เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1559 แบ่งแยก + ตอนที่ 1560 สามคนในหนึ่งสวน
ตอนที่ 1559 แบ่งแยก + ตอนที่ 1560 สามคนในหนึ่งสวน
ตอนที่ 1559 แบ่งแยก
“เสี่ยวหลิน เหตุใดเจ้ากลับมาคนเดียว พี่ชายเจ้าเล่า ตอนไปเจ้าพาคนไปด้วยไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่มีใครคุ้มกันเจ้ากลับมา?” เจ้าเมืองต้วนถามลูกสาวที่สีหน้าไม่ค่อยดีนัก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ข้าไปหาพี่ใหญ่ แต่พี่ใหญ่ไม่อยู่ พวกเขาบอกว่าเขาออกไปฝึกวิชากับกลุ่ม ข้าจึงทิ้งจดหมายไว้ให้เขาแล้วกลับมา แต่ระหว่างทางกลับมาเกิดเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างขึ้น องครักษ์ที่คุ้มกันข้าล้วนตายหมดแล้ว ระหว่างทางข้ายังรู้จักกับ…”
พูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็หยุดพูดไป สีหน้าเกรี้ยวโกรธ “ระหว่างทางข้ายังรู้จักกับคนผู้หนึ่งที่ออกท่องยุทธภพอยู่ พวกเราตกลงกันว่าจะร่วมเดินทางไปด้วยกัน นึกไม่ถึงคนคนนั้นกลับหมายตาสมบัติบนตัวข้า ต่อมาข้าโมโหจึงสังหารเขาเสีย”
นางไม่กล้าเล่าเรื่องที่ตนเองถูกเอาเปรียบ ทำได้เพียงสร้างเรื่องขึ้น ถึงอย่างไรคนคนนั้นก็ตายไปแล้ว เรื่องที่นางเกือบถูกคนเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว
ส่วนคุณชายชุดแดงคนนั้น ใครจะไปรู้ว่าเขาหนีหายไปที่ใดแล้ว? ไม่มีทางได้พบกันอีกแน่นอน
“ที่แท้ก็อย่างนี้เอง” เจ้าเมืองต้วนพยักหน้า ถอนหายใจเล็กน้อย “เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว คราวหน้าเรื่องพวกนี้ให้องครักษ์ไปจัดการก็พอ เจ้าดูสิโชคดีแค่ไหนที่ครั้งนี้ไม่เป็นไร”
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ ออกไปครั้งหน้าข้าจะพาคนไปมากหน่อย”
ได้ยินอย่างนั้น เจ้าเมืองต้วนหัวเราะ นึกถึงเรื่องเฟิ่งจิ่วขึ้นมาได้ ก็บอกว่า “ใช่แล้ว จวนเรามีแขกคนสำคัญมาเยือน เจ้าอย่าไปล่วงเกินแขกส่งเดชเล่า”
“แขกคนสำคัญอะไรเจ้าคะ?” นางถามด้วยความสงสัย
“เป็นแขกคนสำคัญที่มาช่วยรักษาโรคให้ท่านปู่ของเจ้า เขาเป็นคนที่มีเหรียญตราปราชญ์โอสถและนักปรุงยาระดับยาทิพย์ศักดิ์สิทธิ์ ยามนี้พักอยู่ที่เรือนของพี่สาวเจ้า ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ก็หาโอกาสแวะเวียนไปเดินเล่นนั่งเล่นที่เรือนพี่สาวเจ้าบ้าง”
“คนผู้นั้นเป็นชายหรือเป็นหญิงเจ้าคะ เหตุใดจึงให้ไปพักที่เรือนพี่สาวของข้า คนผู้นั้นไม่รู้หรือว่าพี่สาวเป็นใบ้หูหนวก?”
“ดูเจ้าพูดจาเข้าสิ ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นพี่สาวฝาแฝดท้องเดียวกับเจ้า เหตุใดจึงพูดเช่นนี้” เจ้าเมืองต้วนอบรมเสียงเข้ม
ต้วนหลินหลินเม้มปาก “ข้าไม่ได้พูดผิดเสียหน่อย นางเป็นใบ้แล้วก็หูหนวกจริงๆ นี่เจ้าคะ คุยกับนางนางก็ไม่ได้ยิน ข้าขี้คร้านจะไปนั่งกับนางที่นั่น” นางบิดตัวลุกขึ้นยืน ผลักเขาออกจากห้อง “ท่านพ่อ ข้าจะแช่น้ำร้อนแล้วพักผ่อนสักหน่อย ท่านไปได้แล้ว อย่ามัวแต่มาบ่นอยู่ที่นี่เลย”
“เด็กคนนี้ ยิ่งอยู่ยิ่งไม่รู้จักสัมมาคารวะแล้ว” เจ้าเมืองต้วนส่ายหน้า ทำได้เพียงเดินออกจากห้อง เท้าข้างหนึ่งเพิ่งจะก้าวออกมา เสียงประตูด้านหลังก็ปิดดังปัง ทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจด้วยความเอือมระอา
“เด็กคนนี้ถูกตามใจจนเคยตัวเสียแล้ว”
นึกถึงลูกสาวคนโต ลึกๆ ข้างในเขารู้สึกละอายใจอยู่บ้าง หลายปีมานี้ เพราะนางเป็นใบ้หูหนวก ไม่ว่างานเลี้ยงใดในจวนนางล้วนไม่เคยเข้าร่วม และปรากฏตัวต่อหน้าคนนอกน้อยครั้งมาก นานวันไป คนข้างนอกรู้เพียงว่าเขามีลูกสาวเพียงคนเดียว กลับไม่รู้ว่ายังมีลูกสาวที่พูดไม่ได้ฟังไม่ออกอยู่ในสวนแห่งนั้นอีกคน…
จะว่าไป ความใส่ใจที่เขามีต่อนางยังสู้พี่ใหญ่ของพวกนางไม่ได้ ที่อิ๋งอิ๋งได้อยู่ในสวนแห่งนั้น เป็นเพราะลูกชายคนโตของเขาขอร้องบิดาของเขาสำเร็จ เขาเกลี้ยกล่อมว่าอิ๋งอิ๋งมีนิสัยอ่อนโยนและมองโลกในแง่ดี ให้นางดูแลดอกไม้และยาทิพย์อยู่ในสวนแห่งนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว
หลายปีที่ผ่านมา นางที่มีเรื่องให้ทำบ้างแล้วก็ไม่ต่างจากตัดขาดจากโลกภายนอก นางดูแลดอกไม้และยาทิพย์อยู่ที่นั่น เรื่องอะไรในจวนนางล้วนไม่รับรู้
ตรงกันข้าม เสี่ยวหลินกลับถูกพวกเขาตามใจจนเสียนิสัย ไม่ค่อยเห็นใครอยู่ในสายตานัก
………………………………….
ตอนที่ 1560 สามคนในหนึ่งสวน
ยามเที่ยงวัน เจ้าเมืองต้วนมาที่เรือน ตั้งใจจะเชิญเฟิ่งจิ่วกับกวนสีหลิ่นไปกินข้าวที่ด้านหน้า กลับนึกไม่ถึง เข้ามาในลานบ้านก็ไม่เห็นเฟิ่งจิ่ว เห็นเพียงกวนสีหลิ่นที่อยู่ในศาลากลางสวนดอกไม้
เขาตกตะลึงเล็กน้อย เดินเข้าไปถาม “สหายกวน นี่ท่านกำลังทำอะไรอยู่”
กวนสีหลิ่นลืมตา เห็นผู้มาก็ลุกขึ้นยืน ตอบว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้าเมืองต้วนนี่เอง ท่านเจ้าเมืองมาได้อย่างไร มีเรื่องอะไรงั้นหรือ”
“คืออย่างนี้ ข้าอยากมาเชิญทั้งสองท่านไปกินข้าวที่เรือนด้านหน้า”
“กินข้าวหรือ ไม่ต้องแล้ว ตอนนี้น้องชายข้ากำลงยุ่ง เขากำชับว่าห้ามไม่ให้ผู้ใดมารบกวน อีกทั้งที่สวนแห่งนี้ก็ดีมาก ไม่ขาดเหลืออะไรสักอย่าง”
ได้ยินอย่างนั้น เจ้าเมืองต้วนสายตาไหวระริก “อย่างนี้เองหรือ! เช่นนั้นก็ดี! ข้าไม่รบกวนแล้ว” เขาพยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินจากไป ทว่าหลังจากเดินไปสองก้าว ก็ชะงักเท้าแล้วหันกลับมายิ้มบอก “หากต้องการอะไร มาหาข้าได้เสมอ ลูกสาวข้าอยู่ที่นี่ ฝากทั้งสองท่านดูแลมากหน่อย”
“ท่านเจ้าเมืองวางใจได้” เขาพยักหน้า มองดูเขาจากไป จึงค่อยนั่งลงฝึกฝนวรยุทธ์ต่อ
ขณะเดียวกัน ในห้องของเฟิ่งจิ่ว เธอกำลังตั้งใจผสมยาน้ำ บรรดาขวดเล็กขวดใหญ่บนโต๊ะล้วนบรรจุไปด้วยน้ำยาที่มีสรรพคุณแตกต่างกันไป กลิ่นยาฉุนๆ ตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
เพราะสวนแห่งนี้มีพวกเขาเพียงสามคน หลังจากกำชับแล้วเข้ามาปรุงยา กวนสีหลิ่นฝึกวรยุทธ์อยู่ที่ศาลา ต้วนอิ๋งอิ๋งที่ว่างงานจำคำที่เฟิ่งจิ่วกำชับไว้ จึงไม่ได้ไปรบกวน แต่ครั้นนึกได้ว่าถึงเวลาอาหารแล้วพวกเขาคงหิว จึงทำอาหารเตรียมไว้ก่อน
นางไม่ได้ยกอาหารไปที่ห้องของเฟิ่งจิ่ว เพราะเฟิ่งจิ่วกำชับไว้ว่าหากเธอไม่ออกมาก็ห้ามเข้าไปรบกวน ส่วนคนที่ชื่อกวนสีหลิ่น นางก็กลัวเขามาก โดยเฉพาะเวลาที่เฟิ่งจิ่วไม่อยู่ นางยิ่งไม่กล้ายกอาหารไปให้เขา
แล้วก็เพราะเหตุนี้ นางที่ทำอาหารเสร็จแล้วจึงยืนเหม่ออยู่หน้าห้องครัว ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ลังเลอยู่นาน นางเก็บอาหารไว้ให้เฟิ่งจิ่วชุดหนึ่ง แล้วจัดวางข้าวปลาอาหารไว้บนโต๊ะนอกห้องครัว ก่อนจะไปหาคนที่ชื่อกวนสีหลิ่น
กวนสีหลิ่นที่กำลังหลับตาฝึกวรยุทธ์ได้ยินเสียงฝีเท้า จึงผ่อนลมหายใจเบาๆ แล้วลืมตาขึ้น เห็นหญิงสาวท่าทางกล้าๆ กลัวๆ เหมือนลังเลว่าจะเดินเข้ามาดีหรือไม่ ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้าเขา
เขาชะงักไปเล็กน้อย รับไปอ่าน เห็นเพียงบนนั้นเขียนไว้ว่า “พี่ใหญ่กวน กินข้าวได้แล้ว” เห็นตัวหนังสือบนกระดาษ เขาตะลึงเล็กน้อย ถึงอย่างไรแม่นางน้อยผู้นี้ก็ขี้กลัวมาก เสี่ยวจิ่วก็ไม่อยู่ที่นี่ด้วย เขานึกว่านางจะต้องหลบหน้าเขาไม่ยอมเข้าใกล้แน่
ด้วยเหตุนี้ เขายิ้มๆ ลุกขึ้นแล้วบอกว่า “ได้ ไปกินข้าวกัน!” เขาทำไม้ทำมือ เห็นนางกลืนน้ำลายผงะถอยหลังเล็กน้อย จึงยิ้มกว้าง สาวเท้ายาวๆ ออกเดินนำไปที่ห้องครัวก่อน
ต้วนอิ๋งอิ๋งหวาดหวั่นในใจ เพราะคนคนนั้นตัวใหญ่เหมือนหมี ดูน่ากลัวมาก
เพราะไม่ค่อยชินกับการอยู่กับเขาเพียงลำพัง นางจึงเดินอ้อมไปทางห้องของเฟิ่งจิ่ว อยากรู้ว่าเธอออกมาหรือยัง ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นเฟิ่งจิ่ว นางก็รู้แล้วว่าเธอเป็นผู้หญิง เพราะบนตัวของเธอมีกลิ่นหอมจางๆ ที่มีเฉพาะผู้หญิง
เห็นประตูห้องเฟิ่งจิ่วยังไม่เปิดออก นางชะงักเล็กน้อย แล้วเดินไปทางห้องครัว ทว่าพอนางมาถึงห้องครัวแล้วเห็นภาพตรงหน้า กลับต้องยืนตะลึงตาค้างอยู่ด้านหนึ่ง
กวนสีหลิ่นกินอาหารบนโต๊ะจนหมดด้วยความเร็ว เพราะเขาเห็นว่าตรงนี้มีถ้วยกับตะเกียบวางอยู่ชุดเดียว จึงนึกว่าเป็นอาหารที่มีไว้ให้เขากินคนเดียว กอปรกับเขาฝึกพลังเร้นลับทำให้กินค่อนข้างมาก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้คิดมาก และคิดว่าไม่อยากสิ้นเปลืองอาหาร จึงกินอาหารบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยง
………………………………….