เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1417 มองอะไรอยู่ + ตอนที่ 1418 แก่งแย่ง
ตอนที่ 1417 มองอะไรอยู่ + ตอนที่ 1418 แก่งแย่ง
ตอนที่ 1417 มองอะไรอยู่
เวลาประมาณหนึ่งก้านธูป คนของแต่ละยอดเขาต่างจับกลุ่มย่อยกันอย่างรวดเร็ว คนที่เหลือที่ไม่มีใครอยากร่วมทีมด้วยก็ทำได้เพียงจับกลุ่มกันเอง
คนที่อยู่กลุ่มเดียวกับเฟิ่งจิ่วและเฉินเต้ามีชายห้าหญิงสอง ในบรรดาผู้ชายทั้งห้าคนมีทั้งคนที่อายุราวยี่สิบปี มีทั้งคนที่อายุราวสามสิบสี่สิบปี ทว่า อายุที่แท้จริงของพวกเขาล้วนมากกว่ารูปร่างหน้าตาที่แสดงให้เห็นภายนอกมากนัก
ส่วนผู้หญิงสองคนกลับมีรูปร่างหน้าตาที่เจริญหูเจริญตายิ่งนัก ทรวดทรงองค์เอวอวบอิ่มร้อนแรง ใบหน้างดงามดุจนางปีศาจ แต่ไม่รู้เพราะอะไร พวกนางกลับดูสนอกสนใจเฉินเต้ามาก พวกนางเดินเบียดเฟิ่งจิ่วที่เดินตามอยู่ข้างๆ เฉินเต้า แล้วเอาแต่ยืนใกล้เฉินเต้าชวนเขาพูดคุย ดูจนผู้ชายหลายคนที่เหลือต่างหน้าบึ้งอย่างไม่พอใจนัก
ตัวแทนแต่ละยอดเขาเมื่อเห็นว่าทุกคนจับกลุ่มกันครบหมดแล้ว หลังจากอบรมกันเองเสร็จ ถึงค่อยพาทุกคนเข้าไปในดินแดนลับผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย เมื่อแสงสว่างวาบพาดผ่าน คนหลายร้อยคนก็ค่อยๆ หายเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายทีละกลุ่มๆ
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง ก็อยู่ท่ามกลางป่าลึกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายวิญญาณเข้มข้น
เฟิ่งจิ่วรู้สึกเพียงว่าถูกพลังขุมหนึ่งผลักออกไป ฝีเท้าสะดุดเล็กน้อยจากนั้นก็พุ่งตัวออกมาแล้วรีบหยัดยืนอย่างมั่นคง จึงไม่ล้มคะมำไปข้างหน้า ด้านหน้าของเธอ มีหลายคนที่ทนรับแรงผลักนั้นไม่ไหวจนเสียหลักล้มลงไปบนพื้นหญ้า ต่างส่งเสียงร้องครวญ
เฉินเต้าที่ยืนมั่งคงแล้วหันมา เห็นเฟิ่งจิ่วกำลังมองไปรอบๆ เหมือนไม่ได้มีอาการอึดอัดหรือไม่สบายอะไรจากค่ายกลเคลื่อนย้าย ก็อดยกมือลูบหนวดเลขแปดสองเส้นของตนเองไม่ได้ พลางผุดรอยยิ้มแฝงความนัยออกมาเล็กน้อย
“ศิษย์พี่เฉิน ท่านช่วยประคองข้าหน่อยสิเจ้าคะ!”
“ศิษย์พี่เฉิน เหตุใดเมื่อครู่ท่านจึงผลักข้าออกมาเล่าเจ้าค่ะ? ข้าเกือบล้มเลย”
หญิงสาวทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ครั้นพูดออกไป ทั้งสองก็สบตากันแวบหนึ่ง ในแววตาของทั้งสอง ต่างฝ่ายต่างเห็นแววท้าทายที่อยู่ในนั้น
“ศิษย์น้องทั้งสอง พวกข้าประคองพวกเจ้าเอง มาๆ”
ชายอายุสามสิบปีคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกเฟิ่งจิ่วรีบก้าวเข้ามา เอื้อมมือทำท่าจะประคองหญิงงามสองคนที่ล้มอยู่บนพื้นหน้า แต่กลับปะทะกับแววตาเย็นชาของหญิงสาวทั้งสองเข้า จึงได้แต่ชักมือกลับไปอย่างประดักประเดิด
“ไม่ต้องหรือ? ไม่ต้องก็ดี ไม่ต้องก็แสดงว่าพวกเจ้าไม่เป็นอะไร เช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นเถิด” ชายคนนั้นบอก ขณะเดียวกับที่ชักมือกลับและถอยหลังไป ก็ตวัดมองเฉินเต้าด้วยความชิงชังแวบหนึ่ง
เฉินเต้ายืนเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างลูบหนวดเลขแปด ไม่ได้สนใจความขุ่นเคืองของคนผู้นั้น เพียงมองหญิงสาวสองคนที่ล้มอยู่บนพื้นหญ้าแวบหนึ่ง แล้วหัวเราะเบาๆ “ศิษย์น้องทั้งสอง ถึงข้าเฉินเต้าจะหล่อเหลาไร้เทียมทาน แต่พวกเจ้าสองคนทำเช่นนี้ จะเป็นการสร้างความลำบากใจให้ข้าเสียเปล่า”
“ศิษย์พี่เฉิน…”
นัยน์ตางามของทั้งสองไหวระริกเล็กน้อย น้ำเสียงแผ่วเบาแสดงความออดอ้อน
“ทว่า หากศิษย์น้องทั้งสองชมชอบข้าเฉินเต้าจากใจจริง เช่นนั้นกลับออกจากดินแดนลับเมื่อใด ข้าจะไปคุยเรื่องแต่งงานกับอาจารย์ของพวกเจ้าเป็นอย่างไร? เชื่อว่าด้วยตำแหน่งฐานะของข้า สู่ขอศิษย์น้องทั้งสองเป็นเพียงเรื่องง่ายดาย”
ได้ยินประโยคนั้น หญิงสาวบนพื้นหญ้าทั้งสองสีหน้าชะงักค้าง รู้ตัวว่าเล่นเกินงาม จึงรีบลุกขึ้นแล้วคารวะเขาหนึ่งครั้ง “ศิษย์พี่เฉินโปรดอภัย แท้จริงแล้วพวกข้า…” ความจริงแล้วพวกนางเพียงแค่หยอกเล่น อยากรู้ว่าพวกนางสองคนใครจะชนะใจเฉินเต้าได้ก่อน นึกไม่ถึงว่าเฉินเต้ากลับมองออกตั้งแต่แวบแรก
ลั่วเหิงที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งได้ยินก็เม้มปาก ลอบพึมพำในใจ คนเดียวยังเอาไม่รอดเขายังคิดจะสู่ขอตั้งสองคน? นี่ไม่ใช่บ้าตัณหาธรรมดาจริงๆ
มองไปข้างหน้า ก็เห็นเฟิ่งจิ่วชะเง้อมองอยู่ตรงนั้น จึงเดินเข้าไปตบไหล่เขา “เฟิ่งจิ่ว เจ้ามองอะไรอยู่?”
………………………………….
ตอนที่ 1418 แก่งแย่ง
“อ้อ ข้ามองไปเรื่อยเปื่อยขอรับ รู้สึกว่ากลิ่นอายวิญญาณในสถานที่แห่งนี้ช่างรุนแรงนัก อีกอย่างก็กำลังมองหาสมุนไพรด้วยน่ะขอรับ!”
เธอหันมาตอบ ความจริงเธอกำลังมองหาว่าท่านแม่ของเธออยู่ที่ไหนต่างหาก แต่มองหาอยู่รอบหนึ่งก็ยังหาไม่เจอ กลับเป็นสถานที่แห่งนี้ที่แปลกนัก เมื่อเข้ามาก็พบว่าบนพื้นเต็มไปด้วยสมุนไพรบางชนิด แต่ล้วนเป็นชนิดที่พบเจอได้ง่าย
“เรื่องนี้เจ้าคงไม่รู้กระมัง?”
เฉินเต้าเดินเข้ามา อธิบายให้ฟังว่า “ที่นี่เป็นดินแดนลับของสำนักเรา ทุกครั้งที่ถึงฤดูใบไม้ผลิ ในสำนักจะส่งคนมาหว่านเมล็ดที่นี่ ในดินแดนลับของสำนักเราจึงมียาทิพย์ให้เด็ดอย่างไม่มีวันหมดอย่างไรเล่า”
“ถูกต้อง เจ้าเห็นว่าในป่าแห่งนี้มีหญ้ารกเช่นนี้ แต่คนที่รู้จักยาทิพย์เป็นอย่างดีจะรู้ว่า ท่ามกลางหญ้าเหล่านี้ยังมีสมุนไพรบางชนิดปะปนอยู่ด้วย แม้แต่หญ้าก็ยังมีสรรพคุณยาในตัว เพียงต้องดูว่ามีคนที่มีความรู้ด้านยาหรือไม่เท่านั้น” ลั่วเหิงพยักหน้าเสริม พลางอธิบาย
คนอื่นเมื่อเห็นทั้งสองดูแลศิษย์ชั้นล่างเป็นอย่างดี ก็ลอบสงสัยในใจ หรือว่าเจ้าศิษย์ชั้นล่างผู้นี้จะมีอะไรไม่ธรรมดาซ่อนอยู่?
แต่เมื่อมองเฟิ่งจิ่วตั้งแต่หัวจรดเท้า กลับเห็นเพียงเขาใส่ชุดสีเขียวธรรมดาๆ ทั่วทั้งตัวไร้ราศีโดดเด่น หากจะบอกว่ามี ก็คงมีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ดูสุกใสเป็นประกายเท่านั้น
“เอาล่ะ กลุ่มอื่นล้วนไปกันแล้ว พวกเราก็ไปกันเถิด!” เฉินเต้ากำชับ ตบเสื้อคลุมบนตัวเตรียมพร้อมจะเดินไปข้างหน้า แต่ในตอนนี้เอง ชายคนหนึ่งในกลุ่มของพวกเขากลับยืนขวางข้างหน้าเฉินเต้า
“ช้าก่อน”
เฉินเต้ามองชายอายุราวสี่สิบปีตรงหน้า คนผู้นี้น่าจะเป็นคนที่อาวุโสที่สุดในหมู่พวกเขาแล้ว ไม่ใช่ศิษย์ในยอดเขาซานหยางของพวกเขา ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“มีอะไรหรือ?” เฉินเต้าถาม ส่งสายตาให้เขาว่ามีอะไรก็พูดมา
“กลุ่มเราควรมีหัวหน้าสักคน ข้าแซ่เจี่ยแม้จะไม่ได้เก่งกาจ แต่ก็รู้สึกว่าตนเองมีคุณสมบัติเหนือกว่าทุกท่านมาก ตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม ให้ข้าเป็นก็แล้วกัน!”
“พรวด!”
เฉินเต้ายังไม่ทันพูดอะไร ก็ได้ยินลั่วเหิงหลุดหัวเราะก่อนแล้ว
“เจ้าหัวเราะอะไร?” ชายแซ่เจี่ยผู้นั้นมองลั่วเหิงอย่างไม่พอใจ
“ก็ต้องหัวเราะท่านน่ะสิ ไม่เช่นนั้นจะหัวเราะใครได้อีก?” ลั่วเหิงกอดอกเดินมาข้างหน้า เชิดคางขึ้นเล็กน้อย มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาดูแคลน
“ในเมื่อท่านรู้ว่าตนเองไม่ได้เก่งกาจ ยังจะอยากเป็นหัวหน้ากลุ่มอีกหรือ? หนังหน้าท่านนี่ไม่ได้หนาธรรมดาจริงๆ!”
ชายแซ่เจี่ยถลึงตาจ้องเขาด้วยความโกรธ “ศิษย์น้องผู้นี้ อย่าได้ทำตัวไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเกินไปนัก!”
ลั่วเหิงยักไหล่ “ข้าก็แค่พูดตามความจริง”
ได้ยินประโยคนี้ คนอื่นๆ ต่างอดกลั้นหัวเราะไม่ได้ รู้สึกว่าคนผู้นั้นรนหาที่โดยไม่ประเมินกำลังตนเองแท้ๆ อย่างเขาน่ะหรือคิดจะเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเขา? เช่นนั้นก็ต้องถามพวกเขาก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่!
“นั่นสิ! ข้าก็คิดว่าหากให้ศิษย์พี่เจี่ยเป็นหัวหน้ากลุ่ม…จะขาดแคลนคุณสมบัติเกินไปหรือไม่”
คนที่พูดคือหนึ่งในหญิงสาวสองคนนั้น นางเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงลากยาว คล้ายมีแววดูแคลนแฝงอยู่ เมื่อเอ่ยประโยคสุดท้ายจบ ก็เห็นชายแซ่เจี่ยสีหน้าบึ้งตึงดูไม่ได้ นางกลับยกมือปิดปากหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“หากจะมีใครเป็นหัวหน้าก็ให้ข้าเป็นก็แล้วกัน!” ชายอีกคนก้าวออกมา เป็นชายอายุราวสามสิบปี ร่างกายค่อนข้างกำยำ น้ำเสียงดุดัน
“ชิ อย่างเจ้าน่ะหรือ? ข้าไม่ยอมหรอก” ชายอีกคนคัดค้าน พลางหัวเราะหยัน เห็นชัดว่าไม่ยอมรับคนผู้นั้นเป็นหัวหน้า
“ถ้าอย่างไรก็ให้ข้าเป็นก็แล้วกัน!” หญิงสาวอีกคนพูดขึ้น นัยน์ตาแฝงรอยยิ้มมองไปที่ทุกคน “ศิษย์พี่ทั้งหลาย พวกท่านเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
………………………………….