เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 29 หัวเราะอย่างสับปลับ! + ตอนที่ 30 จ้องน้องชายข้าทำไม!
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 29 หัวเราะอย่างสับปลับ! + ตอนที่ 30 จ้องน้องชายข้าทำไม!
ตอนที่ 29 หัวเราะอย่างสับปลับ!
“หมาป่าพวกนั้นยังไม่ไปอีก? พะ พวกมันคิดจะตามไปตลอดเลยรึ?” เขาตกตะลึงอยู่น้อยๆ เดินมาตลอดทาง ไม่ทันสังเกตเลยว่าด้านหลังมีหมาป่าสิบกว่าตัวตามมา
เขาไม่กล้าจินตนาการเลยจริงๆ ว่าภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้นี้ หากหมาป่าพวกนั้นกระโจนเข้ามาจะมีผลเช่นไร…
“ไม่เป็นไร พวกมันไม่กล้าพุ่งเข้ามาหรอก พวกมันแค่รอโอกาส” เฟิ่งจิ่วมองแวบหนึ่ง ถอนสายตากลับแล้วเดินต่อไป
เธอรู้ดีว่าหลังจากใช้ชั้นเชิงที่ทั้งดุร้ายและรุนแรงสังหารหมาป่าพวกนั้น ก็ข่มขวัญพวกมันสำเร็จแล้ว พวกหมาป่าไม่กล้ากระโจนเข้ามาโดยง่าย เพราะพวกมันรู้ชัดเจนดีว่าผลของการพุ่งเข้ามาคือความตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทว่าก็ไม่เต็มใจนักที่จะจากไปเช่นนี้ ดังนั้นถึงได้ตามติดพวกเขามา และคอยหาโอกาส
“จะให้พวกมันตามมาเช่นนี้รึ?” ชายหนุ่มถามอย่างตื่นตระหนก นึกไม่ถึงว่าจะเห็นเขาไม่กังวลใจเลยสักนิด จึงประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
เห็นชัดว่าเขาอายุน้อยกว่าตน แต่ทำไมถึงมีความห้าวหาญและฝีมือเช่นนี้ได้?
ฝีเท้าเฟิ่งจิ่วชะงักลง เธอชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “งั้นเจ้าจะไปไล่ให้หรือ?”
“เอ่อ…ยังไม่ต้องหรอก ให้พวกมันตามไปเถอะ!” เขาเกาหัวยิ้มๆ อย่างเหนียมอาย
เช่นนั้น หากมีคนอยู่ใกล้ละแวกนี้ ก็จะเห็นภาพที่แสนแปลกตา
ด้านหน้ามีสองคนกำลังเดินโซซัดโซเซ โดยมีหมาป่าเทาสิบกว่าตัวเดินตามอยู่ห่างๆ ประมาณสามจั้งพลางแยกเขี้ยวน้ำลายสอ…
“น้องชาย เจ้าว่าบนหยกประดับนี้จะเป็นชื่อของข้าหรือไม่?” เขายื่นหยกประดับชิ้นหนึ่งให้เฟิ่งจิ่ว พลางถาม “เดิมทีมันแขวนอยู่ที่คอข้าน่ะ”
เฟิ่งจิ่วรับป้ายหยกมาดู บนนั้นสลักตัวอักษรไว้สามตัวอย่างที่คิดไว้ “กวนสีหลิ่น?”
น้ำเสียงสะดุดไปเล็กน้อย เธอเหลียวมองเขาแล้วพูดว่า “เจ้าชื่อกวนสีหลิ่น?”
“ข้ารู้สึกว่าเป็นไปได้”
เธอยื่นป้ายหยกคืนให้เขา กล่าวอย่างยิ้มๆ “เดิมข้านึกว่าเจ้าชื่อเจ้ายักษ์ทึ่มเสียอีกน่ะ!”
กวนสีหลิ่นมองอีกฝ่ายอย่างหมดคำพูด และไม่ปริปากอะไรอีกอย่างรู้จังหวะ
ทั้งสองเดินทางไปอีกสักพัก พวกหมาป่าด้านหลังก็ยังคงตามอยู่ ไม่มีความคิดที่จะจากไปเลย
จนกระทั่งกวนสีหลิ่นทำจมูกฟุดฟิด แล้วฉีกยิ้มพูดกับเฟิ่งจิ่ว “น้องชาย ข้างหน้ามีคน พวกเรารีบเดินเถอะ พอถึงด้านหน้าก็แค่ให้คนพวกนั้นให้พวกเราตามไป เช่นนั้นหมาป่าที่ตามหลังมาคงไม่กล้าโจมตีเราอีกแน่”
“มีคน? เจ้ารู้ได้ยังไง?” เฟิ่งจิ่วมองๆ ไปด้านหน้า นอกจากต้นไม้และใบหญ้า ก็ไม่เห็นร่างใครเลยสักคนเดียว
เขาพยักหน้าแรงๆ “มี ต้องมีแน่ ข้าได้กลิ่นเนื้อย่าง”
“กลิ่นเนื้อย่าง? ทำไมข้าถึงไม่ได้กลิ่นล่ะ?” เธอพึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอีกหน่อย ตามที่คิดไว้ เธอได้กลิ่นเนื้อย่าง และยังได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่รางๆ จึงอดไม่ได้ที่จะมองกวนสีหลิ่นข้างกายอย่างประหลาดใจ
นี่เขามีจมูกสุนัขรึ?
“เหอะๆ ใช่หรือไม่? ข้าบอกแล้วว่ามีคน!” เขายิ้มอย่างได้ใจ “พวกเรารีบเดินเถอะ พอไปถึงด้านหน้า ขอแค่พวกเขายอมให้เราตามไปด้วย บนเส้นทางนี้ต่อให้เผชิญกับสัตว์ร้ายอีกก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”
“เจ้าคิดว่าคนเขาจะยอมให้พวกเราตามไปตามใจชอบแน่หรือ?” เธอถลึงตามองเขา “เพราะข้าเพิ่งจะกินอิ่มหรอก ถึงได้พาเจ้ามาด้วย”
เห็นเขายืนอยู่ซื่อๆ ด้วยใบหน้าทำอะไรไม่ถูก เฟิ่งจิ่วถลึงตามอง ก่อนจะเอ่ยว่า “ที่นี่คือป่าเก้าหมอบ มีสัตว์ร้ายมากมาย อันตรายรอบด้าน เจ้าบอกซิว่าหากคนอื่นเห็นพวกเราสองคนเข้าจะเป็นเช่นไร?”
“จะเป็นเช่นไร?” เขาถามอย่างอึ้งๆ ทำหน้าเหมือนไม่รู้เหตุผล
“เจ้าโง่! ก็คิดแน่ล่ะว่าพวกเราเข้าใกล้พวกเขาคงมีเป้าหมายอะไร!”
“เช่นนั้นจะทำยังไงล่ะ?”
เฟิ่งจิ่วกลอกตาเบาๆ ริมฝีปากผลิรอยยิ้มสับปลับ “ไม่เป็นไร ข้ามีวิธีอยู่ เจ้ารอดูข้าแล้วกัน”
…………………………………………………….
ตอนที่ 30 จ้องน้องชายข้าทำไม!
หลังจากนั้น กวนสีหลิ่นตามเฟิ่งจิ่วเข้าใกล้คนพวกนั้นอย่างเงียบๆ คอยสังเกตุการณ์อยู่หลังต้นไม้ไกลๆ สักพักหนึ่งก่อน จากนั้นค่อยเดินนำเขาไปด้านหน้าอย่างวางมาด เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายคงเตรียมการอะไรให้คนพวกนั้นพาพวกเขาไปด้วย กลับนึกไม่ถึง ตลอดทางเขากลับเดินผ่านบริเวณรอบๆ คนพวกนั้นไปโดยไม่ส่งเสียง และไม่ปรายตามองไปทางคนกลุ่มนั้นเลยสักนิด
แต่คนพวกนั้นพลันเห็นการปรากฏตัวของทั้งสองคน จึงระวังตัวกันขึ้นมาทันใด หลังจากผู้เป็นหัวหน้าแอบพินิจมอง ถึงจะคลายความระแวดระวังลง เพราะวรยุทธ์ของทั้งสองไม่ได้สูงมากนัก ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรสำหรับพวกเขา
ทว่าตอนนั้นเอง ก็ได้ยินพวกพ้องร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก
“คุณชายสาม นั่นฝูงหมาป่าขอรับ!”
เพราะเสียงร้องตกใจนี้ ทั้งสามสี่คนที่เดิมนั่งพักกันอยู่จึงเตรียมพร้อมระวังอย่างว่องไว และยามนี้เอง เฟิ่งจิ่วที่เดินไปข้างหน้าแล้วได้ยินที่พวกเขาพูดกันก็อุทานออกมา
“อะไร? ฝูงหมาป่ารึ? ที่ไหนล่ะ? ตรงไหน?” เธอถามอย่างร้อนรนพลางก็ลากกวนสีหลิ่นถอยไปรอบๆ คนพวกนั้น
“พวกเจ้าเป็นใคร? หมาป่าฝูงนั้นเป็นพวกเจ้าลากมาล่ะสิ!” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งตะโกนเสียงเข้ม มองพวกเขาอย่างขุ่นเคืองอยู่บ้าง
“จะเป็นไปได้อย่างไร?”
เฟิ่งจิ่วถลึงตามอง ก่อนกล่าวว่า “พวกนั้นเป็นหมาป่านะไม่ใช่ลูกแมว พวกข้าจะล่อมันให้ตามมาได้อย่างไรล่ะ? อีกอย่างถ้ารู้ว่ามีหมาป่าตามมา พวกข้าคงรีบวิ่งหนีไปก่อนแล้ว ไหนเลยจะเดินกันมาช้าๆ เช่นนี้?”
“พี่หก อย่าได้หุนหันพลันแล่นไปก่อนเลย ระวังตัวไว้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้!” ชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าตะโกนเสียงทุ้มต่ำ “พวกนั้นเป็นสัตว์ร้ายหมาป่าเทา ความเร็วสูงยิ่ง ทุกคนต้องระวังด้วย”
เฟิ่งจิ่วเห็นกลุ่มพวกเขาตั้งวงล้อมป้องกันในบริเวณรอบๆ เฉกเช่นผู้ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ส่วนเด็กหนุ่มเด็กสาวที่อายุค่อนข้างน้อยได้รับการคุ้มกันอยู่ตรงกลาง เธอลากกวนสีหลิ่นเคลื่อนไปใกล้กองกำลังของพวกเขา ทว่าก็แค่เฝ้าอยู่รอบนอก มิได้เข้าไปในวงล้อมป้องกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็แลกมาด้วยสายตาขุ่นเคืองของสาวน้อยคนหนึ่งในวงล้อมป้องกัน
“ขอทานน้อย เนื้อตัวเจ้ามอมแมม ออกไปห่างๆ ข้าหน่อย!”
“น้องหญิง อย่าเสียมารยาท” เด็กหนุ่มตะโกนด้วยน้ำเสียงเคร่ง ไม่ค่อยพอใจกับความจองหองและหยาบคายของเด็กสาว
เขามองเฟิ่งจิ่วกับกวนสีหลิ่น เอ่ยอย่างอบอุ่นว่า “ข้าเห็นว่าวรยุทธ์ของพวกเจ้าสองคนไม่สูง มายืนในวงล้อมป้องกันนี้เถอะ! ความแข็งแกร่งของท่านอาพวกเรากับองครักษ์เป็นถึงอันดับหนึ่ง แค่หมาป่าไม่กี่สิบตัวไม่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเรานักหรอก”
“ฮ่าๆ ไม่เลว! แค่หมาป่าไม่กี่สิบตัวเท่านั้นเอง พวกเราจะได้ออกกำลังกระดูกกระเดี้ยวพอดี” ชายร่างกายกำยำคนหนึ่งได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มก็หัวเราะเสียงดัง พลางกวัดแกว่งขวานใหญ่ในมือ “ข้าใช้แค่ขวานเดียวก็ฆ่ามันได้ตัวหนึ่งแล้ว!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หัวหน้าชายวัยกลางคนส่ายหัวกับตัวเอง “เถี่ยหนิว ไม่ว่าเมื่อใดก็อย่าได้ใจจนประมาทศัตรู ระวังตัวไว้ให้ดี หากฝูงหมาป่ากระโจนมาค่อยสู้”
“ขอรับๆๆ” ชายผู้นั้นขานรับยิ้มๆ เขาจ้องมองฝูงหมาป่าที่อยู่ไม่ไกล พอเห็นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีก “คุณชายสาม ท่านก็เห็นว่าพวกฝูงหมาอะไรนี่ไม่กล้าเข้ามา! ฮ่าๆๆๆ คงกลัวข้ากันแน่แล้ว”
เฟิ่งจิ่วได้ยินคำพูดหลงตัวเองนี้ จึงหัวเราะเยาะเย้ยไปอย่างอดใจไม่ได้ ถึงค่อยพูดกับเด็กหนุ่มว่า “ขอบคุณคุณชายน้อยท่านนี้มาก พวกเรายืนอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้ว”
“เจ้าหนู เจ้าหัวเราะอะไร? หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่มีฝีมือพอจะทำให้ฝูงหมานั่นกลัวจนถอยไป?” ชายผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้นดั่งอสูรร้าย มองเฟิ่งจิ่วเขม็งด้วยสีหน้าไม่ชอบใจนัก
เฟิ่งจิ่วยังไม่ทันพูดอะไร กวนสีหลิ่นที่อยู่ข้างๆ ก็ดึงเธอไปด้านหลัง
เห็นแต่เขาขวางอยู่ด้านหน้า ยืดอกขึ้นแล้วถลึงตามอง “เจ้ามองน้องชายข้าทำไม!”
…………………………………………………….