เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 687 เข้าเรียนสำนักพลังวิญญาณ + ตอนที่ 688 ข้าอายเกินไปที่จะบอก
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 687 เข้าเรียนสำนักพลังวิญญาณ + ตอนที่ 688 ข้าอายเกินไปที่จะบอก
ตอนที่ 687 เข้าเรียนสำนักพลังวิญญาณ + ตอนที่ 688 ข้าอายเกินไปที่จะบอก
ตอนที่ 687 เข้าเรียนสำนักพลังวิญญาณ
สองคนมุ่งไปยังสถานที่ฝึกบำเพ็ญของวันนี้ด้วยกัน เพราะอาจารย์แซ่หลี่ว์จะเข้ามาสอนบทเรียนการใช้พลังวิญญาณควบคุมธาตุ นอกจากพวกนักเรียนที่เก็บตัวฝึกบำเพ็ญ นักเรียนระดับสวรรค์ไม่น้อยก็รออยู่ที่นั่นตั้งแต่เช้า
“ดูสิ เฟิ่งจิ่วคนนั้นมาแล้ว”
“ไม่ต้องสอบประเมินก็กลายเป็นนักเรียนระดับสวรรค์ เขาเป็นคนแรกเลย”
“เยี่ยจิงเดินใกล้กับเขามาก”
“เยี่ยจิงเป็นผู้หญิงที่รุ่นพี่โอวหยางถูกใจ ทั่วสำนักศึกษาใครบ้างไม่รู้? เจ้าหนูนี่กล้าเดินใกล้นางเพียงนั้น ไม่ได้เห็นรุ่นพี่โอวหยางในสายตาเลยจริงๆ”
“ช่วงนี้รุ่นพี่โอวหยางกำลังเก็บตัวฝึกบำเพ็ญไม่ใช่หรือ? เรื่องไม่นานมานี้เดาว่าเขาคงไม่รู้”
“หึ ไม่ช้าก็จะรู้”
เฟิ่งจิ่วกับเยี่ยจิงสองคนมาด้วยกัน ยังเดินไปไม่ใกล้ก็ได้ยินเสียงซุบซิบจากนักเรียนพวกนั้น เห็นเช่นนี้เฟิ่งจิ่วเลิกคิ้ว ยิ้มบอกเยี่ยจิงว่า “คนที่ชื่นชอบเจ้ามีไม่น้อยเลย! แต่ละคนต่างเพ่งเล็งข้าทำอย่างไรดี?”
เยี่ยจิงเม้มริมฝีปากยิ้ม “ต่อให้ไม่มีพวกเขาก็เพ่งเล็งเจ้า ใครใช้ให้เจ้ากลายเป็นนักเรียนระดับสวรรค์โดยไม่ต้องสอบประเมินเล่า?”
“นี่ไม่เกี่ยวกับข้านะ เป็นความคิดรองเจ้าสำนักทั้งนั้น ข้าน้อยใจนัก”
“ได้ประโยชน์แล้วยังทำเป็นไม่ชอบใจอีก” เธอหัวเราะเบาๆ แล้วพาเฟิ่งจิ่วมาคอยข้างๆ และไม่ยืนด้วยกันกับคนอื่นๆ เช่นนี้ถึงจะเลี่ยงไม่ให้นักเรียนคนอื่นมาท้าประลองกับเฟิ่งจิ่วอีก
นักเรียนไม่น้อยทยอยกันเข้ามาแล้ว เมื่อทุกคนมาถึงต่างเหลือบมองไปทางเฟิ่งจิ่ว สายตานั้นมีความดูถูกและเหยียดหยาม ชัดเจนว่าแต่ละคนคิดว่าคนคนนี้ไม่มีฝีมืออะไร แค่อาศัยรองเจ้าสำนักเข้ามา
“ระดับสวรรค์มีแค่สองร้อยกว่าคนหรือ?” เฟิ่งจิ่วกวาดมองไป เห็นว่านักเรียนระดับสวรรค์โดยรอบอยู่ด้วยกันไม่ถึงสามร้อยคน
“แค่?”
เยี่ยจิงมองนาง บอกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเข้ามาเป็นนักเรียนระดับสวรรค์ต้องผ่านการสอบประเมินเช่นไร? ที่นี่ทุกคนล้วนเป็นสิบอันดับแรกของนักเรียนระดับโลก”
เฟิ่งจิ่วเพียงกวาดมองระดับพลังวิญญาณของนักเรียนพวกนั้น ทั้งหมดเป็นระดับยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณ ส่วนมากจะอยู่ระดับยอดปรมาจารย์ช่วงที่หนึ่ง สูงสุดก็แค่นักเรียนระดับยอดปรมาจารย์ช่วงที่สาม ส่วนเยี่ยจิงเป็นนักเรียนระดับยอมปรมาจารย์ช่วงที่สามเช่นกัน
ว่ากันตามจริง สำหรับนักเรียนแล้วพละกำลังระดับยอดปรมาจารย์ช่วงที่สามก็โดดเด่นมากจริงๆ ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานปกติจะอายุหลายสิบปี แน่นอนว่าอย่างพวกฮุยหลางนั้นไม่เหมือนกัน
สถานที่ที่พวกฮุยหลางเกินแตกต่างจากพวกเขา และยังคัดเลือกคนที่โดดเด่นจากในหมู่พวกเขามาฝึกอบรมเพิ่ม เสริมด้วยยาอายุวัฒนะ การบรรลุเป็นผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังสำหรับพวกเขาจึงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่อยู่ที่นี่แม้เป็นคนจากแคว้นระดับหนึ่ง อยากจะบรรลุกลายเป็นผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังตอนอายุประมาณยี่สิบพูดได้เลยว่าเป็นส่วนน้อยในน้อยอีกที นอกจากพรสวรรค์ของตนเองยังต้องมียาอายุวัฒนะช่วยในช่วงหลัง มิเช่นนั้นผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังจะบรรลุง่ายดายเพียงนั้นได้เช่นไร? ต้องรู้ไว้ว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็ร่วงลงมาตอนที่กำลังบรรลุระดับหลอมแก่นพลังนี่เอง
“ไม่ต้องพูดแล้ว อาจารย์หลี่ว์มาแล้ว ชั้นเรียนเขาไม่ชอบให้นักเรียนไม่มีระเบียบเป็นที่สุด” เยี่ยจิงลากเฟิ่งจิ่วเดินไปข้างหน้าพวกนักเรียน แต่ละคนยืนเรียงกันเรียบร้อย มองไปยังอาจารย์วัยกลางคนที่มือไพล่หลังเดินมา
เฟิ่งจิ่วเห็นสถานที่ที่เดิมทีมีเสียงกระซิบดังระงมเงียบลงเพราะการมาถึงของอาจารย์ สายตาก็หยุดลงบนร่างอาจารย์คนนั้นโดยทันที และพินิจมองอย่างเงียบๆ
“เรื่องที่เราจะพูดกันวันนี้คือการควบคุมธาตุทั้งห้าในร่าง พวกเจ้า…”
ขณะกำลังพูดสายตาเขาหยุดลงบนร่างเด็กหนุ่มชุดเขียวตรงแถวหน้า กวาดมองลงไปผ่านขนนกเคลือบหลากสีตรงเอวจึงรู้ตัวตนของอีกฝ่าย
………………
ตอนที่ 688 ข้าอายเกินไปที่จะบอก
“เจ้าคือเฟิ่งจิ่วสินะ?”
เขาถามพลางมองหนุ่มน้อย หลังจากจำได้ว่าเขาคือหนุ่มน้อยคนนั้นที่รองเจ้าสำนักพูดถึง สายตาก็กวาดมองบนร่างเขากลับแปลกใจนิดหน่อย บนร่างเด็กหนุ่มไม่เห็นกลิ่นอายพลังวิญญาณแม้แต่น้อย
เก็บซ่อนไว้หรือ? ในใจนึกสงสัยจึงใช้ดวงจิตไปสำรวจกำลังของเด็กหนุ่ม แต่สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงคือใช้ดวงจิตสำรวจแล้วก็ยังไม่เห็นวรยุทธ์พลังวิญญาณของเด็กหนุ่ม ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะสนใจ
“คารวะท่านอาจารย์ ข้าคือเฟิ่งจิ่วขอรับ” เฟิ่งจิ่วก้าวเข้าไปคารวะด้วยความเคารพ
อาจารย์หลี่ว์เห็นเช่นนี้ก็พยักหน้า ถามว่า “พลังวิญญาณเจ้าธาตุอะไร?” กล่าวจบยังบอกอีกว่า “ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นนักเรียนสำนักยาเซียนด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ต้องมีธาตุไฟแน่ แค่รากฐานวิญญาณธาตุไฟ? หรือว่ามีอย่างอื่นอีก?”
“เรื่องนี้…” เธอคิดๆ แล้วบอกว่า “คล้ายว่าข้าจะยังไม่เคยวัด ลืมไปแล้วขอรับ”
ได้ยินเช่นนี้อาจารย์หลี่ว์ตกใจ “ตอนที่เจ้าฝึกบำเพ็ญพลังวิญญาณก่อนหน้านี้ไม่ได้ลองวัดหรือ? แม้เป็นตระกูลทั่วไปก็ควรมีกระมัง? หรือว่าอาจารย์ที่ชี้แนะเจ้าไม่ได้บอก?”
เฟิ่งจิ่วยิ้มเจื่อนๆ “ข้าฝึกบำเพ็ญแค่พลังวิญญาณมาตลอด ก่อนหน้านี้ไม่มีอาจารย์ชี้แนะ ข้าแค่… ฝึกบำเพ็ญด้วยตนเองขอรับ”
ได้ยินคำพูดเฟิ่งจิ่วเหล่านักเรียนด้านหลังแต่ละคนต่างตะลึง แม้แต่อาจารย์หลี่ว์ยังเบิกตาโตด้วยความตกใจ
“มะ ไม่มีอาจารย์ชี้แนะ? แล้วระดับของเจ้า…”
ไม่มีอาจารย์ชี้แนะ ทำไมเขาถึงไม่มีอาการธาตุไฟเข้าแทรก? หรือเด็กหนุ่มคนนี้มีโชคอะไรน่าเหลือเชื่อ?
เฟิ่งจิ่วเห็นอาจารย์เบิกตาจ้องมองเธอก็เกาๆ หัว “ใช่ขอรับ! ข้าฝึกบำเพ็ญด้วยตนเองตามตำราดูดซับพลัง ฝึกไปฝึกไปก็กลายเป็นยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณแล้ว”
เธอไม่รู้จริงๆ ธาตุพลังวิญญาณควบคุมอย่างไร ปกติสู้กับคนอื่นส่วนมากจะใช้พลังเร้นลับ พลังวิญญาณใช้มากสุดแค่ย้ายกลิ่นอายพลังวิญญาณธาตุไฟในร่างมาใช้กลั่นยาเซียน
แต่ร่างแท้จริงของหงส์ไฟน้อยที่ทำสัญญากับเธอก็มีไฟเทวะโบราณ เธอไม่เข้าใจ อย่างไรเสียการไหลเวียนพลังวิญญาณเธอก็ทำตามหัวใจมาตลอด และไม่เห็นว่าจะเกิดปัญหาอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นเธอฝึกบำเพ็ญพลังวิญญาณมาไม่นานเท่าไร เพียงแต่เพราะเดิมเป็นร่างเทพประทับ ระดับพลังวิญญาณจึงพุ่งขึ้นค่อนข้างเร็วเท่านั้นเอง
เหล่านักเรียนด้านหลังได้ยินคำพูดเขาแต่ละคนต่างหน้าแดงก่ำ เบิกตาแดงฉาน ผ่านไปสักพักถึงจะสบถออกมา “บ้าไปแล้ว!”
อะไรคือฝึกไปฝึกไปก็กลายเป็นยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณ?
พวกเขานักเรียนระดับสวรรค์คนไหนบ้างในตระกูลไม่มีอาจารย์ชี้แนะและต้องฝึกอบรบอย่างพิถีพิถัน? เจ้าหนูนี่… นึกไม่ถึงว่าเจ้าหนูนี่จะบอกว่าเขาแค่ฝึกไปฝึกไปด้วยตนเองก็กลายเป็นยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณแล้ว นี่มาชกหน้าพวกเขาหรือไร?
ยามนี้อาจารย์หลี่ว์ยังมีสีหน้าตะลึงและพูดอะไรไม่ออก สอนนักเรียนผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นมามากมายเพียงนั้น ยังไม่เคยเจอใครเหมือนหนุ่มน้อยคนนี้เลย ไม่มีใครชี้แนะก็กลายเป็นยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณได้
ขณะบรรลุขั้นเขายังไม่ธาตุไฟแตก ไม่นอกลู่นอกทาง ทำให้คนเหงื่อเย็นไปทั้งฝ่ามือจริงๆ!
เยี่ยจิงแปลกใจเล็กน้อย นึกว่าเฟิ่งจิ่วอย่างมากก็เป็นแค่ปรมาจารย์พลังวิญญาณ ถึงอย่างไรครั้งนั้นบนถนนใหญ่นางยังถูกตนเองไล่ตีเสียจนไม่มีโอกาสโต้กลับ ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดต่อมา แม้แต่สีหน้านางยังเปลี่ยนไปเป็นแปลกประหลาด
“เช่นนั้นเฟิ่งจิ่ว เจ้าเพิ่งบรรลุระดับยอดปรมาจารย์ได้ไม่นานใช่หรือไม่? แล้วขั้นของระดับปรมาจารย์เล่า?” อาจารย์หลี่ว์เอ่ยถามอีกครั้งพลางจ้องมองเฟิ่งจิ่วด้วยดวงตาฉายประกายเฝ้ารอ หนุ่มน้อยคนนี้เขามองไม่ออกเลยจริงๆ
“เรื่องนี้…”
เธอมองอาจารย์ แล้วหันไปเล็กน้อยเหลือบมองนักเรียนระดับสวรรค์แต่ละคนที่กลั้นหายใจจนหน้าแดงและถลึงตาจ้องมองมา บอกว่า “ข้าอายเกินกว่าจะบอกขอรับ” เธอกลัวจะตอกหน้าพวกเขาเกินไป
………………………………………………….