือนหลับไปแล้ว ไม่ได้สนใจเขาอีก
กระทั่งเวลาพลบค่ำ พวกเขามาก็ถึงนอกประตูเมือง ชายฉกรรจ์จอดเกวียนแล้วบอกทั้งสองว่า “ถึงในเมืองแล้ว พวกเจ้าลงไปได้”
เฟิ่งจิ่วกระโดดลงมา จูเยวี่ยที่ได้พักผ่อนบ้างแล้วก็เริ่มอาการดีขึ้น เขาไถลตัวลงมาจากข้างบน ตบๆ เศษหญ้าที่เกาะตามตัวแล้วเดินเข้าไปในเมือง
“ข้าจะกินของดีสักมื้อ หิวจะตายแล้ว”
เฟิ่งจิ่วกลับเดินไปด้านหน้าเกวียน ยิ้มพูดกับชายฉกรรจ์ว่า “ขอบคุณท่านลุงมาก นี่คือค่าใช้จ่ายที่ให้พวกเรานั่งเกวียนมา เป็นน้ำใจเล็กน้อยเท่านั้น” ขณะพูด เธอหยิบถุงเงินเล็กๆ ถุงหนึ่งยื่นให้ชายฉกรรจ์ จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
“นี่มัน ไม่ต้อง…”
ชายฉกรรจ์ยังพูดไม่ทันจบ กลับเห็นขอทานน้อยเดินไปไกลแล้ว จึงจ้องถุงเงินในมืออย่างอึ้งๆ เมื่อเปิดออกดูก็ยิ่งตกใจ มองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าไม่มีใครสังเกตเห็นก็รีบยัดใส่ในอกเสื้อ
ข้างในเมือง แม้จะเป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว แต่ตามถนนใหญ่ก็ยังมีผู้คนและพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ไม่น้อย ภาพบรรยากาศครึกครื้นทำให้รู้สึกสบายใจ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เพิ่งเฉียดความตายมา เมื่อได้เห็นบรรยากาศคึกคักในเมือง ก็อุ่นใจขึ้นไม่น้อย
“ขอทานน้อย ข้างหน้ามีเหลาสุรา พวกเราไปกินที่นั่นกันเถิด!” จูเยวี่ยที่เดินอยู่ข้างหน้าหันมาชักชวนเฟิ่งจิ่วที่เดินลอยชายอยู่ข้างหลัง
“เจ้ามีเงินรึ?” เฟิ่งจิ่วมองเขาหัวจรดเท้าพลางถาม
“มีสิ เจ้าวางใจ ถึงจะไม่มาก แต่ก็มีพอให้พวกเรากินดื่มไปจนถึงเมืองโอสถตะวัน” เขาตบหน้าอกตัวเองอย่างโอ้อวด ก่อนจะทำหน้าขมขื่น “ร่างกายข้ากำลังอ่อนแอ ต้องบำรุงดีๆ พวกเรารีบไปกันเถิด! แล้วคืนนี้พวกเราก็หาโรงเตี๊ยมพักผ่อนสักหน่อย พรุ่งนี้ซื้อรถม้าสักคัน แล้วพวกเราค่อยนั่งรถม้ากลับไปกัน”
เขาคิดดีแล้ว ต้องนั่งรถม้ากลับไป ไม่อาจเปลืองแรงเด็ดขาด อีกอย่างตลอดเส้นทางยังพักฟื้นร่างกายได้อีก เพราะดูจากที่ขอทานน้อยคนนี้ยอมเดินเท้าทั้งที่ดูก็รู้ว่าขี่กระบี่เป็น เขาก็รู้แล้วว่าขอทานน้อยไม่มีทางพาเขาขี่กระบี่กลับไปแน่
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วกลับไม่ได้ว่าอะไร ทำเพียงพยักหน้า เดินไปที่เหลาสุราพร้อมกับเขา เพียงแต่จูเยวี่ยที่เดินสับเท้าเร็วๆ อยู่ข้างหน้าเดินเข้าไปแล้ว เธอกลับถูกขวางไม่ให้เข้าไป
“ขอทานจากที่ใดกัน? ไปให้พ้นๆ” เสี่ยวเอ้อร์ปิดจมูกทำหน้ารังเกียจ โบกมือไล่เฟิ่งจิ่วที่ใส่เสื้อผ้าเก่าขาดทั้งตัวให้ออกไป
เฟิ่งจิ่วก้มหน้ามองเสื้อผ้าบนตัว เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้เธอเป็นขอทานอยู่นี่นา! ก็จริง คงไม่มีเหลาสุราที่ไหนยอมให้ขอทานเข้าไปหรอก
………………………………….
ตอนที่ 1360 ก็เขานั่นแหละ
ด้วยเหตุนั้น เธอจึงถอยหลังสองสามก้าว เห็นด้านข้างเหลาสุรามีแผงขายอาหารเล็กๆ อยู่ หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังยุ่งหัวหมุน เธอจึงเดินเข้าไปถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านป้า ขอน้ำสะอาดให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
หญิงวัยกลางคนมองเธอแวบหนึ่ง แล้วชี้ไปด้านหนึ่ง “ข้างหลังมีถังน้ำ น้ำในนั้นล้วนเป็นน้ำสะอาด”
“ขอรับ” เธอยิ้มรับก่อนเดินไปข้างหลัง
เสี่ยวเอ้อร์ของเหลาสุรายืนอยู่หน้าประตูพลางเหลือบมองเธอ แค่นเสียงขึ้นจมูก ตอนทำท่าจะเดินกลับเข้าไป กลับเห็นขอทานน้อยที่เดินไปด้านหลังแผงลอยขายของถอดเสื้อผ้าเก่าๆ ออก เผยให้เห็นชุดคลุมสีเขียวข้างใน ถึงจะไม่ใช่ชุดแพรไหม แต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน
โดยเฉพาะเมื่อขอทานน้อยล้างหน้า ใบหน้าที่ตอนแรกเปรอะเปื้อนเห็นไม่ชัดก็เผยเค้าเดิมออกมา หน้าตาที่หล่อเหลานั่น ดวงตามีชีวิตชีวาและเจ้าเล่ห์คู่นั้น ยิ่งทำให้เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงตาค้าง
ในยุคสมัยนี้ ไม่ว่าคนแบบไหนก็ล้วนมีจริงๆ…
นี่มันคุณชายสูงศักดิ์ชัดๆ แต่กลับแต่งตัวเป็นขอทานน้อยคนหนึ่ง ช่างเป็นคนที่แปลกจริงๆ
ครั้นนึกได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองเพิ่งไล่เขาไป ก็อดไม่ได้ที่จะหดคอ ขณะคิดจะย่องกลับเข้าไปข้างใน ก็มีมือคู่หนึ่งวางลงมาบนไหล่ของเขา “เสี่ยวเอ้อร์ สหายข้าเล่า?”
จูเยวี่ยรออยู่ข้างในนานแล้ว ขอทานน้อยก็ยังไม่มาสักที จึงออกมาตามหา นึกไม่ถึงว่าไม่ว่าจะชั้นบนหรือชั้นล่างก็หาขอทานน้อยไม่เจอ เขาถึงได้ลงมาถาม
“สหาย สหายอะไรหรือขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์ถามด้วยความงุนงง
“ก็ขอทานน้อยที่เดินตามหลังข้ามาอย่างไรเล่า! ข้าขึ้นไปข้างบนแล้วก็ยังไม่เห็นเขาตามมา เจ้าไล่เขาไปแล้วใช่หรือไม่?” จูเยวี่ยถาม ถมึงตาจ้อง โดยเฉพาะเมื่อเห็นสีหน้าร้อนตัวของเสี่ยวเอ้อร์ก็ยิ่งมั่นใจ
“เจ้าไล่เขาไปแล้วจริงหรือ?”
“เปล่า เปล่าขอรับ…” เสี่ยวเอ้อร์พึมพำ เหงื่อเริ่มไหลซึม
“เปล่า? หากเจ้าไม่ไล่เขาไป แล้วทำไมเขาไม่เข้ามา? พวกเจ้าเป็นเหลาสุราประเภทใดกัน มีนิสัยชอบไล่แขกหรือ เถ้าแก่อยู่ไหน? ไปเรียกเถ้าแก่มาให้ข้า!” เขาตะโกนด้วยความโมโห
“คุณชายท่านนี้ ท่านระงับโทสะก่อน อย่าเพิ่งโมโหไป” เถ้าแก่เดินออกมา พยายามเกลี้ยกล่อมด้วยรอยยิ้มเอาใจ
“ระงับโทสะ? เสี่ยวเอ้อร์ของท่านคนนี้ไล่เพื่อนข้าไป จะให้ข้าระงับโทสะรึ?” จูเยวี่ยตะโกนเสียงดัง ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างจ้องหน้าเถ้าแก่อย่างโมโห
“นี่มัน…” เถ้าแก่ลังเลเล็กน้อย หันไปตะคอกเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ข้างๆ “ยังไม่รีบขอโทษคุณชายท่านนี้อีก!”
“สายไปแล้ว ข้าไม่รับคำขอโทษปากเปล่า!” นี่เขาเรียนรู้มาจากขอทานน้อยคนนั้นเชียว
ได้ยินเช่นนั้น เถ้าแก่ชะงักไปนิด ครุ่นคิดแล้วบอกว่า “เช่นนั้น…ข้าขอมอบหมูหันของเหลาสุราเราให้คุณชายหนึ่งตัวเพื่อเป็นการขอโทษดีหรือไม่? คุณชายเป็นผู้สูงส่งจิตใจกว้างขวาง อย่าได้ถือสาผู้น้อยเลย”
จูเยวี่ยได้ยินก็ไม่พูดอะไร เหลือบมองที่สาบเสื้อของเสี่ยวเอ้อร์ก่อนถามว่า “เพื่อนข้าเล่า? เจ้าไล่เขาไปไหนแล้ว?”
“คือว่า คุณชาย อยู่ อยู่ตรงนั้นขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์ชี้ไปยังคนที่กำลังล้างหน้าอยู่หลังแผงลอยขายของ
จูเยวี่ยหันไปมอง เห็นเด็กหนุ่มใส่ชุดสีเขียว ใบหน้างดงาม ก็เตะเสี่ยวเอ้อร์ไปทีหนึ่ง “เพื่อนข้าเป็นขอทานน้อย!”
เสี่ยวเอ้อร์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ รีบอธิบายว่า “เป็นเขา เป็นเขาจริงๆ ขอรับ เขาถอดเสื้อขอทานชั้นนอกออกแล้วก็ล้างหน้าถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ ข้ายืนมองอยู่ตรงนี้ จริงๆ นะขอรับ ข้าไม่ได้โกหก”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น จูเยวี่ยชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเด็กหนุ่มชุดเขียว มองคราวนี้มุมปากก็กระตุกอย่างอดไม่ได้
ใช่แล้ว ไม่ใช่ขอทานน้อยคนนั้นแล้วจะเป็นใครได้อีก? ถึงแม้จะเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าล้างตาแล้ว แต่ทรงผมขอทานที่กระเซิงเหมือนรังนกก็ยังอยู่บนหัวไม่ใช่หรือ?
………………………………….