เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1833 ใครรู้เรื่องค่ายกลบ้าง / ตอนที่ 1834 ใครจะไปรู้ว่าเขาหายไป
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1833 ใครรู้เรื่องค่ายกลบ้าง / ตอนที่ 1834 ใครจะไปรู้ว่าเขาหายไป
ตอนที่ 1833 ใครรู้เรื่องค่ายกลบ้าง / ตอนที่ 1834 ใครจะไปรู้ว่าเขาหายไป
ตอนที่ 1833 ใครรู้เรื่องค่ายกลบ้าง
คนมากมายขนาดนั้นกลับถูกงูพิษที่ถูกเทลงมาจากฟ้ากัดตายไปกว่าครึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว เจ้าหนูนี่ดูอ่อนแอที่สุด แต่เหตุใดยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ได้? อีกทั้งมือข้างหนึ่งยังคงถือผลไม้ที่กินไปครึ่งหนึ่งไว้ ได้ยินเขาถามเจ้าหนูนั่นก็เงยหน้าขึ้น หน้าตาดูงงงันไม่แพ้กัน
คนที่ดูโง่ทึ่มไม่ฉลาดอย่างนี้ รอดจากเหตุการณ์เมื่อครู่มาได้อย่างไรกัน?
สายตาของคนอื่นต่างก็หันมาจับต้องที่เด็กหนุ่มชุดเขียวด้วย ความประหลาดใจพาดผ่านดวงตา แต่กลับไม่พูดอะไร รอดชีวิตมาได้ก็ต้องเป็นเพราะมีความสามารถอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นคงตายไปนานแล้ว
สายตาของเหลยเซียวหยุดจ้องที่เฟิ่งจิ่วครู่หนึ่ง ประกายครุ่นคิดพาดผ่านดวงตา คนอื่นไม่รู้ แต่ตอนนั้นเขามองออก ตอนนั้นที่งูพิษบนพื้นกำลังจะกัดปี้ซาน เป็นเด็กหนุ่มที่บังเอิญเหยียบหัวงู ครั้นเด็กหนุ่มยกเท้าออก หัวของงูพิษตัวนั้นก็เละอยู่บนพื้นแล้ว
ท่ามกลางเหตุการณ์ชุลมุน กลับช่วยปี้ซานด้วยการเหยียบหัวงูได้อย่างแม่นยำเช่นนั้น เจ้าหนูนี่ ใช่คนธรรมดาเสียที่ไหน?
“กร๊อบ”
เฟิ่งจิ่วกัดผลไม้กิน มองทุกคนแวบหนึ่ง ก่อนหยุดจ้องชายฉกรรจ์ที่เอะอะโวยวาย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่เข้าใจ “ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่เลยนี่! แล้วข้าจะตายได้อย่างไร?”
ได้ยินอย่างนั้น ชายฉกรรจ์สะอึก ถลึงตากว้าง ประโยคนี้ของเด็กหนุ่มหมายความว่า เขาเก่งกว่าตนเองงั้นหรือ? เจ้าหนูนี่วรยุทธ์อยู่ในระดับสร้างรากฐานกลับกล้าพูดจาเช่นนี้กับเขาที่มีวรยุทธ์ระดับหลอมแก่นพลัง ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำเสียบ้าง
“เฮอะ! เด็กเมื่อวานซืน” ชายฉกรรจ์แค่นเสียงขึ้นจมูก แต่กลับไม่พูดอะไรอีก ถึงอย่างไร คนที่ถูกจับตัวเข้ามาในนี้ ก็มีคนนิสัยเถรตรงอยู่แล้ว
“เอาล่ะ ไปกันเถิด! ฟ้าก็สว่างแล้ว เดินออกจากป่าลึกตรงนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหลยเซียวแนะนำ หันมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดอะไรบางอย่างกับชายฉกรรจ์ข้างกาย ก่อนที่ทุกคนจะออกเดินทางอีกครั้ง
ในป่าลึกแห่งนี้ บางคนก็ได้แผนที่มา บางคนก็เดินพลัดหลงอยู่ในนี้ เดินวนไปทั่ว ยิ่งเดินลึกเข้าไป ก็เริ่มค่อยๆ มีหมอกควันกระจายอยู่ในป่า ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการมองเห็นของพวกเขา
“ช่วยด้วย! มีคนอยู่หรือไม่! ช่วยด้วย!”
ทุกคนที่กำลังเดินทางอยู่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมารางๆ ซ้ำเสียงนั้นยังฟังดูเหมือนไม่ได้มีแค่คนเดียว พวกคนที่เดินนำหน้าพากันหยุดฝีเท้า จ้องเข้าไปในม่านหมอกด้านหน้า
“เหมือนจะเป็นค่ายกล”
“เป็นค่ายกลไม่ผิดแน่ คนพวกนั้นคงจะหลงอยู่ในนั้นเสียแล้ว”
“หมอกค่อนข้างหนา แม้จะมีค่ายกลอยู่ก็มองไม่เห็น ขังคนพวกนั้นไว้ได้ เกรงว่าคงจะไม่ใช่ค่ายกลธรรมดา”
พวกเหลยเซียวพูดคุยกัน หารือกันว่าจะช่วยคนพวกนั้นหรือไม่ ในเวลานี้เอง คนที่หลงอยู่ข้างในเหมือนจะรู้สึกได้ว่าข้างนอกมีคนมา จึงส่งเสียงตะโกนอีกครั้ง
“พวกข้ามีแผนที่ ช่วยพวกข้า แล้วจะให้ดูแผนที่ด้วยกัน! มีแผนที่ถึงจะออกจากที่นี่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าก็ออกไปไม่ได้เหมือนกัน”
เสียงนั้นดังออกมา ทุกคนอดมองหน้ากันไม่ได้ “พวกเขามีแผนที่”
“ช่วยเถิด! สถานที่แห่งนี้หากมีแผนที่จะต้องสะดวกกว่าแน่นอน”
“แต่ว่า หากพวกเขาหลอกเราเล่า?” ชายอีกคนถามด้วยความลังเล
“พวกเราก็ต้องผ่านตรงนี้ไปเหมือนกัน ศึกษาดูก่อนว่าจะผ่านไปอย่างไร อีกอย่าง พวกเจ้ามีใครชำนาญเรื่องค่ายกลบ้าง? ใครชำนาญเรื่องค่ายกลบอกหน่อย”
“ข้ารู้เรื่องอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงขั้นชำนาญ อีกอย่างค่ายกลที่วิหารราตรีเป็นผู้วาง เกรงว่าระดับความยากจะไม่ธรรมดา” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเอ่ย
………………………………….
ตอนที่ 1834 ใครจะไปรู้ว่าเขาหายไป
“ข้าเองก็รู้เรื่องค่ายกลอยู่บ้าง เพียงแต่ว่า ไม่รู้ว่าค่ายกลนี้เป็นอย่างไร ไม่กล้ารับประกันว่าจะแก้ได้” ชายอีกคนเอ่ยขึ้นด้วย
ได้ยินสองคนนั้นบอกว่ารู้เรื่องเล็กน้อย ชายอีกคนในกลุ่มเสนอตัว “ข้าค่อนข้างชำนาญเรื่องค่ายกล บางทีอาจลองดูได้สักครั้ง” ขณะกล่าว น้ำเสียงแฝงแววความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เฟิ่งจิ่วมองพวกเขาแวบหนึ่ง กินผลไม้หมดแล้วก็ยกมือขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงไม่ดังหรือเบาเกินไป “ค่ายกล ข้าก็รู้เรื่องอยู่บ้าง”
ทว่า สายตาของทุกคนมองมาที่เขาแวบหนึ่ง ก่อนจะมองข้ามเฟิ่งจิ่วไปอย่างเป็นธรรมชาติ เห็นชัดว่าดูแคลนเขา คิดว่าแม้เด็กหนุ่มจะรู้เรื่องอยู่บ้าง เดาว่าก็คงรู้เพียงผิวเผิน ถึงอย่างไร พวกเขาที่รู้เรื่องค่ายกลก็เป็นผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลัง เขาที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานจะรู้มากกว่าได้อย่างไรกัน?
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเจ้าสองคนไปดูกับข้าก่อนก็แล้วกัน!” ชายฉกรรจ์ที่บอกว่าตนเองชำนาญเรื่องค่ายกลหันไปพูดกับชายอีกสองคน ก่อนจะเดินนำไปก้าวหนึ่ง
เห็นอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วจึงลดมือลงอย่างประดักประเดิด เอาเถิด! จะเมินเธอก็เมินไป เธอจะเป็นอากาศธาตุต่อไปก็แล้วกัน
สามคนนั้นออกไปสำรวจเส้นทางก่อน พลางวิเคราะห์ดูว่าเป็นค่ายกลแบบใด คนอื่นต่างรออยู่ที่เดิม กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง สามคนนั้นก็ย้อนกลับมา
“ไปกับข้าเถิด! ค่ายกลนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย เป็นเพียงค่ายกลพรากวิญญาณที่พบเห็นบ่อยๆ แม้จะถูกดัดแปลงเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่” ชายที่บอกว่าตนเองชำนาญเรื่องค่ายกลอธิบาย ก่อนส่งสัญญาณให้ทุกคนออกเดินไปพร้อมกับเขา
เห็นอย่างนี้ ทุกคนมองหน้ากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินตามพวกเขาสามคนเข้าไปในม่านหมอก ภายในค่ายกล หมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นแม้แต่คนข้างหน้า ด้วยเหตุนี้ คนข้างหน้าให้คนข้างหลังดึงเสื้อผ้าของพวกเขาไว้ ส่วนเฟิ่งจิ่วเดินรั้งท้ายสุด ไม่ได้ดึงเสื้อคนข้างหน้าไว้ คนข้างหน้าก็ไม่ยอมให้เธอดึงเสื้อ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเดินตามไปเงียบๆ
เพียงแต่ ครั้นเดินมาได้ระยะหนึ่ง เธอกลับตะลึงเล็กน้อย ยักคิ้วแล้วหยุดเดิน มองเห็นได้ไม่ค่อยชัด แต่ฟังเสียงฝีเท้ากลับเหมือนอยู่แค่ตรงหน้า อีกทั้งเสียงร้องขอความช่วยเหลือของคนพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าหายไปในนี้เพราะเหตุใด
น่าสนใจ
เธอกระตุกมุมปาก เผยยิ้มออกมา ปล่อยดวงจิตออกไปในทันที รับรู้ได้ว่ารอบข้างไม่มีผู้ฝึกตนระดับเซียนเหินและระดับกำเนิดวิญญาณจับตาดูอยู่ จึงค่อยชะลอฝีเท้าแล้วทำเหมือนเดินไปเรื่อยเปื่อยในค่ายกลแห่งนี้
ส่วนคนเหล่านั้นที่อยู่ข้างหน้า หลังเดินไปได้พักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ จึงอดหยุดเดินไม่ได้ “ไม่ใช่แล้ว! เหตุใดจึงเหมือนเดินวนอยู่ข้างในตลอดเลย?”
“คนที่ร้องขอความช่วยเหลือเมื่อครู่เล่า? เหตุใดไม่ได้ยินเสียงแล้ว?” เหลยเซียวที่อยู่ข้างหน้าถามขึ้น กลับไม่มีใครให้คำตอบได้
เวลานี้เอง ชายที่บอกว่าตนเองชำนาญเรื่องค่ายกลเริ่มมีเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก ปากก็พึมพำเบาๆ “เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรกัน? เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? ค่ายกลนี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนเองได้ด้วย? เมื่อกี้ตอนเข้ามาไม่ใช่อย่างนี้นี่นา!”
ได้ยินอย่างนั้น ทุกคนมีหรือจะไม่รู้ว่าพวกเขาถูกขังไว้ในนี้แล้ว ชั่วขณะหนึ่งต่างพากันเงียบ ทว่าในเวลานี้เอง ปี้ซานที่อยู่ข้างหน้าตะโกนเรียก “เจ้าหนู? เจ้าหนู? เจ้าอยู่หรือไม่?”
ผ่านไปครู่หนึ่งยังไม่ได้ยินเสียง ก็เริ่มสังหรณ์ใจ จึงถาม “เด็กหนุ่มคนนั้นเล่า? ใครเห็นเขาบ้าง?” ปี้ซานนับจำนวนคนเดินไปจนถึงด้านหลังสุด ถามว่า “เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเจ้าเล่า? เขาดึงเสื้อเจ้าไว้ไม่ใช่หรือ? เขาหายไปเหตุใดเจ้าจึงไม่บอก?”
“ใครจะไปรู้ว่าเขาหายไป? เขาไม่ได้ดึงเสื้อข้าสักหน่อย” ชายคนนั้นแย้งเสียงเบาๆ
………………………………….