เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1445 อยู่กันตามลำพัง + ตอนที่ 1446 ชิมฝีมือข้าดู
ตอนที่ 1445 อยู่กันตามลำพัง + ตอนที่ 1446 ชิมฝีมือข้าดู
ตอนที่ 1445 อยู่กันตามลำพัง
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้าปกป้องตัวเองได้”
ซั่งกวนหวั่นหรงกำลังจะอ้าปาก ก็เห็นต้วนมู่ไป๋เดินเข้ามา หน้าตาเคร่งขรึมสั่งเฟิ่งจิ่วว่า “เจ้าเป็นเพียงศิษย์ชั้นล่างขั้นหนึ่งจะปกป้องตัวเองได้อย่างไร? รีบออกไปกับพวกเขาเสีย”
ได้ยินประโยคนี้ เฟิ่งจิ่วกระพริบตาปริบๆ เดินมายืนข้างซั่งกวนหวั่นหรง “อาจารย์อาซั่งกวน ท่านให้ข้าตามไปด้วยเถิด! ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้พวกท่านแน่ อุตส่าห์ได้มาถึงที่นี่แล้ว ข้าก็อยากขึ้นไปเด็ดยาข้างบนนั้นเหมือนกัน!”
เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองต้วนมู่ไป๋ อธิบายเสริมว่า “อีกอย่าง ไม่มีกฎห้ามศิษย์ที่เข้ามาฝึกฝนในนี้เข้าใกล้เขาหมื่นโอสถนี่ขอรับ! ถ้าหากพวกท่านไม่พาข้าไปด้วย เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงอยู่ห่างๆ พวกท่านหน่อย แต่อย่างไรข้าก็จะเข้าไปในเขาหมื่นโอสถอยู่ดี”
ได้ยินเช่นนั้น ซั่งกวนหวั่นหรงสายตาไหวระริก นางมองเฟิ่งจิ่วอย่างลึกซึ้ง แล้วจึงบอกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเจ้าก็ตามข้ามาก็แล้วกัน!”
“ศิษย์น้อง”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไปทำงานของตนเองเถิด! ข้าอยู่ในนี้ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ หากจะมีอะไรจริง ก็คงจะเป็นหลังจากกลับถึงสำนักแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น หากเกิดเรื่องอะไรที่ข้าจนปัญญา ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ขึ้นจริงๆ ขอศิษย์พี่ใหญ่ช่วยชีวิตข้าสักครั้ง”
เสียงของนางหยุดไปครู่หนึ่ง สายตาทอดมองออกไปไกล ถอนหายใจ “ศิษย์น้องยังมีความปรารถนาที่ไม่สมหวัง ยังมีคนที่อยากไปพบ”
ตาย นางไม่กลัว แต่นางกลัวว่านางจะไม่ได้เจอลูกสาวของนาง ไม่ได้เจอชายผู้ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจอีก…
เฟิ่งจิ่วเห็นสีหน้าของนาง กอปรกับน้ำเสียงจนใจนั้นแล้ว หัวใจพลันบีบรัด ท่านแม่ ท่านกำลังคิดถึงข้ากับท่านพ่ออยู่ใช่หรือไม่? อยากกลับไปหาพวกข้าใช่หรือไม่? ความจริงแล้ว ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว อยู่ตรงหน้าท่านนี้เอง
ต้วนมู่ไป๋ได้ยินก็ทำหน้าหนักใจ เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ศิษย์น้องวางใจ ศิษย์พี่ใหญ่รับปากเจ้า” เขามองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง พลางกำชับอย่างไม่วางใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นพวกเจ้าเข้าไปในนั้นแล้วต้องระวังตัวด้วยเล่า”
“เจ้าค่ะ” ซั่งกวนหวั่นหรงพยักหน้ารับคำ มองส่งเขาเดินไปหาอีกสองคน แล้วทั้งสามก็จากไปพร้อมกัน
“พวกเราไปกันเถิด!” นางมองเฟิ่งจิ่วแล้วบอก หันตัวเดินไปข้างหน้า
เฟิ่งจิ่วเดินตามหลัง จ้องมองนาง อ้าปากทำท่าจะพูดอะไร แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี
หรือเธอจะบอกนางไปตรงๆ ว่าเธอคือลูกสาวของนาง? บอกนางว่าเธอก็คือเฟิ่งชิงเกอ? นางจะเชื่อไหม? หากพูดออกไป แม้แต่เธอก็ยังยากจะเชื่อ คนที่เมื่อก่อนเป็นเพียงคนในแคว้นระดับเก้า จะมาอยู่ในแปดจักรวรรดิใหญ่ได้อย่างไร อีกอย่างยังมายืนอยู่ต่อหน้านางด้วย?
หากพูดออกไปอย่างนี้ เกรงว่านางคงมีแต่จะคิดว่าเธอถูกคนอื่นส่งตัวมาตีสนิทกับนางเท่านั้น
นึกถึงตรงนี้ เธอได้แต่เกาหัวอย่างนึกปวดหัว โธ่ แค่อยากทำความรู้จักกับแม่ของตนเอง เหตุใดจึงยากเย็นเช่นนี้?
ซั่งกวนหวั่นหรงที่เดินอยู่ข้างหน้ารู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหลังกำลังจ้องมองนาง จากลมหายใจของเขาดูออกว่าเขากำลังมีเรื่องบางอย่างกวนใจ และกำลังลำบากใจ
แต่เขาไม่พูด นางก็ไม่ถามมาก ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัว
เพียงแต่ นางชะลอฝีเท้าลง มองไปข้างหน้าแล้วบอกว่า “เขาหมื่นโอสถแห่งนี้มีข้อจำกัดทางอากาศ พวกเราทำได้เพียงเดินอ้อมฝั่งนี้ไป แล้วขึ้นเขาจากอีกฝั่งหนึ่ง เจ้าตามติดข้าไว้ สมุนไพรบางอย่างในป่ามีพิษ ห้ามสัมผัสไปเรื่อยจะได้ไม่ถูกพิษ”
“ขอรับ” เฟิ่งจิ่วรับคำ สาวเท้าเร็วๆ เดินมายืนข้างกายของนาง มองนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับนาง
ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง ยังกลัวจะไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกันอีกหรือ? เธอต้องหาโอกาสดีๆ ท่านแม่ของเธอจะได้ไม่คิดว่าเธอถูกใครส่งตัวมา และเกิดความระแวงในตัวเธอ
………………………………….
ตอนที่ 1446 ชิมฝีมือข้าดู
สองวันต่อมา พวกนางถึงค่อยอ้อมตีนเขาแล้วปีนขึ้นเขาหมื่นโอสถได้ เธอตามติดข้างกายท่านแม่ของเธอ มองดูนางสำรวจเส้นทางในป่าอย่างชำนาญ และสำรวจว่ารอบข้างมีสัตว์ร้ายหรือไม่ รวมถึงยามเด็ดยาก็จะระวังว่ามีสัตว์วิญญาณเฝ้าอยู่หรือไม่
เวลาสองวัน กลับไม่เจออันตรายใหญ่หลวงอะไร พวกนางมุ่งหน้าไปยังขอบๆ และเดินเรียบไปตามหน้าผาชันๆ นั่น เหมือนว่าสถานที่ที่ยาชนิดแรกเติบโตอยู่จะเป็นบริเวณหน้าผาสูงชันนั่น
ด้วยเหตุนั้น เธอมองท่านแม่ที่กำลังย่อกายนั่งเด็ดยาชนิดหนึ่ง แล้วถามว่า “อาจารย์อาซั่งกวน พวกอาจารย์อาต้วนบอกว่าท่านจะเด็ดยาทิพย์สามชนิด เป็นยาทิพย์ชนิดใดหรือขอรับ?”
เธอสงสัยมาก เป็นยาทิพย์สามชนิดใดกันที่ต้องเด็ดมาให้ได้? อีกทั้งฟังจากที่พวกเขาพูด เหมือนว่าหากเด็ดยาสามชนิดนั้นมอบให้ซานหยางจื่อจนครบ ท่านแม่ของนางก็อาจต้องตายด้วย? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นได้?
“เป็นยาทิพย์ชั้นดี เจ้าไม่รู้จักหรอก” ซั่งกวนหวั่นหรงบอก หันมองเธอแวบหนึ่ง “เหนื่อยแล้วหรือ? พักสักครู่ดีหรือไม่?”
ได้ยินอย่างนั้น เธอก็รีบบอก “ข้าเพียงแต่หิวแล้ว”
ได้ยินประโยคนี้ นางหยิบยาเลี่ยงความหิวออกมาให้เฟิ่งจิ่ว “ของเจ้ากินหมดแล้วหรือ? เอานี่ไปสิ!”
นึกไม่ถึง เฟิ่งจิ่วกลับส่ายหน้าโบกมือ “ข้าไม่ชอบกินยาคลายความหิว ข้าชอบกินเนื้อขอรับ” พูดมาถึงตรงนี้ เธออดยิ้มไม่ได้
ซั่งกวนหวั่นหรงชะงัก เผยรอยยิ้มจางๆ “จะกินเนื้อก็ต้องลองตามหาบนเขานี้ ดูว่ามีเนื้ออะไรกินได้หรือไม่”
“เช่นนั้นพวกเราพักสักครู่ดีหรือไม่?” เธอมองนางด้วยความคาดหวัง
“พักเถิด! ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกเยอะ ไม่ต้องรีบ” นางบอก หันไปมองรอบๆ แล้วชี้ไปยังที่ไม่ไกลบอกว่า “ทางนั้นก็แล้วกัน! ทางนั้นมีหินเรียบก้อนใหญ่อยู่ก้อนหนึ่ง ข้างๆ ก็ไม่มีหญ้าอะไร พักที่นั่นสักครู่ก็ได้
“ขอรับ” เฟิ่งจิ่วรับคำ แล้วก็บอกว่า “อาจารย์อาซั่งกวน เช่นนั้นท่านไปนั่งพักครู่หนึ่ง ไม่นานข้าจะกลับมา” สิ้นเสียง เธอก็รีบวิ่งออกไป
“อ้าว เจ้า…” ซั่งกวนหวั่นหรงยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นเฟิ่งจิ่วรีบวิ่งออกไปแล้ว จึงทำได้เพียงนั่งบนก้อนหินแล้วรอเขากลับมา
เวลาประมาณหนึ่งก้านธูปผ่านไป ซั่งกวนหวั่นหรงที่กำลังดื่มน้ำก็เห็นเด็กหนุ่มชุดเขียวมือหนึ่งจับไก่ป่าสองตัว อีกมือหิ้วกิ่งไม้แห้งกลับมาด้วยหนึ่งมัด เธออึ้ง ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา
“อาจารย์อาซั่งกวน ท่านนั่งเถิดขอรับ เรื่องพวกนี้ข้าทำเอง” เฟิ่งจิ่วยิ้มกว้าง บอกนางว่าไม่ต้องช่วย
ซั่งกวนหวั่นหรงเดินมาข้างกายเฟิ่งจิ่ว รับกิ่งไม้แห้งมัดนั้นไปจากมือเฟิ่งจิ่ว แล้วถามด้วยความแปลกใจ “ตลอดทางที่เดินมาก็ไม่เห็นมีไก่ป่า เจ้าจับมาได้อย่างไร?” ไก่ป่าชนิดนี้วิ่งเร็ว หากไม่เร็วพอก็จับไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในป่าอย่างนี้
“จับไก่ป่าสองตัวไม่เห็นมีอะไรยาก? ปกติข้ามักอยู่คนเดียวข้างนอก เรื่องบางเรื่องก็ทำจนชินแล้ว มีประสบการณ์น่ะขอรับ” เธอยิ้มตาหยีแล้วบอก ให้นางไปนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนตัวเองก็เริ่มลงมือจัดการ
ไม่นาน เธอหยิบกิ่งไม้มาจุดไฟ จากนั้นก็เอาไก่ป่าสองตัวที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วมาย่างไฟ พลางยิ้มบอกว่า “อาจารย์อา ท่านรอชิมฝีมือข้าได้เลยขอรับ! ยาเลี่ยงความหิวอะไรนั่น จะอร่อยเหมือนเนื้อพวกนี้ได้อย่างไรกัน?”
ได้ยินเช่นนั้น ซั่งกวนหวั่นหรงยิ้มบางๆ หยิบกิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่เสียบไก่ป่าไว้ไปจากมือเฟิ่งจิ่ว “ข้าช่วย” เธอมองไก่ป่าถูกย่างอยู่กลางเปลวไฟ มองดูเด็กหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างช่ำชอง ก็อดถามไม่ได้ “เจ้ายังเด็ก เหตุใดจึงได้ทำเรื่องพวกนี้บ่อยๆ?”
“เพราะข้ามักเร่ร่อนไปทั่วอย่างไรเล่าขอรับ!”
………………………………….