เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1729 ข้าคือปราชญ์เซียนขั้นสูงสุด ตอนที่ 1730 พบเบาะแส
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1729 ข้าคือปราชญ์เซียนขั้นสูงสุด ตอนที่ 1730 พบเบาะแส
ตอนที่ 1729 ข้าคือปราชญ์เซียนขั้นสูงสุด / ตอนที่ 1730 พบเบาะแส
ตอนที่ 1729 ข้าคือปราชญ์เซียนขั้นสูงสุด
หงส์ไฟมองเขาแวบหนึ่งแล้วหันไปบอกเฟิ่งจิ่ว “เขาว่าท่านโรคจิต เมื่อครู่ข้าได้ยินเขากำลังนินทาท่านอยู่ตรงโน้นไ
ได้ยินอย่างนั้น ฮุยหลางรีบโบกมือ “เปล่านะๆ ข้าไม่ได้นินทาท่านเลยจริงๆ นั่นข้าชมท่านต่างหาก ท่านต้องเชื่อข้านะ”
เฟิ่งจิ่วเหลือบมองเขาด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เพียงถามว่า “พวกเจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไร?”
“หลายวันแล้ว รอท่านอยู่ที่นี่ตลอด ข้ายังคิดว่าท่านอาจไปที่จักรวรรดิจันทราลับแล้วหรือเปล่า!” ขณะพูด เขามองเหล่าองครักษ์เฟิ่งที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง แล้วถามด้วยความแปลกใจ “ภูตหมอ เหตุใดพลังของพวกเขาพัฒนาเร็วเพียงนี้?”
“ครึ่งปีที่ผ่านมาพวกเขาล้วนพยายามหนัก มีพลังเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร” เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ
“ครึ่งปีมีพลังอย่างนี้ข้าเห็นยังตกใจ นอกจากพวกเขาจะทะลวงขั้นแล้ว ดูเหมือนท่านเองก็ทะลวงขั้นด้วยกระมัง? หรือว่าเป็นระดับเซียนเหินขั้นสูงสุด”
เฟิ่งจิ่วยิ้ม ตอบว่า “เปล่า ตอนนี้ข้าพลังข้าอยู่ระดับปราชญ์เซียนขั้นสูงสุด”
“หา? อะไรนะ? ท่านทะลวงขั้นถึงระดับปราชญ์เซียนขั้นสูงสุดแล้วหรือ? น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้วกระมัง! ท่านทำได้อย่างไรกัน? นี่เพิ่งจะครึ่งปีเองนะ! แม้แต่นายท่านก็ยังนึกไม่ถึงว่าท่านจะทะลวงขั้นกลายเป็นปราชญ์เซียนขั้นสูงสุดแล้ว เขายังเป็นห่วงท่านอยู่เลย!”
ฮุยหลางอุทานด้วยความตกใจ มองเธอด้วยหน้าตาเหมือนไม่อยากเชื่อ ไม่นานกลับรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา “แต่ก็จริง หากไม่ใช่คนที่มีระดับพลังอย่างท่าน จะสังหารผู้ครองแคว้นจักรวรรดินทีแดงได้อย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน!”
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ ถามว่า “เจ้าพาคนมาด้วยเท่าไร?”
ฮุยหลางยิ้มกว้าง ตอบว่า “ข้าพามาเพียงยี่สิบคน แต่ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด พวกเขาอยู่ข้างหน้านั้นเอง ภูตหมอ ท่านไปพักกับพวกข้าที่ข้างหน้านั้นเถิด!”
“อืม เจ้านำทางเถิด!” เฟิ่งจิ่วพยักหน้า
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนเดินตามฮุยหลางเข้าไปในป่า เหล่าชายชุดดำที่รออยู่ที่นั่นเห็นพวกเขาเดินมา ก็รีบเข้าไปคารวะ “คารวะภูตหมอ”
เฟิ่งจิ่วพยักหน้า “ไม่ต้องมากพิธี” จากนั้นก็หันไปกำชับเหล่าองครักษ์เฟิ่งที่อยู่ข้างหลัง “พวกเจ้าพักผ่อนกันเถิด!”
หลัวอวี่ก้าวเข้ามา “นายท่าน ข้าจะพาคนไปล่าสัตว์ป่ากลับมาสักหน่อย”
“ไปเถิด! ระวังตัวด้วยเล่า” เฟิ่งจิ่วกำชับ
หลัวอวี่ยิ้มรับคำ “ขอรับ” จากนั้นก็หมุนตัวพาคนกลุ่มหนึ่งเดินออกไป
พอพวกเขานั่งลง ฮุยหลางก็ถามด้วยความแปลกใจ “ภูตหมอ พวกท่านสังหารผู้ครองแคว้นจักรวรรดินทีแดงได้อย่างไร ในวังชื่อสุ่ยมีผู้แข็งแกร่งอยู่มากมาย พวกเขาไม่รู้ตัวเลยหรือ?” พวกเขาสังหารผู้ครองแคว้นจักรวรรดินทีแดงได้อย่างเงียบเชียบไร้เสียงได้อย่างไรกัน? หรือคนพวกนั้นล้วนนอนหลับกันแล้ว?
นึกถึงตรงนี้ อยู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ อ้อ ใช่แล้ว ภูตหมอต้องใช้ยาแน่ๆ และเป็นไปตามคาด เขาได้ยินเธอบอกว่า
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ แล้วตอบว่า “ข้าให้หงส์ไฟวางยาในแหล่งน้ำที่พวกเขาดื่มกินกันก่อน ยานั้นไร้สีไร้กลิ่นออกฤทธิ์ก็ช้า พวกเขาย่อมไม่รู้ตัว พอตกดึกพวกข้าก็ลอบเข้าวัง แบ่งหน้าที่แล้วร่วมมือกันทำงานเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม พวกข้าก็เผาวังชื่อสุ่ย และเอาศพไปแขวนเหนือประตูวังเพื่อข่มขวัญจักรวรรดิพวกเขาสำเร็จแล้ว”
ฮุยหลางถึงบางอ้อ “ที่แท้ก็อย่างนี้เอง”
กวนสีหลิ่นที่อยู่ข้างๆ ยิ้มบอกว่า “ไม่เช่นนั้นเล่า? เจ้าคิดว่าพวกข้าบุกสังหารเข้าไปซึ่งๆ หน้าหรือ? หากบุกเข้าไปซึ่งๆ หน้า ต้องเสียคนไปมากเท่าไรกัน?”
“ฮิๆ” ฮุยหลางหัวเราะแห้งๆ “เปล่า ข้าไม่ได้คิดอย่างนั้นแน่นอน”
เฟิ่งจิ่วที่อยู่ข้างๆ มองเขา แล้วถามว่า “นายท่านของเจ้าสบายดีกระมัง?”
………………………………….
ตอนที่ 1730 พบเบาะแส
“ภูตหมอไม่ต้องเป็นห่วง นายท่านสบายดีขอรับ” ฮุยหลางยิ้มกว้าง แล้วพูดต่อว่า “เพียงแต่ครึ่งปีมานี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ทำให้นายท่านเหมือนจะตึงเครียดไปหมด บางครั้งก็ทำงานจนดึกไม่ยอมนอน”
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เขาเสริมอีกหนึ่งประโยค “แต่ภูตหมอไม่ต้องเป็นห่วง ครึ่งปีมานี้ข้างกายนายท่านไม่มีผู้หญิงคนอื่นแน่นอน”
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วอดหัวเราะไม่ได้ “เอาล่ะ อย่ามัวแต่พูดอะไรไร้สาระเลย” เธอหันไปบอกกวนสีหลิ่น “หลังพักผ่อน ให้เคลื่อนไหวตามแผนเดิมของเรา”
“ไม่มีปัญหา” กวนสีหลิ่นตอบ แล้วเดินไปทางองครักษ์เฟิ่งที่พักผ่อนอยู่ข้างหลัง
เห็นอย่างนั้น ฮุยหลางก็ไม่รบกวนเธอ เดินไปนั่งลงในจุดที่อยู่ไม่ห่างจากเธอ มองดูเธอนั่งขัดสมาธิขับเคลื่อนลมปราณ หลับตาทำสมาธิ
สองวันต่อมา ฮุยหลางมองดูกวนสีหลิ่นพาองครักษ์เฟิ่งจากไป เขาเดินมายืนข้างๆ เฟิ่งจิ่ว อดถามไม่ได้ “ภูตหมอ พวกเขาไปทำอะไร? พวกข้าต้องไปช่วยหรือไม่?”
“ไม่ต้อง ให้พวกเขาไปก็พอ” เฟิ่งจิ่วที่นั่งขัดสมาธิฝึกบำเพ็ญอยู่ตอบโดยไม่ลืมตา
“อย่างนั้นพวกเราจะบุกโจมตีจักรวรรดิบุริมฉายเสียที?” ฮุยหลางถาม สองวันมานี้เขาเห็นเธออยู่ที่นี่ตลอด นอกจากพวกกวนสีหลิ่นที่เคลื่อนไหวเล็กน้อย เธอก็เอาแต่นั่งอยู่ตรงนี้ไร้คำสั่งใดๆ เขาไม่รู้ว่าพวกเขาตั้งใจจะลงมือเมื่อใดกันแน่
“ใครบอกเจ้าว่าเราจะบุกโจมตีจักรวรรดิบุริมฉายกัน?” เฟิ่งจิ่วมองเขา แล้วถามอย่างขี้เล่น
“ไม่ใช่หรือ? เช่นนั่นเรามาทำอะไรนี่กันเล่า? ภูตหมอ ขั้นต่อไปท่านคิดจะทำอย่างไร? อย่างน้อยก็บอกให้ข้ารู้หน่อยสิ!” เขาทำหน้าย่นแล้วมองเธอ
เขาพาคนมาถึงที่นี่ แล้วอยู่ที่นี่ตลอด กลับไม่รู้ว่าคำสั่งต่อไปคืออะไร ความรู้สึกอย่างนี้ช่างชวนให้อึดอัดจนกระวนกระวาย
“รอก่อนเถิด! ถึงเวลาข้าย่อมบอกเจ้าเอง” เฟิ่งจิ่วลุกขึ้นบิดขี้เกียจ พูดอีกว่า “ในเมื่อว่าง อย่างนั้นพวกเรามายืดเส้นยืดสายกันหน่อยเถิด!” สิ้นเสียง เธอเหวี่ยงกำปั้นโจมตีฮุยหลางทันที
ฮุยหลางรีบถอยหลัง เห็นนางไม่ได้ขับเคลื่อนกลิ่นอายพลังวิญญาณ จึงบอกว่า “อย่างนั้นก็ดี! ข้าจะเป็นคู่ซ้อมให้ภูตหมอเอง” หากขับเคลื่อนกลิ่นอายพลังวิญญาณ เขาต้านรับเธอไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวด้วยซ้ำ ทว่า หากไม่ได้ใช้กลิ่นอายพลังวิญญาณ ก็เป็นคนละเรื่องกัน อีกอย่าง เขาอาจได้เรียนรู้จากเธออย่างน้อยสักหนึ่งถึงสองกระบวนท่า!
นึกถึงตรงนี้ ลึกๆ ข้างในก็รู้สึกสนุกขึ้นมา ขณะเดียวกับที่หลบหลีกหมัดเขาก็โจมตีกลับทันที
ทั้งสองประมือกันในป่า ชายชุดดำที่อยู่รอบๆ เห็นก็ตาเป็นประกายขึ้นมา ต่างก็จดจ้องกระบวนท่าของทั้งสอง พวกเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับฝีมือของหัวหน้า กระบวนท่าก็เห็นจนชินแล้ว แต่กับภูตหมอนั้นกลับมีโอกาสได้พบน้อยครั้งมาก ยามนี้ได้เห็น กลับสังเกตถึงความแตกต่างอย่างมาก
การโจมตีของเฟิ่งจิ่วรุนแรงและพุ่งเป้าไปที่จุดตาย หากไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้ใช้กลิ่นอายพลังวิญญาณ หัวหน้าของพวกเขาคงต้านรับกระบวนท่าของนางไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว และขณะที่ดูการโจมตีจุดตายเหล่านั้น พวกเขาก็แอบจดจำไว้
ในวังบุริมฉาย ผู้ครองแคว้นจักรวรรดิบุริมฉายดวงตาดุดัน จ้องคนข้างล่าง “เจ้าว่าอย่างไรนะ? พบเบาะแสของคนพวกนั้นที่ภูเขาหลังวัง?”
“พ่ะย่ะค่ะ! พวกกระหม่อมไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงมารายงานให้ฝ่าบาททราบ” ชายชุดดำรายงานเสียงเข้ม
“ดี ดีมาก! ถึงขั้นกล้าพุ่งเป้ามาที่บุริมฉายของเรา! ข้าจะทำให้พวกนั้นรู้ซึ้งถึงคำว่ามาได้ กลับไม่ได้!” เขากำหมัดแน่น คำรามด้วยน้ำเสียงแฝงไอสังหาร จากนั้น ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามว่า “เห็นเฟิ่งจิ่วอยู่ที่นั่นหรือไม่?”
………………………………….