เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1379 สืบข่าว + ตอนที่ 1380 เป็นไปได้หรือไม่
ตอนที่ 1379 สืบข่าว + ตอนที่ 1380 เป็นไปได้หรือไม่
ตอนที่ 1379 สืบข่าว
“ก็ได้ๆ! เช่นนั้นพวกเราไปทางนั้นกัน” ลั่วเหิงชี้ไปยังทิศหนึ่ง บอกคนอื่นๆ ให้รับรู้ จากนั้นก็ออกเดินไปทางนั้นพร้อมกับเฟิ่งจิ่ว
เมื่อมาถึงจุดที่ไม่มีใครอยู่ เฟิ่งจิ่วชำเลืองมองลั่วเหิงที่อยู่ข้างกาย ถามว่า “ศิษย์พี่ลั่ว ข้าได้ยินมาว่าปรมาจารย์ซานหยางรับศิษย์ผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วยใช่หรือไม่ ศิษย์หญิงคนนั้นท่านเคยเห็นหรือไม่?”
“อ้อ? เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยหรือ?”
ลั่วเหิงมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง แล้วเล่าว่า “อาจารย์อาท่านนี้ของเราไม่ได้เป็นคนของแปดจักรวรรดิใหญ่ ถึงจะมีพรสวรรค์ด้านกลั่นยาเซียนอยู่บ้าง แต่ในสำนักโอสถตะวันที่เป็นคนริเริ่มการกลั่นยาเซียน ก็ไม่ได้พบเจอยากนัก”
“ศิษย์ปิดสำนักของปรมาจารย์ซานหยาง อย่างไรก็น่าจะมีฐานะไม่ธรรมดาในสำนักกระมัง! อีกอย่าง หากไม่เข้าตาปรมาจารย์ซานหยาง ปรมาจารย์ซานหยางจะรับนางเป็นศิษย์ได้อย่างไร” เธอแย้งอีกพลางมองเขาที่อยู่ข้างกาย
“หึ ดีนะที่เจ้ามาถามข้า ถ้าหากไปถามคนอื่น คนอื่นจะต้องบอกเจ้าว่า อืม ถูกต้องแล้ว ฐานะของนางในสำนักไม่ธรรมดา เพราะถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์ปิดสำนักของปรมาจารย์ซานหยาง! ซ้ำยังเป็นศิษย์ผู้หญิงเพียงคนเดียวด้วย ปรมาจารย์ซานหยางต้องดีกับนางมากแน่นอน”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ หัวใจของเฟิ่งจิ่วหนักอึ้งเล็กน้อย ถามว่า “แล้วไม่ใช่หรือ?”
“จะว่าอย่างนี้ก็ไม่ผิดหรอก แต่มีครั้งหนึ่งข้าเห็นนางยืนร้องไห้อยู่หน้าบันไดหิน อีกอย่างถึงนางจะงามมาก แต่ใบหน้ามักมีความเศร้าอยู่ ข้าเลยคิดว่าเป็นเพราะปรมาจารย์ซานหยางไม่ดีต่อนางหรือไม่ แต่เรื่องพวกนี้ก็ไม่มีหลักฐาน เพราะอาจารย์อาท่านนี้ของข้าปรากฏตัวในสำนักน้อยครั้งมาก”
เฟิ่งจิ่วหลุบตาลง ปกปิดประกายในดวงตา หัวใจบีบรัดเล็กน้อย ท่านแม่ของเธอใช้ชีวิตอยู่ในสำนักโอสถตะวันอย่างทนทุกข์งั้นหรือ?
“นางอาจคิดถึงบ้านก็ได้? พวกลูกศิษย์ปิดสำนักของปรมาจารย์ซานหยางรอบตัวนาง ก็น่าจะได้กลับไปเยี่ยมบ้านเป็นครั้งคราวกระมัง?”
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าบอกแล้ว ปกตินางไม่ค่อยปรากฏตัวในสำนัก คนในสำนักรู้เพียงว่านางเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักของปรมาจารย์ซานหยาง เรื่องอื่นไม่มีใครรู้แน่ชัด”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาเริ่มสะดุดใจ ถามขึ้นว่า “เจ้าถามเรื่องอาจารย์อาข้าไปทำไมมากมาย เจ้ารู้จักนางหรือ?”
เฟิ่งจิ่วส่ายหน้า “ไม่รู้จัก แค่อยากรู้เท่านั้น”
เห็นเช่นนี้ เขาจึงเตือนด้วยความหวังดี “มีเรื่องอะไรให้อยากรู้กัน ถึงเจ้าจะเข้าสำนักได้ก็เป็นแค่คนทำงานชั้นล่างเท่านั้น แค่ทำงานจิปาถะของเจ้าให้ดีก็พอ เรื่องอื่นอย่าไปอยากรู้ให้มากนัก ไม่ส่งผลดีต่อเจ้าหรอก”
“อืม ข้ารู้แล้ว ขอบคุณศิษย์พี่ที่ตักเตือน”
เธอยิ้มขอบคุณ เดินวนรอบหนึ่งก็ไม่เจอใคร จึงยิ้มและเอ่ยเย้าว่า “ศิษย์พี่ลั่ว ข้าว่าตอนนี้เราสองคนเหมือนเหยื่อล่อเลย ท่านว่าฆาตกรโรคจิตนั่นจะหมายตาพวกเราไหม?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ลั่วเหิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวแข็งทื่อ หน้าซีดลงหลายส่วน เอ็ดเธอด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก” เจ้า เจ้าอย่าพูดไปเรื่อยเปื่อย เหยื่อล่ออะไรกัน ฟังดูน่ากลัว ข้าไม่ใช่เหยื่อล่ออะไรสักหน่อย ถ้าเจ้าฆาตกรโรคจิตนั่นกล้าโผล่หน้าออกมา ข้าจะจัดการมันให้สาสม!”
“ขอรับ มีศิษย์พี่ลั่วอยู่ด้วย ข้าก็วางใจหน่อย ถ้าเจออันตรายอะไร ศิษย์พี่ลั่วอย่าลืมดูแลข้าหน่อยเล่า” เธอพูดพร้อมยิ้มตาหยี
ได้ยินแล้วลั่วเหิงยืดหลังตรง ตบหน้าอกเสียงดัง “เจ้าวางใจได้ ข้าเป็นใครกัน? อาจารย์ข้าเป็นถึงศิษย์เอกของปรมาจารย์ซานหยางเชียวนะ ใครจะกล้าบังอาจลงไม้ลงมือกับข้า? หากคนคนนั้นเห็นข้าอยู่ที่นี่ จะต้องตกใจกลัวจนวิ่งหนีไปแน่”
………………………………….
ตอนที่ 1380 เป็นไปได้หรือไม่
ถึงจะพูดอย่างนี้ แต่ยามเขากวาดมองไปรอบตัว ในดวงตาก็ยังคงมีแววหวาดระแวงและขลาดกลัวอยู่บ้าง ถึงอย่างไรวิธีการสังหารของฆาตกรนั่นก็น่าสะพรึงกลัวเกินไป เป็นใครก็ต้องรู้สึกกลัว และกังวลที่จะต้องเผชิญหน้าอยู่แล้ว
เฟิ่งจิ่วกลับยิ้มตาหยีเดินตามอยู่ข้างเขา เทียบกับลั่วเหิงที่หวาดกลัวและกวาดตามองรอบๆ ด้วยความระแวดระวังแล้ว เธอดูสงบนิ่งกว่ามาก
ในใจยังลอบวิเคราะห์ไปด้วย ฆาตกรคนนั้นเลือกลงมือเฉพาะกับคนของสำนักโอสถตะวัน แถมยังฆ่าคนด้วยการกรีดแขนขาปาดคอและตัดแก่นกายของผู้ชาย เหมือนมีเป้าหมายที่เจาะจงอยู่
“นี่ เจ้ากำลังจะขึ้นไปสำนักโอสถตะวันหรือ?” ลั่วเหิงตะโกนเรียก ชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำที่อยู่ด้านหน้า เขาหันกลับมามองทั้งสองคนแวบหนึ่ง เห็นลั่วเหิงใส่เครื่องแบบของสำนักโอสถตะวัน จึงก้าวเข้ามาคารวะ
“ใช่แล้ว ข้ากำลังจะขึ้นไปสำนักโอสถตะวัน ทั้งสองท่านเป็นศิษย์สำนักโอสถตะวันหรือ?”
“ใช่แล้ว ข้าจะบอกเจ้าให้นะ แถวนี้เกิดเหตุไม่สงบ ยามขึ้นเขาเจ้าต้องระวังตัวหน่อย หากพบอันตรายอะไรก็รีบร้องตะโกน” ลั่วเหิงกล่าวเตือน
ชายร่างกำยำได้ยินก็ชะงักไปนิด จากนั้นยิ้มตอบว่า “ไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่ข้าปกป้องตัวเองได้ไม่มีปัญหา ทั้งสองท่านไม่ต้องห่วง”
เฟิ่งจิ่วที่อยู่ด้านหนึ่งยิ้มๆ ก่อนบอก “เรื่องนี้ระวังไว้หน่อยดีกว่า แถวนี้มีคนตายไปหกเจ็ดคนแล้ว ล้วนถูกฆ่าทั้งนั้น”
เมื่อได้ยิน ชายหนุ่มตะลึงเล็กน้อย แล้วจึงค่อยพยักหน้า “ขอบคุณท่านทั้งสองมาก ข้าจะระวังตัวไว้” กล่าวจบก็ประสานมือคารวะแล้วจากไป มุ่งหน้าขึ้นเขาต่อ
ครั้นเห็นคนคนนั้นจากไปแล้ว ทั้งสองเดินค้นหาในป่าต่อ แต่ก็ยังไม่ค้นพบอะไร ลั่วเหิงจึงมานั่งพักใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
“พักสักครู่เถอะ! เดินหาหลายที่แล้วก็ยังไม่เจออะไร บางทีเจ้านั่นอาจจะไปแล้วก็ได้” เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ หยิบน้ำออกมาดื่มหนึ่งอึก
เฟิ่งจิ่วกลับคิดในใจ จากที่พวกเขาเล่าให้ฟังเมื่อครู่ แทบจะมีคนตายในทุกสามชั่วยาม เช่นนั้นระยะห่างตั้งแต่คนก่อนหน้านี้ที่ถูกพบศพจนถึงตอนนี้ ก็ใกล้จะสามชั่วยามแล้ว หากต้องการฆ่าคนทุกสามชั่วยามจริงก็ต้องเป็นช่วงเวลานี้
เพียงแต่ในพื้นที่กว้างใหญ่ หากต้องการฆ่าคนใช่เรื่องง่ายเสียที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่คนคนนั้นใช้ยังเป็นยาสลบ แม้จะลงมือ ผู้เคราะห์ร้ายก็ไม่อาจส่งเสียงร้องได้เลย
ทว่าขณะกำลังครุ่นคิด จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว
“ศิษย์พี่ลั่ว ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าคนที่ถูกฆ่าล้วนเป็นชายหนุ่มกำยำอายุประมาณสามสิบใช่หรือไม่?” เฟิ่งจิ่วหันไปถามลั่วเหิง
“ใช่! พวกที่ตายล้วนมีร่างกายกำยำเหมือนวัว แต่กลับไม่มีกำลังปกป้องตัวเองเสียนี่ ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ” ลั่วเหิงว่า แล้วหันมามองเธอ “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?”
เฟิ่งจิ่วที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งรีบลุกขึ้นยืน “ในหมู่สองคนที่พวกเราเจอเมื่อครู่ เหมือนจะมีคนหนึ่งที่ร่างกายกำยำอายุประมาณสามสิบอยู่ด้วย? ถ้าคนร้ายเลือกลงมือเฉพาะคนประเภทนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า…”
“เจ้าหมายความว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่คนร้ายจะหมายตาคนคนนั้น?” ลั่วเหิงลุกขึ้นตามด้วยใบหน้าตื่นตระหนก “เหมือนจะมีความเป็นไปได้ ถ้าอย่างไรข้าไปหาพวกศิษย์พี่หลินก่อนดีไหม แล้วค่อยตามไปดูด้วยกัน?”
“กว่าจะหาพวกเขาเจอชายคนนั้นก็คงใกล้ตายแล้ว คำนวณเวลาดูแล้ว หากเป็นสามชั่วยามจริง เกรงว่าคนร้ายคงเริ่มลงมือเรียบร้อย เร็วเข้า พวกเรารีบตามไปดูกันเถอะ” ขณะพูด เธอออกวิ่งไปทางที่ผู้ชายคนนั้นขึ้นเขาไปก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นเช่นนี้ ลั่วเหิงกัดฟัน ทำได้เพียงรีบวิ่งตามไป “นี่ เจ้ารอข้าด้วยสิ!”
………………………………….