เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1377 ฆาตกรโรคจิต + ตอนที่ 1378 ข้าชื่อลั่วเหิง
ตอนที่ 1377 ฆาตกรโรคจิต + ตอนที่ 1378 ข้าชื่อลั่วเหิง
ตอนที่ 1377 ฆาตกรโรคจิต
ยามเห็นคนนับสิบแต่งกายด้วยเครื่องแบบของสำนักโอสถตะวันโผล่ออกมาจากจุดที่ไม่ไกลนัก แววตาเธอไหวระริกเล็กน้อย ขณะกำลังจะพูด ก็ได้ยินหนึ่งในนั้นตะโกนเสียงดังลั่นว่า “โจรชั่วช่างใจกล้านัก! กล้าสังหารคนในเขตสำนักโอสถตะวันของเรา!”
ได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งจิ่วเลิกคิ้ว สายตาจับจ้องไปที่ตัวคนพูด แล้วอธิบายว่า “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้ผ่านทางที่เดินทางมาสอบเข้าสำนักโอสถตะวัน เมื่อครู่พักผ่อนอยู่ในป่า ได้กลิ่นคาวเลือดจึงเดินมาดูเท่านั้น”
“ที่นี่มีเจ้าอยู่แค่คนเดียว หากไม่ใช่เจ้าฆ่า แล้วจะเป็นใคร!”
เธอได้ยินอย่างนั้นก็มองชายคนนั้นแวบหนึ่งด้วยสีหน้าแปลกๆ “ท่านเอาแต่กล่าวหาว่าข้าฆ่าคน มีหลักฐานหรือไม่? นี่ข้าเพิ่งจะเดินมา ยังไม่ได้เข้าใกล้คนผู้นั้นด้วยซ้ำ จะฆ่าเขาได้อย่างไร อีกอย่าง ข้ากับเขาไร้ซึ่งความแค้นต่อกัน ข้าจะฆ่าเขาไปทำไม?”
นอกจากชายคนที่เป็นหัวหน้า คนอื่นที่ได้ยินเฟิ่งจิ่วพูดอดไม่ได้ที่จะพินิจมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นเด็กหนุ่มเนื้อตัวสะอาด เสื้อผ้าหน้าผมผ่องแผ้วหมดจด แต่งกายเรียบง่าย โดยเฉพาะดวงตาที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาคู่นั้น ดูแล้วไม่เหมือนคนที่จะฆ่าใครได้
“ศิษย์พี่หลิน อาจไม่ใช่ฝีมือของเจ้าเด็กนี่ ท่านดูเขาสิ เนื้อตัวสะอาดหมดจด ซ้ำยังเดินมาจากทางนั้นด้วย” ชายคนหนึ่งกระซิบ
“อืม แน่นอนว่าพวกเราต้องหาคนร้ายให้เจอ แต่ก็ไม่อาจใส่ความผู้บริสุทธิ์ได้”
“ต้องเป็นเจ้าเด็กนี่แน่! นี่เป็นคนที่หกแล้วที่ถูกฆ่า อีกทั้งพวกเราเดินตรวจตราแถวๆ นี้แล้ว ก็ไม่เห็นคนอื่นเลย เจ้าเด็กนี่จู่ๆ ก็มาโผล่ที่นี่ น่าสงสัยมาก หากไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร?”
ชายที่เป็นหัวหน้าจ้องเฟิ่งจิ่วด้วยแววตาเคร่งขรึม ตวาดว่า “เจ้าหนู เจ้าสารภาพมาเสียดีๆ พักนี้คนที่ปล้นชิงทรัพย์และสังหารคนในป่า ก็คือเจ้าใช่หรือไม่!”
เฟิ่งจิ่วลอบกลอกตา ผู้ชายคนนี้ช่างโง่เขลาเสียจริง ถามกันอย่างนี้ อย่าว่าแต่เธอไม่ใช่คนร้ายเลย ถึงเธอจะเป็นคนร้ายก็ไม่มีทางโง่สารภาพออกไปหรอก!
แต่เห็นท่าทางของเขาเหมือนปักใจเชื่อว่าเป็นเธอไปแล้ว เธอจึงก้าวไปข้างหน้า “ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่วันนี้ เมื่อครู่ก็บอกไปแล้วว่าพักผ่อนอยู่ในป่าแล้วได้กลิ่นคาวเลือดจึงเดินเข้ามาดู”
เธอมองคนที่ถูกจับห้อยหัว ก่อนหันไปขอความช่วยเหลือจากอีกสองคนที่อยู่ด้านหนึ่ง “ศิษย์พี่สองท่านนี้ ช่วยปล่อยคนลงมาก่อนได้หรือไม่?”
“หึ ใครเป็นศิษย์พี่ของเจ้า อย่ามาเรียกส่งเดช” สองคนนั้นแค่นเสียง แต่ก็ยังปล่อยคนลงมาตามที่เธอบอก
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ แล้วก้าวเข้าไป กลับได้ยินชายสองคนที่เดินมาขวางหน้าไว้แล้วถามว่า “เจ้าจะทำอะไร?”
“ข้าก็จะช่วยพวกท่านตรวจสอบสาเหตุและเวลาการตายอย่างไรเล่า!”
“เจ้าชันสูตรศพเป็นหรือ?” สองคนนั้นค่อนข้างประหลาดใจ
“อืม เคยมีประสบการณ์มาบ้าง”
เธอตอบ จากนั้นก็หยิบถุงมือจากในแขนเสื้อมาใส่ เปิดเสื้อของศพออกแล้วตรวจสอบดู ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย อธิบายว่า “คนคนนี้เพิ่งตายได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม หมดสติเพราะสูดยาสลบเข้าไป หลังหมดสติแล้วจึงค่อยถูกคนจับห้อยหัวตัดลิ้นปาดคอ จากนั้นก็กรีดเส้นเลือดที่แขนขาทั้งสี่เพื่อปล่อยให้เลือดไหลจนตาย นอกจากนี้ เจ้าโลกของคนคนนี้ก็ถูกตัดไปด้วย วิธีการลงมือแปลกมาก เดาว่าสภาพจิตใจของคนร้ายไม่ค่อยปกตินัก”
วิธีฆ่าคนเช่นนี้ มีร่องรอยของการระบายความโกรธแค้นให้เห็น เธอเคยเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ มากมาย เพิ่งเคยพบเห็นอะไรที่วิปริตอย่างนี้เป็นครั้งแรก
ฆ่าคนก็ฆ่าเถอะ กลับยังทรมานกันก่อนตายอีก เห็นได้ชัดว่าความบิดเบี้ยวของสภาพจิตใจคนผู้นี้อยู่ในระดับโรคจิตแล้ว คนอย่างนี้ควรจับให้ได้จริงๆ ไม่เช่นนั้นครั้งหน้าต้องมีคนตายอีกแน่
ครั้นได้ยินคำพูดของเธอ คนจากสำนักโอสถตะวันทำหน้าแตกต่างกันไป ทว่าไม่มีใครสงสัยเฟิ่งจิ่วอีกแล้ว และบอกว่า “หลายคนก่อนหน้านี้ก็ตายแบบเดียวกัน”
………………………………….
ตอนที่ 1378 ข้าชื่อลั่วเหิง
“พวกท่านบอกว่าก่อนหน้านี้ก็มีคนถูกฆ่าตายหลายคน เช่นนั้นเวลาและสถานที่ที่ถูกฆ่า รวมถึงตัวบุคคล ไม่มีอะไรที่คล้ายคลึงกันเลยหรือ? ความจริงพวกท่านเริ่มวิเคราะห์จากตรงนี้ก็ได้ บางทีอาจจะจับตัวเจ้าฆาตกรโรคจิตนั่นได้ก่อนที่เขาจะฆ่าคนอีกครั้ง”
“เจ้าต้องไปกับพวกข้าด้วย”
ชายแซ่หลินที่เป็นหัวหน้าพูด เขาจ้องหน้าเฟิ่งจิ่วพลางพูดเสริมอีก “คำพูดเหล่านี้ล้วนมาจากปากของเจ้า ถึงเจ้าบอกว่าเจ้าเพิ่งมาถึงที่นี่เป็นวันแรก ไม่มีทางเป็นคนร้ายได้ แต่คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นความข้างเดียวจากเจ้า ตราบใดที่พวกข้ายังจับตัวคนร้ายไม่ได้ เจ้าต้องไปกับพวกข้าด้วย”
ได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งจิ่วขมวดคิ้ว “แต่ข้ายังต้องไปสอบเข้าสำนักโอสถตะวันอีกนะ! นี่หากทำข้าเสียเวลาทำให้ข้าพลาดโอกาสไป ใครจะรับผิดชอบ?”
“พรืด!”
หนึ่งในนั้นหลุดหัวเราะ มองเฟิ่งจิ่วแล้วยิ้มเอ่ย “ตอนนี้สำนักเราเปิดรับก็แต่ลูกศิษย์สายนอกที่ทำงานชั้นล่าง เจ้าขึ้นไปก็ใช่ว่าจะได้รับคัดเลือกเสมอไป แต่หากพวกข้าช่วยเจ้าพูดไม่กี่คำ กลับจะเข้าสำนักได้โดยไม่ต้องสอบเลยด้วยซ้ำ เจ้าคิดว่าทางไหนคุ้มกว่ากันเล่า?”
ได้ยินเช่นนั้น แววตาของเฟิ่งจิ่วไหวระริกเล็กน้อย แต่ภายนอกกลับทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “ท่านพูดจริงหรือ ไม่ได้โป้ปดใช่ไหม? หากถึงเวลานั้นแล้วข้าเข้าสำนักไม่ได้จะทำอย่างไร?”
“โป้ปด?” ชายคนนั้นเชิดคาง เอ่ยด้วยสีหน้าย่ามใจ “เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าเป็นใครสินะ? ท่านอาจารย์ของข้าเป็นถึงศิษย์เอกของปรมาจารย์ซานหยางเชียว แค่จะรับศิษย์ทำงานชั้นล่างคนหนึ่งเข้าสำนัก อาจารย์ข้าเอ่ยปากคำเดียวก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
“อย่างนี้นี่เอง…” ดวงตาเธอเป็นประกาย ยิ้มกว้างแล้วรับปาก “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะไปกับพวกท่าน!” ชื่อเสียงของซานหยางจื่อในสำนักโอสถตะวันไม่ธรรมดาเลย ท่านแม่ของเธอเป็นศิษย์ของเขา นึกดูแล้วถ้าเข้าไปอยู่ในนี้ก็คงไม่เลวกระมัง?
ในเมื่ออาจารย์ของผู้ชายคนนี้เป็นศิษย์เอกของซานหยางจื่อ เช่นนั้นก็น่าจะรู้เรื่องท่านแม่ของเธอบ้าง ถ้าอย่างนั้น…
นึกมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเธอ จากนั้นก็ก้าวเข้าไปประสานมือคารวะ “ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ท่านนี้ชื่ออะไร?”
“ข้าแซ่ลั่ว ชื่อเหิง เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ลั่วก็ได้!” เขาโบกมือ ทำท่าเหมือนบอกว่าครั้งนี้เจ้าได้ประโยชน์ไปเต็มๆ
“ขอรับ ศิษย์พี่ลั่ว ต่อไปขอท่านช่วยชี้แนะข้าด้วย” เธอรับคำไปตามน้ำ จากนั้นก็หันไปคารวะให้คนอื่น แล้วจึงเดินไปยืนข้างลั่วเหิง
เห็นเช่นนั้น คนอื่นกลับไม่พูดอะไรเช่นกัน เพียงให้คนจัดการศพเสีย ก่อนจะเดินเข้าไปในป่าเพื่อตรวจตรารอบๆ พลางอธิบายสถานการณ์ของหลายคนที่ตายไปก่อนหน้านี้ให้เฟิ่งจิ่วฟัง
คนมากมายขนาดนี้เดินวนเวียนอยู่ในป่าก็ยังไม่พบอะไร ระหว่างทางพบคนที่กำลังเดินทางไปสำนักโอสตะวัน จึงเตือนให้พวกเขาระวังตัว ต่อมาทุกคนก็หยุดการเดินตรวจ
“ไม่สู้เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน! พวกเราแบ่งกันตามหากลุ่มละสี่คน! ขอบเขตการตามหาจะได้กว้างขึ้นหน่อย หากมีอะไรก็ตะโกนบอกกัน” ชายหนุ่มแซ่หลินที่เป็นหัวหน้าเสนอ จากนั้นก็แบ่งคนออกเป็นกลุ่มละสี่คน
จนสุดท้ายเหลือแค่เฟิ่งจิ่วกับลั่วเหิงที่ไม่มีกลุ่ม ทั้งสองมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงของชายแซ่หลินดังมา
“เหลือพวกเจ้าสองคนพอดี ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเจ้าสองคนอยู่กลุ่มเดียวกันก็แล้วกัน!”
“ให้ข้าอยู่กลุ่มเดียวกับเขา?” ลั่วเหิงขมวดคิ้ว มองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง “เจ้าอยู่แค่ระดับสร้างรากฐานนี่? ถ้าเจออันตรายอะไรจะไม่เป็นตัวถ่วงข้าหรือไง?”
เฟิ่งจิ่วฉีกยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่เป็นไร สู้ไม่ไหวพวกเราก็หนีได้นี่!”
เพราะถูกกีดกันออกมา จึงทำได้เพียงจับกลุ่มกันแค่สองคน ถ้าเจอเจ้าฆาตกรโรคจิตนั่นเข้า สู้ไม่ไหวค่อยหนีเอาก็ได้!
………………………………….