เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1853 ใครคือเฟิ่งซิง / ตอนที่ 1854 ต้วนเยี่ยในสำนักเซียนเมฆา
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1853 ใครคือเฟิ่งซิง / ตอนที่ 1854 ต้วนเยี่ยในสำนักเซียนเมฆา
ตอนที่ 1853 ใครคือเฟิ่งซิง / ตอนที่ 1854 ต้วนเยี่ยในสำนักเซียนเมฆา
ตอนที่ 1853 ใครคือเฟิ่งซิง
อิ่งอีก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้ากำลังจะรายงานนายท่านพอดี สืบข่าวของพวกเขาเจอแล้ว เดิมพวกเขาแยกย้ายกันเข้าสำนักทางนี้ แต่ต่อมาเพราะสำนักมีการคัดเลือก พวกเขาแต่ละคนมีความสามารถโดดเด่น จึงถูกสี่สำนักใหญ่ฝั่งแผ่นดินใหญ่แถบเหนือแม่น้ำรับกลับไปเป็นศิษย์”
“อ้อ?” เซวียนหยวนโม่เจ๋อแปลกใจเล็กน้อย “สี่คนล้วนถูกสี่สำนักใหญ่เลือกไปแล้ว?”
“ขอรับ ลั่วเฟย หนิงหลาง รวมถึงซ่งหมิงกับต้วนเยี่ยมีเพียงไป๋เซี่ยวที่ชำนาญการฝึกสัตว์ร้ายไม่รู้ไปที่ใดแล้ว ไม่มีข่าวคราวของเขาเลยขอรับ” อิ่งอีรายงานด้วยความนอบน้อม
“ในเมื่ออยู่ในแผ่นดินใหญ่แถบเหนือแม่น้ำ ช้าเร็วก็ต้องได้พบกับเฟิ่งจิ่ว คนพวกนั้นเป็นคนที่นางปั้นขึ้นมาเองกับมือ มีพวกเขาอยู่ในสี่สำนักใหญ่ ภายหน้าหากนางจะทำอะไรจะได้ง่ายขึ้นหน่อย” เซวียนหยวนโม่เจ๋อกล่าว เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งว่า “เอาข่าวนี้ไปบอกฮุยหลาง บอกเขาว่าอยู่ทางนั้นหากได้ข่าวของเฟิ่งจิ่ว ให้รายงานเรื่องสี่คนนี้กับนางด้วย”
“ขอรับ” อิ่งอีรับคำ แล้วถอยกลับเข้าไปในมุมมืดอีกครั้ง
ขณะที่ในอีกด้าน ณ สำนักเซียนเมฆาซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ บนยอดเขาลูกหนึ่ง เด็กสองคนคนหนึ่งตัวเล็กคนหนึ่งตัวใหญ่กำลังถือกระบี่ไม้ฝึกฝนวิชาอยู่ ห่างออกไปไม่ไกลมีอาวุโสสองคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นลูบหนวดพยักหน้า ใบหน้าแสดงความพอใจ
หากพวกเฟิ่งจิ่วอยู่ที่นี่ จะต้องจำเด็กสองคนนี้ได้แน่ คนโตก็คือหยางหยาง คนเล็กก็คือเฟิ่งเยี่ย ทั้งสองคนหลังจากถูกช่วยมาก็ถูกพามาที่สำนักเซียนเมฆาแห่งนี้ และกราบเซียนซวีอู๋เป็นอาจารย์
“เด็กสองคนนี้เรียนเพียงไม่กี่เดือน ก็ชำนาญวิชากระบี่แล้ว ศิษย์พี่ สายตาท่านดีนัก!” ชายชราที่อยู่ด้านหนึ่งยิ้มกล่าวกับเซียนซวีหยวน
“ฮ่าๆ ว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณตาเฒ่าเทียนจีนั่น ครั้งก่อนข้าไปเยี่ยมเยือนเขา เขาก็ชี้ทางให้ข้า นึกไม่ถึงตามหามานานขนาดนี้ สุดท้ายก็เจอจนได้” ชายชรายิ้มตาหยี ใบหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม “ฝึกฝนเด็กสองคนนี้ให้กลายเป็นคนมีความสามารถ ข้าเองก็ถือว่ามีผู้สืบทอดแล้วเช่นกัน”
“เด็กสองคนนี้แม้แต่นิสัยก็ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะคนตัวเล็ก หน้าตายิ่งโดดเด่น เกรงว่าคงไม่ใช่เด็กในตระกูลทั่วไปกระมัง?” ชายชราที่อยู่ข้างๆ ถาม สายตาจับจ้องไปที่เฟิ่งเยี่ยซึ่งอยู่ข้างหน้า
“ช่วยไว้ระหว่างทาง จึงไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แต่เด็กสองคนนี้มีวาสนาเป็นศิษย์อาจารย์กับข้า ทว่ากลับมีวาสนากับครอบครัวน้อยนัก หากอยู่กับครอบครัวต่อไปเกรงว่าจะรอดชีวิตได้ยาก เมื่อใดที่พวกเขาร่ำเรียนจนคงแก่วิชาค่อยให้พวกเขาลงเขาไปตามหาครอบครัว”
เซียนซวีอู่ลูบหนวด มองเด็กสองคนนั้นแวบหนึ่ง กล่าวอีกว่า “ใช่แล้ว คนของสี่สำนักใหญ่ส่งคนออกไปตามหาเฟิ่งซิงไม่ใช่หรือ? ข้าเหมือนได้ยินว่ามีข่าวคราวบ้างแล้วมิใช่หรือ?”
“ในข่าวบอกว่าเป็นหญิงสาวนางหนึ่งในสำนักตะวันฉาย ได้ยินว่าหญิงนางนี้ยามเกิดท้องฟ้ามีนิมิตมงคลปรากฏ ไม่ว่าพรสวรรค์หรือนิสัยใจคอล้วนนับเป็นหงส์ในหมู่คน อีกทั้งรูปโฉมยังงดงามยิ่ง กอปรกับได้ยินมาว่าบนตัวหญิงสาวนางนี้มีสัญลักษณ์หงส์ไฟอยู่ด้วย พวกเขาจึงมั่นใจว่านางเป็นเฟิ่งซิง ยามนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ต้องปกป้องของสำนักตะวันฉายแล้ว”
“อ้อ?”
เซียนซวีอู่รับคำอย่างครุ่นคิด “แต่จากที่ข้ารู้มา น่าหลันโม่เฉินศิษย์ของเทียนจีได้รับคำสั่งให้ออกไปปกป้องเฟิ่งซิงมิใช่หรือ? เขาไม่ได้อยู่ข้างกายหญิงสาวนางนั้นรึ?”
“เรื่องนี้กลับไม่ได้ยินข่าวอะไร น่าหลันโม่เฉินผู้นั้นหาตัวจับยาก แม้แต่คนในตระกูลของเขาจะตามหาเขายังยาก ยามนี้ยิ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด”
………………………………….
ตอนที่ 1854 ต้วนเยี่ยในสำนักเซียนเมฆา
“เช่นนั้นก็น่าแปลก หากหญิงสาวนางนั้นเป็นเฟิ่งซิงจริง เหตุใดน่าหลันโม่เฉินจึงไม่อยู่ข้างๆ นาง” เซียนซวีอู่ครุ่นคิด ก่อนถามอีก “เทียนจีได้บอกอะไรบ้างหรือไม่?”
“หึๆๆ ศิษย์พี่เองก็รู้ว่านอกจากเทียนจีจะอยากพูดเอง ไม่อย่างนั้นใครถามก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าสำนักตะวันฉายส่งคนเดินทางไกลหมื่นลี้ไปยังภูผาสวรรค์ สุดท้ายเขาก็ยังไม่ยอมปริปากอยู่ดี”
ชายชราส่ายหน้าหัวเราะ “แต่เรื่องนี้ข้าคิดว่าปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่า เมื่อถึงเวลาบางทีอาจไม่ต้องตามหา เฟิ่งซิงอาจจะปรากฏตัวเอง”
เสียงพูดคุยของทั้งสองเบาลงเรื่อยๆ กระทั่งเงียบหายไป เฟิ่งเยี่ยที่กำลังฝึกกระบี่กลอกลูกตาไปมา ครั้นเหลือบเห็นทั้งสองเดินออกไปไกลแล้ว จึงค่อยหยุดร่ายรำกระบี่
“หยางหยางๆ ท่านอาจารย์ไปแล้ว” เสียงเล็กแหลมของเฟิ่งเยี่ยกระซิบเบาๆ ในน้ำเสียงแฝงแววตื่นเต้นดีใจ
หยางหยางหยุดรำกระบี่ มองจุดที่สองคนนั้นเคยยืนอยู่ก่อนจะหันกลับมามองเฟิ่งเยี่ย ปั้นหน้าเข้มบอกว่า “อย่างไรเราก็ยังต้องฝึกต่อ”
หลังจากที่พบเจอเหตุการณ์อันตราย เขารู้ดีแก่ใจว่าต้องฝึกฝนอย่างหนัก จึงจะสามารถปกป้องคนที่อยากปกป้องได้ ฉะนั้นวันเวลาที่อยู่ที่นี่ ท่านอาจารย์สอนอะไรเขา เขาไม่เคยแอบอู้เลยสักครั้งเดียว
“แต่ว่าหยางหยาง ข้าคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่แล้ว”
เด็กน้อยเบะปาก ดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นรื้นไปด้วยน้ำตา เหมือนลูกหมาน้อยน่าสงสารตัวหนึ่ง “ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ได้เห็นหน้าข้านานขนาดนี้ พวกเขาต้องคิดถึงข้าแล้วแน่ๆ ข้าก็คิดถึงพวกเขาแล้ว คิดถึงมากๆ”
หยางหยางมองเขา ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์บอกว่ารอให้เราโตกว่านี้หน่อย มีกำลังปกป้องตนเองก็ลงเขาได้แล้ว”
“ต้องโตแค่ไหนจึงเรียกว่าโต? ต้องรอจนเหมือนท่านพี่ของข้า สูงถึงขนาดเขาจึงเรียกว่าโตหรือ?” เด็กน้อยยกมือทำท่าประกอบ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นสูงๆ เพื่อบรรยายความสูงของเฟิ่งเซียว จนใจที่คนตัวเล็กเกินไป จึงทำได้เพียงวาดไม้วาดมืออยู่อย่างนั้นเอง
“นอกจากเติบโต ยังต้องเก่งขึ้นอีกด้วย หากท่านเก่งกาจได้เหมือนพี่สาวเฟิ่ง เช่นนั้นไม่ต้องรอให้โตก็แอบลงเขาได้” หยางหยางอธิบาย พลางนึกถึงคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใจเขา เฟิ่งจิ่ว
ในสายตาเขา ไม่มีใครเก่งกว่านางแล้ว
“เสี่ยวจิ่วจิ่วที่ข้าต้องเรียกนางว่าหลานสาวน่ะหรือ?” เสี่ยวเฟิ่งเยี่ยถูกเบี่ยงเบนความสนใจ สำหรับหลานสาวที่เขาไม่รู้จัก ซึ่งอายุมากกว่าเขาแต่มีศักดิ์ต่ำกว่าเขา เขารู้สึกสงสัยใคร่รู้ในเรื่องของนางนัก แต่เขากลับไม่รู้ว่าหน้าตานางเป็นอย่างไร
“อืม พี่สาวเฟิ่งเก่งมาก” หยางหยางพยักหน้า พูดถึงเฟิ่งจิ่ว สีหน้าเขาก็ไม่เหมือนเดิม ดวงตาเปล่งประกายจนไม่อาจปกปิดความเลื่อมใสนับถือที่มีต่อนางได้
“หยางหยาง เจ้าเล่าเรื่องเสี่ยวจิ่วจิ่วให้ข้าฟังหน่อยเถิด! ข้าอยากรู้” เขาดึงแขนเสื้อของหยางหยาง เสียงเล็กแหลมแฝงไว้ด้วยความอยากรู้
“ฝึกกระบี่ก่อน ฝึกแล้วค่อยเล่าให้ท่านฟัง” หยางหยางตอบ ก่อนจะถอยหลังตั้งท่าฝึกฝน
เมื่อเห็นอย่างนั้น เสี่ยวเฟิ่งเยี่ยจึงทำได้เพียงรับคำ หยิบกระบี่ไม้ขึ้นมาฝึกอีกครั้ง แอบตั้งมั่นกับตนเองในใจเงียบๆ ว่าจะตั้งใจฝึกวรยุทธ์ จะได้ลงเขาไปหาท่านพ่อกับท่านแม่เร็วๆ
ขณะเดียวกัน บนยอดเขาอีกลูกในสำนักเซียนเมฆา ต้วนเยี่ยที่เพิ่งออกจากการเก็บตัวเดินออกมาจากถ้ำ เด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งรีบโฉบกายมาปรากฏตัวตรงหน้า
“นายท่าน นี่เป็นข่าวที่ถูกส่งมาจากทางนั้นขอรับ”
ต้วนเยี่ยรับไปดูครู่หนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงแววตกตะลึง “พักนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”