เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1157 สำเร็จคนที่สอง + ตอนที่ 1158 ลมคลั่งโหมพัดในฉับพลัน
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1157 สำเร็จคนที่สอง + ตอนที่ 1158 ลมคลั่งโหมพัดในฉับพลัน
ตอนที่ 1157 สำเร็จคนที่สอง + ตอนที่ 1158 ลมคลั่งโหมพัดในฉับพลัน
ตอนที่ 1157 สำเร็จคนที่สอง
เฟิ่งจิ่วได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า “ก็ดี เช่นนั้นข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้หน่อย”
เธอกับต้วนเยี่ยมานั่งใต้ต้นไม้ บอกเขาเรื่องที่ต้องระวัง แล้วกำชับอีกว่า “ข้างนอกมีคนจับตามองอยู่ แต่ไม่ต้องไปสนใจ พวกเขาไม่กล้าเข้ามาหรอก ข้าจะให้กลืนเมฆาคอยเฝ้าข้างๆ ปกติจะไม่เกิดปัญหาอะไร”
“ได้ ข้ารู้แล้ว เจ้าวางใจเถอะ!” เขาพยักหน้ารับ
เฟิ่งจิ่วเห็นดังนั้นถึงจะเข้าไปข้างในอาศรม กลับไปฝึกบำเพ็ญในห้วงมิติ
ผ่านไปอีกครึ่งเดือนกว่า เมื่อเสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้งในนี้ ทุกคนที่ฝึกวิชาอยู่รอบนอกต่างตกใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าจุดที่สายฟ้ารวมตัวอยู่เป็นตำแหน่งนั้นเมื่อครึ่งเดือนก่อน ยิ่งตะลึงตาค้าง
“ข้ามองไม่ผิดกระมัง ทำไมเป็นที่นั่นอีกแล้ว?”
“บัดซบ! ใครกำลังบรรลุขั้นกันแน่ คนพวกนี้ตั้งใจเข้ามาบรรลุขั้นกันในนี้เลยหรือไร เพิ่งผ่านไปครึ่งเดือนก็มีคนบรรลุขั้นอีกแล้ว? หรือว่าคนของตระกูลใหญ่จะอยู่ข้างใน”
พวกเขาโอบกอดความเคลือบแคลงและความอยากรู้ที่ผุดขึ้นจากก้นบึ้งในใจไว้ แล้วมายังสถานที่นั้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่มีใครกล้าไปสำรวจค่ายกล คนที่เข้าไปที่นั่นตายกันหมด น่าประหลาดเป็นที่สุด พวกเขาจึงไม่กล้าเอาชีวิตตนเองไปทิ้ง
เมื่อไปถึงที่นั่น สายฟ้าครั้งที่สองก็ผ่าลงมาแล้ว พวกเขาได้ยินเสียงฟ้าร้องข้างใน นึกอิจฉาเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ คนบรรลุขั้นจริงๆ ก็มากมาย คนฝึกบำเพ็ญยิ่งไปถึงท้ายสุดยิ่งจะบรรลุขั้นได้ แต่คนด้านในผ่านไปครึ่งเดือนบรรลุขั้นหนึ่งครั้ง คงไม่ใช่คนคนเดียวกันกระมัง?
ใช่สิ จะเป็นคนเดียวได้อย่างไร น่าจะเป็นคนตระกูลเดียวกันมากกว่า
พวกเขาวนเวียนอยู่ด้านนอก กระทั่งสายฟ้าครั้งที่สามผ่าลงมายังไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปในค่ายกล แต่ละคนจึงทยอยกันกลับไป
คนอื่นอย่างไรเสียก็ยังเป็นคนอื่น คนอื่นบรรลุขั้นไม่ใช่ตนเองบรรลุขั้น อย่าไปยุ่งมากเพียงนั้นจะดีกว่า สนใจเรื่องของตัวเองเป็นพอ
ภายในเขตอาคม เป็นจริงอย่างเฟิ่งจิ่วคาดการณ์ไว้ ซ่งหมิงบรรลุเข้าสู่วรยุทธ์ระดับหลอมแก่นพลังต่อจากต้วนเยี่ย
ตอนซ่งหมิงลืมตาขึ้นมา เห็นต้วนเยี่ยกำลังเป็นผู้คุ้มกันให้ตนเอง ก็กระโดดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้าบรรลุขั้นนานแล้วหรือ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเร็วกว่าข้า?”
ต้วนเยี่ยเหล่มองเขา บอกว่า “เร็วกว่าเจ้าก็เป็นเรื่องปกติ เฟิ่งจิ่วบอกว่าข้าสมควรเป็นคนแรก” เขาเชิดคางเอ่ยอย่างค่อนข้างภูมิใจ
ซ่งหมิงได้ยินเช่นนี้ก็เบะปาก “พอแล้วเจ้าน่ะ! แล้วเจ้าบรรลุระดับหลอมแก่นพลังตั้งแต่เมื่อไร?”
“ครึ่งเดือนก่อน” ต้วนเยี่ยเอ่ยตอบ
“ฮึ! เร็วกว่าข้าตั้งครึ่งเดือน!”
ได้ฟังคำพูดนี้ ต้วนเยี่ยก็คร้านจะโต้เถียงด้วย เพียงกล่าวว่า “หลังจากข้าบรรลุขั้นเฟิ่งจิ่วก็เข้าไปฝึกบำเพ็ญในอาศรม ข้าจึงรับผิดชอบเป็นผู้คุ้มกันให้พวกเจ้า ตอนนี้เจ้าถึงระดับหลอมแก่นพลังแล้ว เช่นนั้นพวกเราต้องรับผิดชอบสองคนที่เหลือ”
“วางใจเถอะ! เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องบอกข้าก็รู้ ใครให้พวกเราเป็นพี่น้องกันเล่า! ใช่รึไม่?” เขายิ้มพลางตบบ่าของต้วนเยี่ย แล้วมาดูหนิงหลางกับลั่วเฟยสองคนพร้อมต้วนเยี่ย
“เจ้าว่าพวกเขาสองคนใครจะบรรลุขั้นก่อน?” ซ่งหมิงถาม
“ต้องเป็นลั่วเฟยแน่นอน!” ต้วนเยี่ยเอ่ยขึ้น
“นั่นก็ใช่ แต่ทุกอย่างเรื่องล้วนมีข้อยกเว้น หรือพวกเราจะมาพนันกัน?” ซ่งหมิงฉีกยิ้มพูดเสนอ
“พนัน? ช่างมันเถอะ! ข้าไม่เล่นอะไรพรรค์นี้” ต้วนเยี่ยโบกมือปฏิเสธ
“น่าเบื่อ พนันกันเล็กน้อยไม่เป็นอะไรหรอก” เขาหยิบเหล้าจากในห้วงมิติมาดื่มอึกหนึ่ง
………………………………………………….
ตอนที่ 1158 ลมคลั่งโหมพัดในฉับพลัน
สองเดือนต่อมา ลั่วเฟยกับหนิงหลางบรรลุขั้นห่างกันแค่สองสามวัน และสำหรับที่นี่ ผู้คนรอบนอกได้ยินเสียงฟ้าร้องที่ดังขึ้นบ่อยครั้งจนคุ้นชินแล้ว
ช่วยไม่ได้ แรกเริ่มยังประหลาดใจ ภายหลังจึงตกตะลึง สุดท้ายก็ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องมองก็รู้ว่าคนด้านในค่ายกลพวกนั้นกำลังบรรลุขั้น
เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ พวกเขาไม่กล้าไปหาเรื่องตามใจชอบ บางคนถึงขั้นวางแผนอย่างดีว่าจะส่งคนไปเฝ้าตรงนั้น คิดว่ารอพวกเขาออกมา ค่อยสบโอกาสเข้าไปผูกมิตรเสียหน่อยก็เป็นเรื่องดี
วันนี้ พวกของต้วนเยี่ยสี่คนนั่งล้อมวง มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร ยามนี้พวกเขารู้สึกสับสน เพราะครบเวลาหนึ่งปีแล้ว
หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งจิ่วยังอยู่ในอาศรมไม่ออกมา พวกเขาคงไปจากที่นี่ แยกย้ายไปตามทางของตนเองแล้ว!
“หนึ่งปีนี้ผ่านไปเร็วมากจริงๆ รู้สึกว่าพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว” ซ่งหมิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ คิดว่าเมื่อครบหนึ่งปีแล้วต้องแยกกันไป ในใจก็เกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์อย่างอดไม่ได้
“พอคิดว่าต้องแยกย้ายจากเฟิ่งจิ่ว ข้าก็ไม่สบายใจเลย” ยามนี้ใบหน้าอ่อนวัยของต้วนเยี่ยไร้ซึ่งรอยยิ้ม มีเพียงความเศร้าใจและอาลัย
“ใช่! ข้าก็เหมือนกัน ข้าไม่อยากกลับบ้าน ข้าอยากตามเฟิ่งจิ่วไปต่อทุกแห่งหน ต้องสนุกมากกว่าอยู่บ้านคิดบัญชีมากแน่ๆ”
สองมือของหนิงหลางเท้าคางเจ้าเนื้อ แม้เข้าสู่ระดับหลอมแก่นพลัง กลายเป็นวรยุทธ์ระดับหลอมแก่นพลังแล้ว เขาก็ไม่มีลักษณะเช่นผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับเหมือนเด็กน้อยแสนซน
“เฟิ่งจิ่วเคยบอกว่าจะพาพวกเรากลับไปสำนักศึกษาไม่ใช่หรือ วางใจได้ พวกเราจะอยู่กับเขาไปอีกสักพัก! อีกอย่างถึงแม้แยกย้ายกันไป ภายหน้าพวกเราก็ยังไปหาเขาได้นี่!” ลั่วเฟยกล่าวจบ ก็มองคนอื่นพลางบอกว่า “เขามาจากสำนักศึกษาหกดาราไม่ใช่หรือ พวกเรารู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตามหาเขาไม่เจอ”
พวกเขาได้ยินเช่นนี้จึงมองลั่วเฟย เอ่ยว่า “เจ้าฝึกบำเพ็ญมากเกินไปหรือไร ลืมไปหรือว่าอีกตัวตนหนึ่งของเขาคือภูตหมอ? ตัวตนนักเรียนสำนักศึกษาหกดาราก็ไม่รู้ว่าเป็นของปลอมหรือไม่”
“เช่นนั้นพวกเราถามเขาสักหน่อยก็ได้! อยู่ด้วยกันมานานเพียงนี้ แม้แต่บ้านอยู่ที่ไหนจะไม่ยอมบอกพวกเราเชียวหรือ?”
“เรื่องนี้ก็พูดยากแล้ว”
หนิงหลางกล่าว แล้วบอกว่า “แม้แต่ก่อนข้าไม่สนใจสักเท่าไร แต่ก็รู้ว่าชื่อเสียงของภูตหมอโด่งดังอย่างยิ่ง กลุ่มอำนาจไม่น้อยอยากตามหาตัวเขา แต่เล่ากันว่านอกจากตลาดมืดที่คบหาสมาคมกับภูตหมอ คนพวกนั้นก็ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของภูตหมอและไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแคว้นใด”
“หรือจะเป็นคนแคว้นระดับหนึ่ง?”
“เป็นไปได้อย่างไร? คนแคว้นระดับหนึ่งจะวิ่งไปสำนักศึกษาหกดาราหรือ”
“มันก็พูดยาก อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน พวกเจ้าก็รู้ว่านิสัยเขาพิลึกมาก คนแคว้นระดับหนึ่งวิ่งไปสำนักศึกษาหกดาราจะน่าแปลกอะไร?”
พวกเขาได้ยินคำเอ่ยเช่นนี้ ก็ไม่พูดอะไรต่อ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นไปได้จริงๆ
“กลืนเมฆารู้ไม่ใช่หรือ ลองถามมันดูสิ?” หนิงหลางชำเลืองมองอสูรกลืนเมฆาที่นอนหมอบอยู่นอกอาศรม เอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ให้อสูรกลืนเมฆาปริปากยากกว่าทำให้ก้อนหินพูดได้เสียอีก ช่างเถอะ!” ลั่วเฟยโบกๆ มือบอก
ขณะพวกเขากำลังพูดคุย พลันเห็นว่ากลิ่นอายในอากาศเหมือนจะต่างจากเดิมเล็กน้อย ก็อดตกใจไม่ได้ ลุกขึ้นมามองไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว เพียงเห็นชั้นเมฆสีดำปรากฏบนท้องฟ้า กลิ่นอายทะลักล้นประหนึ่งจะปกคลุมทั้งฟากฟ้าเอาไว้
ในอากาศบนพื้นดิน ลมคลั่งโหมพัดในฉับพลัน เศษหินดินทรายปลิวว่อน ใบไม้ฝุ่นดินพากันลอยขึ้นมาทำให้สายตาพร่ามัว
………………………………………………….