เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1051 เอาเขานั่นแหละ + ตอนที่ 1052 ผ้าบางนี้
ตอนที่ 1051 เอาเขานั่นแหละ + ตอนที่ 1052 ผ้าบางนี้
ตอนที่ 1051 เอาเขานั่นแหละ
กระทั่งโดนพาไปด้านหน้า มาถึงเบื้องหน้าชายวัยกลางคนอ้วนท้วน เมื่อลั่วเฟยที่โผล่ศีรษะออกมาจากในผ้าห่มเห็นชายวัยกลางคน ก็เบิกตาโตทันควัน
“เอ๊? หน้าตาคล้ายเจ้าเด็กตระกูลลั่วนัก” ชายวัยกลางคนกล่าว เข้าไปมองลั่วเฟยอย่างละเอียดด้วยความสงสัยเล็กน้อย
แม่เล้าข้างๆ ได้ยินก็ปิดปากหัวเราะเบาๆ “จะเป็นไปได้อย่างไร? นี่เป็นเจ้าใบ้พูดไม่ได้ มิเช่นนั้นคงไม่โดนขายมาที่นี่หรอก”
“โอ้? เจ้าใบ้หรือ? ฮ่าๆๆ ดีๆๆ เห็นว่าใบหน้าคล้ายคลึงเจ้าเด็กตระกูลลั่ว วันนี้ข้าจะซื้อเขา กลับไปพวกเจ้าส่งคนไปยังจวนให้ข้าด้วย จำไว้ว่ายังเป็นระเบียบเดิม” เขากำชับแม่เล้าข้างๆ
“นายท่านหวงวางใจเถอะ! พวกเรารู้ว่าจะทำอย่างไร” แม่เล้ายิ้มเอ่ย เดินออกไปข้างนอกพร้อมพวกเขา แล้วสั่งพาคนกลับไป
ลั่วเฟยขัดขืนกลับโดนใช้ผ้าห่มห่อแบกไป เขาจำเจ้าเฒ่าชั่วนั่นได้ เดือนก่อนยังโดนเขาจัดการไป นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอกันที่นี่
นึกถึงสถานที่นี่รวมถึงคำพูดเมื่อครู่ของพวกเขา หัวใจของเขาเริ่มตื่นตกใจ ไม่มีทั้งพละกำลังและผู้ช่วย แม้แต่คำพูดยังเอ่ยออกมาไม่ได้ ไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรดี
เดิมนึกว่าอาศัยโอกาสจัดการเฟิ่งจิ่ว ทำให้เขารู้ว่ายากและถอยไป รู้ว่าเขาลั่วเฟยไม่โอนอ่อนหรือโดนหลอกได้ง่ายๆ ใครจะรู้ว่ากลับทำให้ตนเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
นึกถึงว่าตอนเขาบอกจะสั่งสอนเฟิ่งจิ่ว พวกของต้วนเยี่ยสีหน้าแปลกๆ เขากัดฟันกรอด เจ้าพวกนั้นรู้แต่แรกว่าเฟิ่งจิ่วรับมือยากกลับไม่เตือนข้า ช่างแล้งน้ำใจจริงๆ
กลับไม่คิดว่าเขาไม่เห็นเฟิ่งจิ่วในสายตา อคติคิดว่าคนจากสำนักศึกษาหกดาราสยบเขาไม่ได้แน่ ไม่มีฝีมืออะไร ถึงทำให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ท่ามกลางความตื่นตระหนก เขาโดนพากลับไป บังคับให้อาบน้ำสวมเสื้อผ้าเสียใหม่ แต่เสื้อผ้ายังน่าอายกว่าร่างเปลือย มองเสียจนสีหน้าแดงก่ำ ดวงตาเผยจิตสังหาร
เขาจะรื้อโรงค้าเด็กหนุ่มบ้านี่แน่นอน!
อีกด้านหนึ่งหลังออกจากบ้านตระกูลลั่ว จู่ๆ พวกของต้วนเยี่ยพบว่าอสูรกลืนเมฆาหายไปตั้งแต่เมื่อเช้ามาถึงตอนนี้ จึงถามว่า “เฟิ่งจิ่ว สัตว์เลี้ยงของเจ้าล่ะ? ทำไมไม่ตามมาข้างกายเจ้า?”
“ข้าให้มันไปจับตามองลั่วเฟย” เธอสาวก้าวนวยนาดเดินไป มุมปากมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าเด็กนั่นเป็นอย่างไร? อยากรู้เสียจริงๆ! แต่เขาเป็นเช่นนั้นจะมีใครถูกใจหรือไม่?”
ทั้งสามได้ยินคำพูดนี้ก็มองหน้ากัน มุมปากกระตุก เฟิ่งจิ่วรสนิยมแย่มาก…
เห็นท่าทีบนใบหน้าของเขาคล้ายกำลังเฝ้ารอให้มีคนถูกใจลั่วเฟย พวกเขาถึงกับมีความรู้สึกว่าต่อให้ไม่มีเขาจะผสมโรงเติมไฟอยู่ข้างหลัง เปลี่ยนไม่มีให้กลายเป็นมี
“อะแฮ่ม!”
ซ่งหมิงกระแอมไอ กล่าวว่า “ลั่วเฟยเติบโตที่นี่ คนมีหน้ามีตาแถวนี้ต่างรู้จักเขา ไม่แน่ว่าตัวตนของเขาจะมีคนจำได้”
“คนมีหน้ามีตาจะไปโรงค้าเด็กหนุ่มหรือ?” เฟิ่งจิ่วถามไป สิ้นเสียงก็เอ่ยอย่างไม่สนใจ “หนำซ้ำข้าปิดผนึกกำลังวรยุทธ์ของเขาไว้ และทำให้เขาพูดไม่ได้”
พวกเขาได้ยินเช่นนี้ก็หมดคำพูดไปชั่วครู่ เอาเถอะ! เป็นเช่นนี้จริงๆ โดยเฉพาะคำพูดด้านหลังของเฟิ่งจิ่ว ยิ่งทำให้พวกเขาคิดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาโชคดีนัก อย่างน้อยๆ ก็ไม่ถูกปฏิบัติเช่นนี้
………………………………………………….
ตอนที่ 1052 ผ้าบางนี้
พวกเขาไปถึงที่นั้นกลับไปเข้าไปทางประตูใหญ่ แต่แอบเข้าไปข้างในเงียบๆ มาถึงด้านในและไปหาอสูรเมฆาที่นอนบนหลังคา จึงรู้แน่นอนว่าลั่วเฟยอยู่ห้องไหน
เมื่ออสูรกลืนเมฆาเห็นเฟิ่งจิ่วมาถึง ก็ลุกขึ้นกระดิกหางไปทางนางเฉกเช่นสุนัข แสดงท่าทางเริงร่า
เฟิ่งจิ่วเห็นท่าทางก็อุ้มอสูรกลืนเมฆาไว้ในอ้อมแขน เมื่อสองสามคนข้างๆ เปิดแผ่นกระเบื้องและเห็นลั่วเฟยด้านล่างที่โดนมัดอย่างแน่นหนาไว้บนเตียง พวกเขาพลันเผยรอยยิ้มอย่างสมใจในความโชคร้าย
ภายใต้การให้สัญญาณจากเฟิ่งจิ่ว หลังจากพวกเขาทำให้ชายฉกรรจ์ที่เฝ้าประตูสองคนสลบไปก็ผลักเปิดประตู ต้วนเยี่ยกับหนิงหลางเฝ้าประตูไว้ ส่วนเฟิ่งจิ่วกับซ่งหมิงเดินเข้าไป
“ลั่วเฟย ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่? ทำให้ข้าหาตั้งนานเลยจริงๆ!” เฟิ่งจิ่วกล่าวด้วยท่าทางว่าตามหาเขามานานมาก บอกว่า “เมื่อเช้าตื่นมาไม่เห็นเจ้า นึกว่าเพราะเจ้าหลบหน้าข้าไม่อยากตามพวกเราไปจึงไปซ่อนตัว แต่ดูสถานการณ์แล้ว เหมือนข้าจะคิดมากไป?”
เธอเอ่ยถึงตรงนี้ รอยยิ้มตรงริมฝีปากก็ขยายกว้างอย่างห้ามไม่ไหว เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่ถูกมัดไว้ราวกับบ๊ะจ่างสีหน้าแดงก่ำ ถลึงมองเธออย่างโกรธเคือง ก็ยิ้มอย่างสนุกสนาน สายตาพินิจมองบนร่างของเขา สีหน้าอยากรู้อยากเห็น ถามว่า “จริงด้วย ทำไมเจ้าแต่งตัวเช่นนี้? ผ้าบางเพียงนี้เหมือนไม่สวมอะไรเลยจริงๆ เช่นนี้จะออกไปเจอใครได้?”
“หือ? เหมือนเจ้าจะพูดไม่ได้แล้ว? หรืออายเกินกว่าจะพูด?” เธอหรี่ตายิ้มพลางเอ่ย “ไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก อย่างไรเสียข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า มีอะไรก็พูดมา ไม่ต้องเกรงใจ”
ซ่งหมิงข้างๆ มุมปากกระตุก ละสายตาออกไปเล็กน้อย คิดว่าสภาพของลั่วเฟยน่าอนาถเกินไป โดนมัดเช่นนี้ทิ้งไว้บนเตียง ร่างกายยังสวมผ้าบางแปลกๆ เช่นนั้น ทำให้มองตรงๆ ไม่ได้จริงๆ เสียภาพพจน์เหลือเกิน
“จริงด้วย พวกเราต้องไปแล้ว เจ้าจะตามพวกเราไปหรือไม่?” เธอเอ่ยถามอย่างยิ้มแย้ม พร้อมมองเขาที่พูดอะไรไม่ออก ตบศีรษะและกล่าวว่า “นึกขึ้นได้ เจ้าพูดไม่ได้นี่นา ไม่เป็นไร หากจะตามข้าไปเจ้าพยักหน้าก็ได้ หากไม่อยากก็ส่ายหน้าทันทีเป็นพอ หัวของเจ้ายังขยับได้ไม่ใช่หรือ?”
หัวของเจ้ายังขยับได้…
ลั่วเฟยได้ยินคำพูดนี้ก็แย่แล้ว อะไรเรียกว่าหัวยังขยับได้? หากขยับไม่ได้จะไหวหรือ? อีกอย่างเขาไม่เชื่อว่าเฟิ่งจิ่วไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นเช่นนี้ คิดไปคิดมา นอกจากเฟิ่งจิ่วก็ไม่มีใครจะจัดการเขาเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ยังคิดจะข่มขู่เขาตรงนี้ ให้เขาตามเฟิ่งจิ่วไป เฟิ่งจิ่วคนนี้ร้ายกาจเหลือเกิน
“เป็นอย่างไร? จะพิจารณาเสียหน่อยหรือไม่? หากต้องการข้ายังให้เวลาเจ้าได้อีกหน่อย”
หมายความว่าหากเขาไม่ตกลงตามพวกเขาไป เช่นนั้นพวกเขาจะไปกันแล้ว เขาอยู่ที่นี่ถึงสุดท้ายจะเป็นเช่นไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะยุ่งได้
ลั่วเฟยกัดฟันกรอด เขาที่พูดไม่ได้ก็กลัวจริงๆ จึงรีบพยักหน้าทันควัน กลัวพวกเขาไปกันจริงๆ เขาอยู่ที่นี่จะเดือดร้อน
“ตามข้าไป?” เฟิ่งจิ่วเลิกคิ้ว ในใจกลับแปลกใจเลย หลังจากเห็นเขาพยักหน้าอีกครั้ง ถึงจะเผยรอยยิ้มอย่างพอใจ แล้วให้สัญญาณซ่งหมิงข้างกาย “พาเขาไปด้วย ไปกันเถอะ!”
กล่าวจบร่างสีแดงแพรวพราวก็เดินออกไป
ซ่งหมิงเห็นท่าทางก็รีบเร่งเข้าไปแบกคนบนเตียงและเดินไปข้างนอก ที่นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุย พวกเขาต้องหาที่นั่งคุยกันดีๆ เสียหน่อย
………………………………………………….