เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1803 ยาน้ำวิญญาณระดับห้า / ตอนที่ 1804 หยุดหายใจกะทันหัน
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1803 ยาน้ำวิญญาณระดับห้า / ตอนที่ 1804 หยุดหายใจกะทันหัน
ตอนที่ 1803 ยาน้ำวิญญาณระดับห้า / ตอนที่ 1804 หยุดหายใจกะทันหัน
ตอนที่ 1803 ยาน้ำวิญญาณระดับห้า
เฟิ่งจิ่วตอบอย่างจนใจ “เจ้านี่ไม่ยอมดื่มน้ำเลย ในป่านี่ก็ไม่มีอะไรให้มันกิน ถ้าโตกว่านี้หน่อยยังดี ดันเป็นทารกเสือเสียนี่”
เธอเองก็จนใจเหมือนกัน! มองดูเสือขาวน้อยนอนไร้ชีวิตชีวาอยู่ในอ้อมแขน เธอเห็นแล้วก็สงสารเหมือนกัน เสือน้อยที่เพิ่งเกิดกลับต้องมาทนหิวทั้งวัน แต่พวกเขายังต้องอยู่ในป่านี้อีกสองสามวัน มันไม่ดื่มน้ำ ก็ต้องทนหิวไปตลอดไม่ใช่หรือ?
ยาเลี่ยงอาหารที่ผู้ฝึกตนใช้เธอเองก็กลั่นน้อยครั้งมาก ยามนี้แม้อยากจะยัดใส่ปากมันก็ไร้หนทาง แต่ว่า…
ความคิดหนึ่งแล่นผ่านสมองของเธอ
ใช่แล้ว! เธอยังมีน้ำวิญญาณอยู่ในห้วงมิตินี่นา! ใช้สิ่งนั้นป้อนเสือน้อยก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงพลิกฝ่ามือเอาน้ำยาขวดหนึ่งออกมา เปิดแล้วยื่นไปใกล้ปากของเสือน้อย “มา ชิมอันนี้ดู”
นายท่านลู่ที่อยู่ข้างเห็นอย่างนั้น ก็อดส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ได้ “คนยังไม่อยากดื่มยา สัตว์วิญญาณยิ่งไม่ดื่มเข้าไปใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ยานี้มิใช่จะกินส่งเดชได้”
“ไม่เป็นไร นี่เป็นเพียงน้ำยาวิญญาณ กินไปก็ไม่มีผลเสียอะไร” เฟิ่งจิ่วอธิบาย พอเห็นเสือน้อยแลบลิ้นออกมาเลียในที่สุด ก็อดหรี่ตาคิดในใจไม่ได้ว่าเจ้าตัวน้อยนี่รู้จักของดีเสียด้วย
ชายชราชุดเทาที่อยู่ข้างๆ ได้กลิ่นนั้น ก็อดตะลึงไม่ได้ รีบชะโงกหน้าเข้าไปดมใกล้เจ้าเสือน้อย ครั้นกลิ่นอายพลังวิญญาณรวมถึงกลิ่นหอมของยาลอยแตะจมูก ชายชราเบิกตากว้าง จ้องเฟิ่งจิ่วด้วยความเสียดาย “จะ เจ้ากลับเอาของล้ำค่าถึงเพียงนี้ให้สัตว์วิญญาณตัวหนึ่งกิน? เจ้ากำลังทำเสียของอยู่นะ!”
“ผู้อาวุโสลู่ พูดเช่นนั้นได้อย่างไรกัน! ของของสหายน้อยเฟิ่งเขาจะใช้อย่างไรก็แล้วแต่เขา เจ้าอย่าเสียมารยาท” นายท่านลู่ขมวดคิ้วว่า
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ เหลือบมองผู้อาวุโสลู่แวบหนึ่ง รู้ว่าเขาได้กลิ่นยาในมือเธอและรู้สรรพคุณของมัน จึงไม่ตำหนิเขา
ผู้อาวุโสลู่ได้ยินก็หันไปอธิบายกับนายท่านลู่ “นายท่าน ท่านไม่รู้ ในมือเขาจะต้องเป็นน้ำยาระดับห้าขึ้นไปแน่นอน น้ำยาระดับห้าขึ้นไปเชียวนะ! ขะ เขากลับเอามาป้อนเสือน้อยตัวหนึ่งอย่างนี้ ถึงจะไม่ใช่ของข้า ข้าเห็นก็ยังเสียดายอยู่ดี!”
นายท่านลู่ที่ได้ยินอย่างนั้นก็ตะลึง รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย “น้ำยาระดับห้าขึ้นไป?” เขาอึ้งงัน สายตาที่หันไปมองเฟิ่งจิ่วยิ่งรู้สึกแปลกใหม่
คราวนี้เป็นน้ำยาระดับห้าขึ้นไปเชียวหรือ? น้ำยาระดับห้าขึ้นไปนี้หากอยู่ในตลาดประมูลนับว่าเป็นของล้ำค่าที่ผู้คนต่างแย่งชิงกัน เขากลับเอามันออกมาป้อนสัตว์วิญญาณ? สหายน้อยเฟิ่งผู้นี้เป็นใครกันแน่? เขารู้หรือไม่ว่าน้ำยาระดับห้าขึ้นไปมีค่าขนาดไหน?
“สหายน้อยเฟิ่ง น้ำยาวิญญาณนี้เจ้าเอามาจากที่ใด?” นายท่านลู่อดถามไม่ได้
“ท่านอาจารย์ของข้าให้มาขอรับ!” เฟิ่งจิ่วตอบเหมือนมันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนโยนให้ท่านอาจารย์ที่ไร้ตัวตนของเธอ
ได้ยินอย่างนั้น นายท่านลู่กับผู้อาวุโสลู่มองตากัน ถามอีกว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ น้ำยาวิญญาณในมือของเจ้าเป็นน้ำยาวิญญาณระดับใด? เจ้ารู้หรือไม่ว่าน้ำยาวิญญาณระดับห้าขึ้นไปหมายความว่าอย่างไร?”
“รู้สิ! ก็หมายถึงเงินอย่างไรเล่า!” เฟิ่งจิ่วยิ้มตาหยีขณะตอบ “ข้ารู้ว่าน้ำยาวิญญาณขวดหนึ่งสามารถขายเอาเงินได้เยอะมาก! แต่ท่านอาจารย์ของข้าบอกว่าห้ามขาย ต้องเก็บไว้ใช้เอง”
พวกของนายท่านลู่ที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินก็มุมปากกระตุก เก็บไว้ใช้เอง? ใช้เองนี่หมายถึงเอามาป้อนลูกเสืองั้นหรือ? ของล้ำค่าถึงเพียงนี้ เก็บไว้ในมือเขาช่างเสียของจริงๆ อย่าว่าแต่ผู้อาวุโสลู่เลย แม้แต่พวกเขาเห็นก็ยังเสียดาย!
………………………………….
ตอนที่ 1804 หยุดหายใจกะทันหัน
มองดูน้ำยาวิญญาณขวดหนึ่งถูกเสือน้อยตัวนั้นดื่มจนหมด แถมมันยังแลบลิ้นออกมาเลียเหมือนยังไม่หายอยาก ครั้นเห็นว่าขนของมันเหมือนจะนุ่มลื่นขึ้น และมันเงาขึ้น พวกเขาก็อดนึกอิจฉาไม่ได้
บางครั้งเป็นคนยังไม่สู้เป็นสัตว์น้อยน่ารัก การถูกปฏิบัติเช่นนี้ คนธรรมดาไม่อาจเทียบได้จริงๆ
พวกเขาพักผ่อนในป่าหนึ่งคืน เช้าวันต่อมาก็ออกเดินทางต่อ ตลอดเส้นทง ผู้อาวุโสลู่เอาแต่ตามตอแยเฟิ่งจิ่วเพราะอยากถามเรื่องท่านอาจารย์ของเขา และนายท่านลู่เองก็เล่าเรื่องที่นี่ให้เธอฟังไม่น้อย
สองวันต่อมา
ช่วงหัวค่ำของวันนี้ พวกของนายท่านลู่ก่อไฟพักผ่อน นายท่านลู่นั่งอยู่ข้างกองไฟกับเฟิ่งจิ่ว หลังจากยื่นเนื้อย่างให้เฟิ่งจิ่ว นายท่านลู่ยิ้มบอกว่า “พรุ่งนี้เที่ยงก็ถึงในเมืองแล้ว อยู่ที่นี่นานขนาดนี้แล้ว ในที่สุดก็จะได้กลับไปพักผ่อนในเมืองดีๆ เสียทีนะ”
“อื้มๆ หลายวันมานี้ข้ากินแต่เนื้อย่าง กินจนตอนนี้ข้าเห็นเนื้อย่างก็หมดความอยากอาหารแล้ว พรุ่งนี้พอถึงในเมืองแล้ว เราหาหอสุราดีๆ สักแห่งกินอาหารดีๆ สักมื้อกัน” ไม่พอเท่านั้น เธอยังยิ้มบอกว่า “ข้ายังจะเลี้ยงมื้อใหญ่พวกท่านด้วย”
“ฮะๆๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นพวกข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” นายท่านลู่เองก็ไม่ปฏิเสธ พูดหยอกล้อกับเขา กระทั่งค่ำมากแล้วจึงค่อยเอนหลังพิงต้นไม้หลับพักผ่อน
ทว่าค่ำคืนนี้ เฟิ่งจิ่วที่อุ้มเสือขาวน้อยพักผ่อนอยู่ได้ยินเสียงไอ จากนั้นก็เป็นเสียงลมหายใจติดขัด รวมถึงเสียงกระวนกระวายใจของผู้อาวุโสลู่ และเสียงร้องตกใจของลู่จี้หมิง
เธอลืมตาดู เห็นคนของตระกูลลู่ล้อมรอบต้นไม้ใหญ่ที่นายท่านลู่นอนพักอยู่ แต่ละคนสีหน้ากังวลร้อนรน จึงปล่อยเสือขาวน้อยลง แล้วเดินเข้าไปดู
“นายท่าน นายท่าน ยา รีบกลืนยาเร็ว” เสียงของผู้อาวุโสลู่สะท้อนแววลนลาน เทยาให้เขากินด้วยมือไม้อันสั่นเทา
“ท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านพ่อ ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจ…” ลู่จี้หมิงละล่ำละลักเสียงสั่น พลางลูบหลังเขาเบาๆ หวังจะช่วยให้เขาหายใจได้คล่องขึ้น
เฟิ่งจิ่วดูอยู่ครู่หนึ่ง เห็นใบหน้าของนายท่านลู่เต็มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าซีดขาวเหมือนหมดแรง สองมือกำคอเสื้อตรงหน้าอกแน่น หน้าตาทรมาน ราวกับเจ็บปวดจนหายใจไม่ออก ร่างกายเกร็งไปทั้งตัว แทบสิ้นสติ
เห็นอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วรีบตะโกนสั่งพวกเขา “รีบจับเขานอนราบเร็ว!”
ผู้อาวุโสลู่เห็นว่าเป็นเฟิ่งจิ่ว ก็รีบจับตัวคนนอนราบ ชายชราหัวหงอกขาว ยามนี้ได้แต่ลนลานทำอะไรไม่ถูก “สหายน้อยเฟิ่ง ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรกันดี? ครั้งนี้อาการของนายท่านกำเริบหนักกว่าที่ผ่านมา นี่จะทำอย่างไรดี?”
“ทะ ท่านพ่อ!”
ลู่จี้หมิงตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มองบิดาที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงราวกับไม่หายใจแล้ว เขาเอื้อมมือไปตรวจลมหายใจ ก่อนจะเสียหลักล้มนั่งลงไป แล้วพึมพำอย่างคนสติหลุด “ทะ ท่านพ่อไม่มีลมหายใจแล้ว…”
“อะไรนะ!”
ผู้อาวุโสลู่ตกใจ รีบเข้าไปตรวจชีพจร ก่อนจะร้อนรนขึ้นมา “เป็นไปได้อย่างไร เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร เป็นไป…”
เฟิ่งจิ่วเห็นพวกเขาต่างก็ตกตะลึงตาค้าง จึงรีบเบียดเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างกายนายท่านลู่ สองมือประสานกันวางไว้กลางอกของเขาแล้วทำการกู้ชีพ ด้านหนึ่งก็กำชับว่า “พี่ชายลู่ รีบเข้ามาเป่าปากให้ท่านพ่อของท่านเร็ว!”
“อะ อะไรนะ?”
ลู่จี้หมิงอึ้งอยู่กับที่ ไม่เข้าใจที่เฟิ่งจิ่วพูด รวมถึงไม่เข้าใจความคิดเขาด้วย คนก็ตายไปแล้ว เหตุใดยังต้องเป่าลมใส่ปากของเขาอีก? เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
“เร็วเข้า! ท่านอยากให้พ่อของท่านตายจริงๆ หรือ? หากยังไม่ทำตามที่ข้าบอกอีก พ่อของท่านก็จะไม่รอดแล้วจริงๆ!”