เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 371 ถูกจับตัวไป! + ตอนที่ 372
ตอนที่ 371 ถูกจับตัวไป!
จวนตระกูลเฟิ่ง
ค่ำคืนดึกดื่นมีความเงียบสงบ ยามเที่ยงคืนเป็นเวลาที่หลับลึกที่สุด แม้จวนตระกูลเฟิ่งทั้งที่ลับที่แจ้งจะมีคนเฝ้าอยู่ ทว่าร่างหนึ่งยังคงแอบเขามาอย่างเงียบเชียบและมาถึงเรือนที่พำนักผู้เฒ่าราวกับภูตผี
กระแสลมสองสายพุ่งออกมาจากง่ามนิ้วอย่างไร้เสียง ทหารอารักขาที่เฝ้าเรือนจึงร่างกายแข็งทื่อยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เพียงเห็นร่างสีดำที่สวมผ้าคลุมดำตัวใหญ่พุ่งผ่านข้างกายแล้วแอบเข้าไปยังห้องผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าที่หลับอยู่ในห้องเดิมยังหลับไม่สนิทดี เมื่อจู่ๆ มีกลิ่นอายที่ไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในห้องเขาที่อยู่บนเตียงพลันลืมตาพลิกตัวขึ้นมานั่ง ขณะกำลังจะเปล่งเสียงตะโกนร่างสีดำก็โน้มตัวเข้าใกล้และใช้มือหนึ่งจี้จุดชีพจรบนร่างเขาไว้ร่างกายจึงหมดสติเป็นลมไปในทันที…
คนชุดดำที่สวมเสื้อคลุมปิดทั่วร่างไว้อย่างแน่นหนาเข้าไปแบกคนขึ้นบ่า เมื่อเตรียมตัวจะออกไปเงียบๆ กลับพบเหล่าไป๋ที่ดึกดื่นมืดค่ำยังวิ่งเล่นไม่หลับไม่นอนอยู่ตรงภูเขาจำลอง
“ฮี้!”
เมื่อเห็นคนชุดดำจับตัวผู้เฒ่าพุ่งผ่านไปเหล่าไป๋ก็โผตัวกระโจนเข้าไปอ้าปากกัด ใครจะนึกว่ากลับถูกผงแป้งสาดมารับหน้า จึงร้องเสียงเบากลับหมอบลงพื้นและหมดสติไป
คนชุดดำที่สวมผ้าคลุมหันกลับไปมองเหล่าไป๋บนพื้น ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อจับตัวผู้เฒ่าหายไปกลางค่ำคืนอย่างรวดเร็ว…
เช้าตรู่วันต่อมา
หลังจากเข้ามาเยี่ยมเฟิ่งเซียวกวนสีหลิ่นก็ไม่เห็นร่างผู้เฒ่า จึงถามว่า “ท่านพ่อบุญธรรม ท่านปู่ยังไม่เข้ามาหรือขอรับ?”
เฟิ่งเซียวที่นั่งพิงอยู่บนเตียงส่ายหน้า บอกว่า “เช้านี้ข้ายังไม่เห็นเขาเลย คงจะยังไม่ตื่นกระมัง!”
ช่วงเวลาที่พักฟื้นประกอบกับการรักษาจากด้านยาและยาอายุวัฒนะร่างกายจึงฟื้นตัวได้เร็วยิ่ง แต่ตอนไอตรงทรวงอกยังคงเจ็บ ถึงแม้สภาพจิตใจและเลือดลมจะฟื้นสภาพเกือบสมบูรณ์แต่อวัยวะภายในบาดเจ็บแม้แต่พูดเสียงดังก็ยังดึงจนเจ็บ
เพราะเป็นเช่นนี้ลูกสาวเขาถึงต้องวิ่งโร่ไปป่าเก้าหมอบโดยเฉพาะ บอกว่าจะไปตามหาของพวกของอะไรบางอย่างที่ปรุงเป็นยาทาได้กลับมาให้เขา
แต่ไปหลายวันแล้วไม่รู้พวกเขาจะพบอันตรายอะไรหรือไม่?
“ยาที่เสี่ยวจิ่วทิ้งไว้ท่านทานเป็นเวลารึเปล่า? สองสามวันนี้บาดแผลตรงอกไม่ดีขึ้นบ้างเลยหรือขอรับ?”
“อืม ดีขึ้นบ้างแต่ยังโกรธมากไม่ได้ พอโกรธทีก็ยังเจ็บอยู่” เฟิ่งเซียวยิ้มๆ เอ่ยว่า “ที่จริงแบบนี้ถือว่าดีแล้ว หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวจิ่วชำนาญด้านการแพทย์และยาเกรงว่าคงยื้อชีวิตข้ากลับมาไม่ได้”
“ท่านพ่อบุญธรรมอย่าได้กังวล หากเสี่ยวจิ่วบอกว่าฟื้นสภาพสมบูรณ์ได้แปลว่าต้องทำได้แน่นอน เพียงแค่ต้องการเวลาในการรักษาฟื้นตัว แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี รอบาดแผลท่านพ่อดีขึ้นจะได้เก็บตัวฝึกบำเพ็ญ เชื่อว่าพละกำลังจะก้าวหน้ารวดเร็วเป็นแน่ขอรับ”
เฟิ่งเซียวพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ อย่างทอดถอนใจ “ข้าไม่นึกเลยจริงๆ ว่าเสี่ยวจิ่วจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ วันนั้นท่านพ่อยังเคยบอกกับข้าว่าเสี่ยวจิ่วเคยเสนอจะพาพวกเราย้ายไปปักหลักอาศัยยังแคว้นอื่น อันที่จริงตามความคิดข้าจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน แค่ครอบครัวอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าอย่างสงบสุขปลอดภัยก็พอ”
“จริงด้วยขอรับ! ครอบครัวอยู่ด้วยกันก็แข็งแกร่งกว่าอะไรทั้งหมด”
เขามองเฟิ่งเซียวด้วยแววตาเผยประกายความหนักแน่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “ดังนั้นรอข้าฝึกบำเพ็ญสำเร็จจะเข้าไปฝึกในสำนักศึกษาหมอกดาราของแคว้นเหินเวหา จากนั้นค่อยคิดหาวิธีถามหาเบาะแสท่านพ่อท่านแม่ ข้าคิดว่าหากก้าวออกไปอีกหน่อยจะต้องหาพวกเขาพบได้แน่นอนขอรับ!”
เขายิ้มพลางให้กำลังใจ “ไม่เลว ไม่ว่าเรื่องอะไรขอแค่ลงมือทำก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น”
จู่ๆ กวนสีหลิ่นก็อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบ้าง มองเฟิ่งที่นั่งพิงอยู่บนเตียง ลังเลสักพักก่อนจะถามว่า “จริงด้วยท่านพ่อบุญธรรม ทำไมตลอดมาถึงไม่เคยได้ยินพวกท่านพูดถึงท่านแม่บุญธรรมเลย? นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ขอรับ?”
………………………………………………….
ตอนที่ 372 เหล่าไป๋อยู่ไหน?
ได้ยินคำพูดนี้เฟิ่งเซียวก็ผงะไปพักหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปหลับตาลงช้าๆ เพื่อครุ่นคิดโดยไม่ปริปาก
เห็นเช่นนี้กวนสีหลิ่นก็รู้สึกผิดนิดหน่อย รู้ว่าตัวเองถามเรื่องที่ไม่ควรถามจึงรีบบอกว่า “ขออภัยท่านพ่อบุญธรรม ข้าแค่สงสัยจึงถามไป”
เฟิ่งเซียวมองเขาพร้อมส่ายหน้า กำลังจะพูดก็เห็นเหลิ่งซวงด้านนอกเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา
“ท่านผู้นำตระกูล เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”
ยามนี้เหลิ่งซวงสีหน้าเย็นเยียบและเคร่งขรึมส่วนคนที่ตามหลังเข้ามาคือองครักษ์เจ็ดคนนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเหยียบเข้ามาในห้องนี้ และเป็นครั้งที่เห็นท่านผู้นำตระกูลนั่งพิงหัวเตียงด้วยท่าทีไม่เลวหลังจากได้ยินว่าเขาหมดสติยังไม่ฟื้น
แม้ในใจจะสงสัยแต่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือเรื่องที่ท่านผู้เฒ่าถูกคนจับตัวไปที่ไหนไม่รู้!
เฟิ่งเซียวเหลือบมององครักษ์เจ็ดคนที่ตามเข้ามา แล้วมองเหลิ่งซวงพลางถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? มีเรื่องอะไรถึงรีบร้อนเช่นนี้?”
เหลิ่งซวงชะงักเล็กน้อยสักพัก บอกว่า “ท่านผู้นำตระกูลโปรดฟังข้าน้อยพูดจบก่อน และอย่าเพิ่งเดือดเนื้อร้อนใจ”
เห็นเช่นนี้เฟิ่งเซียวก็พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกว่า “พูดมาเถอะ! ข้าไม่ใช่เด็กน้อยคงไม่ตื่นตระหนกหรอก” เขารู้สภาพร่างกายตัวเองดี คำพูดเหลิ่งซวงกำลังเตือนว่าไม่ว่าจะได้ยินข่าวคราวเช่นไรก็ต้องสงบเงียบใจเย็น
และเวลานี้เรื่องที่เขานึกถึงได้มีแค่ผู้เฒ่ากับเสี่ยวจิ่ว หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขาสองคน? เสี่ยวจิ่วอยู่ป่าเก้าหมอบต่อให้มีเรื่องข่าวก็ไม่น่าส่งกลับมาถึงไวเพียงนี้ งั้นเหลือแค่ผู้เฒ่า…
นึกถึงคนที่เมื่อเช้าจนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นเขาก็ถอนกายใจออกมาเบาๆ สงบความคิดที่ตึงเครียดไว้แล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรกับท่านผู้เฒ่ารึ?”
“ท่านผู้เฒ่าถูกคนจับตัวไปเจ้าค่ะ!” เธอมองเฟิ่งเซียวอย่างเป็นกังวลอยู่บ้างด้วยกลัวว่าเขาจะกระวนกระวายใจเพราะได้ฟังข่าวนี้
ทว่าไม่มีเลย เขาหลังได้ยินข่าวสีหน้าท่าทางเยือกเย็น ใบหน้าถมึงทึงคล้างกำลังคิดอะไรกลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแต่ความกังวลในดวงตายังคงไม่อาจซุกซ่อน
“อะไรนะ? ท่านปู่โดนจับตัวไป? นี่ นี่เป็นไปได้ยังไง?”
กวนสีหลิ่นสีหน้าตกตะลึง ไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยินสักเท่าไหร่ ด้วยกำลังท่านผู้เฒ่าใครกันที่มีฝีมือพอจะแอบเข้ามาในจวนเงียบๆ และจับตัวเขาไปภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทำให้ใครๆ แตกตื่น?
“พูดมาอย่างละเอียดซิ”
เฟิ่งเซียวพูดเสียงเข้มพร้อมจ้องเหลิ่งซวงด้วยสายตาคมกริบ “เกิดขึ้นได้ยังไง? แล้วใครบ้างที่รู้เห็น? บอกสิ่งที่เจ้ารู้มาอย่างละเอียดเลย”
“เจ้าค่ะ!”
เหลิ่งซวงขานรับ เอ่ยว่า “ตอนนายท่านออกไปได้กำชับข้าน้อยว่าต้องเข้าไปส่งอาหารบำรุงให้ท่านผู้เฒ่าทุกวัน เมื่อเช้านี้เข้าไปเห็นทหารอารักขาในเรือนท่าทางผิดปกติ ต่างยืนอยู่ตรงนั้นทั้งร่างกายแข็งทื่อ เข้าไปสำรวจดูถึงรู้ว่าถูกคนปิดผนึกจุดชีพจรไว้ พอตรวจดูในห้องท่านผู้เฒ่าเตียงนอนก็เย็นชืด ด้านในห้องไม่มีร่องรอยการต่อสู้ หลังตรวจสอบยังไม่มีเบาะแสอะไรเหลือไว้ สิ่งเดียวที่รู้คือคำบอกเล่าจากปากหทารอารักขาสองสามคนนั้นที่ถูกกดจุดชีพจรไว้ว่าเมื่อคืนมีคนสวมผ้าคลุมสีดำจับตัวท่านผู้เฒ่าไปเจ้าค่ะ”
ตอนนี้ฟั่นหลินก็เข้ามาพูดว่า “ท่านผู้นำตระกูล หลังพวกเรารู้ข่าวจึงไปสอบถามภายในจวนมา บอกว่าเมื่อคืนกลางดึกนอกจากเสียงเหล่าไป๋ร้องก็ไม่มีเสียงอะไรแปลกๆ เลยขอรับ”
“เหล่าไป๋?”
เฟิ่งเซียวตกใจเล็กน้อย ถามว่า “ตอนนี้เหล่าไป๋อยู่ที่ไหน?” สำหรับเหล่าไป๋ที่มีพลังวิญญาณอยู่มากซ้ำยังช่วยชีวิตเขาไว้ ตลอดมาจึงไม่เคยเห็นมันเป็นเพียงพาหนะหรือม้าธรรมดาๆ
……………………