เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1129 เป็นศัตรูด้วยไม่ได้ + ตอนที่ 1130 เสียงอุทาน
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1129 เป็นศัตรูด้วยไม่ได้ + ตอนที่ 1130 เสียงอุทาน
ตอนที่ 1129 เป็นศัตรูด้วยไม่ได้ + ตอนที่ 1130 เสียงอุทาน
ตอนที่ 1129 เป็นศัตรูด้วยไม่ได้
ทุกคนได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็ตกใจ เร่งหมุนเวียนกลิ่นอายพลังวิญญาณในร่าง ถึงจะพบว่ากลิ่นอายพลังวิญญาณในร่างหมุนเวียนช้ามาก หากจะสู้กันก็ไม่ไหวแน่นอน
ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณเห็นท่าทางทุกคนนิ่งอึ้งไป ยังเอ่ยอีกว่า “อีกอย่างพวกเขาจัดการผู้ฝึกวิชามารพวกนั้นได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ข้าเห็นพวกเขามีของวิเศษติดตัวมากมาย ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลทั่วไปแน่ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขามาช่วย พวกเราจะสร้างศัตรูไปทำไม?”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้อารมณ์ที่เดิมทีขุ่นเคืองเล็กน้อยถึงจะสงบลง ใช่ เปลี่ยนมาคิดอีกด้านหนึ่ง หากเด็กหนุ่มไม่ช่วยเหลือ พวกเขาอาจตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้ฝึกวิชามารพวกนั้นและไม่เหลือแม้แต่ชีวิตไปตั้งนานแล้ว
“พูดถึงเรื่องนี้ เด็กหนุ่มพวกนี้ใจกล้าไม่น้อยเลยจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเข้ามาแค่ห้าคน หนำซ้ำยังมาถึงที่นี่ได้”
“จริงด้วย ผู้อาวุโสบอกว่าเพิ่มมิตรดีกว่าสร้างศัตรู ข้าคิดว่ามีเหตุผลดี”
คนพวกนั้นกำลังคุยกัน อีกด้านหนึ่งพวกของเฟิ่งจิ่วออกไประยะทางค่อนข้างไกลแล้ว กระทั่งมาถึงบริเวณที่พวกเขาคิดว่าปลอดภัยถึงจะหยุดพัก
หนิงหลางนำสิ่งของออกมาแบ่ง พลางฉีกยิ้มหรี่ตาบอกคนอื่นว่า “แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ได้สิ่งของมาง่ายๆ อีกทั้งยังพัฒนาพละกำลังระหว่างต่อสู้ ปฏิกิริยาตอบโต้ล้วนว่องไว พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่?”
ต้วนเยี่ยเหลือบมองเขา “คนเจ็บไม่ใช่เจ้า ต้องพูดเช่นนี้แน่นอน” บาดเจ็บถึงในท้อง แม้ไม่ถึงชีวิตแต่แค่ขยับก็เจ็บเจียนตาย
“ใช่ ครั้งหน้าอย่ามายุ่งเรื่องเช่นนี้จะดีกว่า ไม่แน่พวกเราช่วยคน สุดท้ายยังโดนคนพวกนั้นฆ่า โลกนี้สิ่งที่ไม่ขาดที่สุดคือคนไม่รู้คุณ”
ลั่วเฟยเอ่ยขึ้นมาบ้าง มองออกว่าคนพวกนั้นแต่ละคนไม่รู้สึกซาบซึ้ง คนไม่ชอบใจก็มี เดาว่าหากผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณไม่ห้ามปราม พวกเขาคงลงมือไปนานแล้ว
“วางใจได้ พวกเขาไม่กล้าสู้หรอก ฤทธิ์ยาในร่างของพวกเขายังฟื้นคืนกลับมาไม่ได้สักพัก ดังนั้นพวกเราจึงปลอดภัย” หนิงหลางกล่าวจบก็มองเฟิ่งจิ่ว “เฟิ่งจิ่ว พวกเราบาดเจ็บกันหมด จะหาที่พักสักสองสามวันหรือไม่? แผลตรงท้องต้วนเยี่ยหนักไม่เบา หากเดินทางไปต่อเช่นนี้คงไม่ดี บาดแผลจะฉีกได้ง่ายมาก”
“อืม พักกันที่นี่เถอะ! ต้วนเยี่ยพักผ่อนตรงนี้ อสูรกลืนเมฆาเฝ้าเขาไว้ พวกเจ้าสามคนตามข้ามา วันนี้พวกเจ้าต้องวางค่ายกล พวกเจ้าสามคนร่วมมือกันวางเขตอาคมตรงนี้ สองสามวันนี้ก็พยายามไม่สู้ รักษาแผลตามร่างกายให้ดีก่อน”
“ค่ายกลกับเขตอาคม? พวกเราเข้าใจเรื่องพวกนี้เพียงผิวเผิน!”
“เพราะพวกเจ้าเข้าใจเพียงผิวเผิน ดังนั้นจึงต้องเรียนรู้ หรือว่าพวกเจ้ารับประกันได้ ว่าจากนี้ไปจะไม่ติดกับในค่ายกลหรือเขตอาคม?” เธอเลิกคิ้วมองพวกเขาพลางเอ่ยไป
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ พวกเขาจำใจเดินตามเขาไปรอบๆ เพื่อเรียนวางค่ายกลและเขตอาคม…
เช้าตรู่สามวันให้หลัง
“แกะผ้าออกเสีย ข้าจะดูบาดแผลของเจ้าหน่อย” เฟิ่งจิ่วมานั่งลงข้างกายต้วนเยี่ย พร้อมให้สัญญาณเขาแกะผ้าตรงท้อง
“ข้ารู้สึกคันๆ ตรงแผลนิดหน่อย ไม่เจ็บ เดาว่าคงใกล้จะหายแล้ว” ต้วนเยี่ยกล่าวพลางถอดเสื้อนอกออกไป แล้วแกะผ้าที่พันแผลลงมา
“พวกเราจะไปเติมน้ำเสียหน่อย ค่อยเก็บผลไม้ป่ากลับมา” ซ่งหมิงกับหนิงกลางเอ่ย แล้วเดินออกไปพร้อมกัน
ลั่วเฟยมองพวกเขา กล่าวว่า “ระวังหน่อยล่ะ”
………………………………………………….
ตอนที่ 1130 เสียงอุทาน
“รู้แล้วๆ” ทั้งสองขานรับโดนไม่หันกลับมา ไม่นานนักก็เดินออกเขตอาคมและก้าวไปนอกค่ายกล เดินไปตรงแหล่งน้ำ
“แผลตกสะเก็ดแล้ว” เฟิ่งจิ่วเอ่ยขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนยาทาให้เขา แล้วพันแผลอีกครั้ง “ยาทานี้ทำให้แผลหายไม่เหลือรอย และเรียบเนียนเหมือนเดิม”
ต้วนเยี่ยได้ยินคำว่า ‘เรียบเนียนเหมือนเดิม’ ก็หมดคำพูดไปบ้าง พลันกลอกตาเอ่ยว่า “ข้าเป็นผู้ชาย ต่อให้ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เรียบเนียนเหมือนเดิมอะไรกัน? ไม่ใช่พวกผิดเพศเสียหน่อย”
กล่าวจบก็จ้องมองเฟิ่งจิ่วที่อยู่ใกล้เบื้องหน้าพลางพึมพำเสียงค่อย “เจ้านึกว่าทุกคนจะเหมือนเจ้าหรือไร? เป็นชายชาตรีทำตัวประหนึ่งไก่อ่อน ผิวพรรณดีกว่าผู้หญิงเสียอีก”
แม้เสียงจะเบา เฟิ่งจิ่วยังได้ยินจึงหัวเราะเบาๆ ในทันที “เจ้าอิจฉาผิวพรรณดีๆ ของข้าล่ะสิ? แต่คำว่า ‘ไก่อ่อน’ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเอ่ยต่อหน้าข้า ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าข้าเป็นไก่อ่อน ภายหลังเจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นอย่างไร?”
เขาได้ยินคำพูดนี้ ผิวหน้าตึงเกร็ง เห็นท่าทางของเฟิ่งจิ่วก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี จึงไม่ถามแต่เอ่ยว่า “รู้แล้วๆ ครั้งต่อไปจะไม่พูดได้หรือยัง?”
“ได้ แผลใกล้จะหายดีแล้ว ลุกขึ้นมาออกกำลังกายก็ไม่เป็นไร พักไปสองสามวันฝีมืออย่าช้าลงเชียว” เฟิ่งจิ่วลุกขึ้นมาปัดๆ ชุดคลุมพลางเอ่ย
ยามนี้ลั่วเฟยก็เข้ามา ถามว่า “เฟิ่งจิ่ว ตอนนี้พวกเราอยู่รอบนอกเทือกเขาอเวจี? ยังไม่เข้าไปรอบในใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่ นี่เป็นเพียงพื้นที่รอบนอก”
ลั่วเฟยได้ยินเช่นนี้ก็พูดไม่ออกสักเท่าไร “ที่นี่จะใหญ่เกินไปแล้ว พวกเราอยู่ในนี้มาหลายเดือน นึกไม่ถึงว่ายังอยู่แค่รอบนอก? นี่ยังร่อนกระบี่บินเดินทาง หากเดินเท้าไปไม่ต้องพูดถึงหนึ่งปีเต็มคงเดินไม่พ้นรอบนอกเลยกระมัง?”
“นั่นแน่นอน ที่นี่เชื่อมต่อกับแปดจักรวรรดิใหญ่ ที่นั่นขนานนามว่าอะไร? เป็นเมืองลอยฟ้า ในนี้ต่อให้ร่อนกระบี่บินไปอยากจะออกไปในเวลาสั้นๆ ก็เป็นไปไม่ได้”
เธอเอ่ยถึงตรงนี้ก็ยิ้มเล็กน้อย มองทั้งสองพลางเอ่ยว่า “ไม่แน่เมื่อไรอาจได้ลองเสียหน่อย ว่าข้ามผ่านที่นี่ไปเมืองลอยฟ้าของแปดจักรวรรดิใหญ่ต้องใช้เวลานานเพียงใด?”
“ไม่น่าเบื่อเพียงนั้นหรอก” ลั่วเฟยเบ้ปาก กล่าวว่า “สำนักหมอกดาราจะลงมาเกณฑ์คนเป็นระยะๆ นอกจากนั่งค่ายกลเคลื่อนย้ายไปที่นั่น ยังนั่งเรือเหาะของพวกเขาได้ มีพวกเขาคุ้มครองก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเจออันตราย คนโง่ถึงจะคิดข้ามผ่านเทือกเขาแห่งความตายไปถึงเมืองลอยฟ้า”
เขาพูดจบพลันนึกอะไรบางอย่างได้จึงมองเฟิ่งจิ่ว เบิกตาโตและเอ่ยว่า “เจ้าอย่าบอกข้านะ ว่าเจ้าวางแผนไว้เช่นนี้? ต่อให้กำลังของเจ้าไหว ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าบุ่มบ่ามจะดีกว่า รอบนอกยังไม่เท่าไร ส่วนลึกแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณก็ไม่มั่นใจว่าจะข้ามผ่านไปได้”
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ “เป็นไปได้อย่างไร? ข้ามผ่านที่นี่จะเสียเวลานานเกินไป ข้าไม่ทำหรอก”
พวกเขาคุยเล่นกันสักพัก เห็นว่าเวลาผ่านไปไม่เห็นหนิงหลางกับซ่งหมิงกลับมา ก็อดตกใจไม่ได้ กล่าวอย่างเป็นห่วงเล็กน้อย “ทำไมพวกเขาสองคนไปนานเพียงนั้น? แหล่งน้ำก็ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมาก!”
ขณะกำลังพูดก็ได้ยินเสียงอุทานดังมาจากข้างนอก เสียงที่คุ้นเคยมีความตื่นตระหนก ทำให้ทุกคนในเขตอาคมตึงเครียดในใจ จึงเรียกพลังพุ่งออกไปทันใด
“หนิงหลาง!”
………………………………………………….