เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1555 ข้ามาหาคน + ตอนที่ 1556 ตกใจจนหมดสติ
ตอนที่ 1555 ข้ามาหาคน + ตอนที่ 1556 ตกใจจนหมดสติ
ตอนที่ 1555 ข้ามาหาคน
“ข้ามาหาคน” เขาตวัดมององครักษ์สองนายแวบหนึ่ง บอกว่า “เข้าไปรายงานที ข้าเป็นพี่ใหญ่ของคุณชายชุดแดงผู้นั้น”
ได้ยินอย่างนั้น องครักษ์สองนายสบตากันแวบหนึ่ง หนึ่งในนั้นรีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที
“พี่ชายของคุณชายชุดแดงหรือ” เจ้าเมืองต้วนได้ยินอย่างนั้น ก็ให้คนไปเชิญคนข้างนอกเข้ามา เมื่อเห็นชายฉกรรจ์ชุดเสวียนร่างกายกำยำ สายตาพลันสะดุด
ยามเห็นชายฉกรรจ์คนนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นที่ลอยมาแตะจมูก ครั้นมองอีกที ก็รู้สึกว่าคนคนนี้มีพลังน่าพรั่นพรึง ฝีเท้ามั่นคง ร่างกายสูงตระหง่านเหมือนต้นสน เต็มไปด้วยไอพิฆาต ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ควรหาเรื่องส่งเดช
เขาจ้องมองชายฉกรรจ์ ในใจลอบสงสัย คุณชายเฟิ่งร่างกายสูงเพรียว บุคลิกสูงสง่าเหมือนคุณชายตระกูลผู้ดี สวมชุดแดงดูองอาจผ่าเผย งดงามดึงดูดสายตา ชวนให้ประทับใจตั้งแต่แรกเห็น
แต่คนตรงหน้า สวมชุดเสวียน ร่างกายกำยำล่ำสันไอพิฆาตรุนแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราที่ไม่เคยผ่านการตัดแต่ง กล้ามเนื้อแข็งแรงสมส่วน รอบตัวเต็มไปด้วยพลังดุดันขุมหนึ่ง ฝีเท้ามั่นคงกลิ่นอายลึกล้ำ กลับให้ความรู้สึกเหมือนมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก ดูอย่างไร ก็ไม่มีจุดไหนที่เหมือนคุณชายเฟิ่งที่งดงามและสง่าผ่าเผยเลยแม้แต่น้อย
คนสองคนนี้ จะเป็นพี่น้องกันได้อย่างไร
“ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไร” เจ้าเมืองต้วนที่นั่งตำแหน่งเจ้าบ้านมองอย่างพิจารณาเสร็จ ก็เปิดปากถาม
“ข้าชื่อกวนสีหลิ่น” เขานั่งลง วางดาบลงด้านหนึ่ง หยิบน้ำชาที่คนรับใช้ยกมาให้ขึ้นมาจิบล้างคอ จึงค่อยถาม “เจ้าเมืองต้วน ไม่ทราบตอนนี้น้องชายข้าอยู่ที่ใด?”
เจ้าเมืองต้วนได้ยิน สายตาไหวระริกเล็กน้อย ถามว่า “ท่านบอกว่าแซ่กวนหรือ”
ได้ยินอย่างนั้น กวนสีหลิ่นก็รู้แล้วว่าเขาเข้าใจผิด จึงหัวเราะเสียงดัง แล้วอธิบายว่า “ข้ากับเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ย่อมแซ่ไม่เหมือนกัน เจ้าเมืองต้วนไม่ต้องห่วง ข้าไม่นับผู้ใดเป็นน้องชายส่งเดชอยู่แล้ว”
“อ้อ? เช่นนั้นไม่ทราบว่าน้องชายท่านแซ่อะไร” เขาถามอีก
เห็นอย่างนั้น กวนสีหลิ่นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างมีความนัยแฝง “เขาแซ่เฟิ่ง ฉายาภูตหมอ หากเจ้าเมืองต้วนไม่เชื่อ ให้เขามาพบข้าก็ได้ เท่านี้ก็รู้แล้วว่าข้าไม่ได้โกหก”
ได้ยินอย่างนั้น เจ้าเมืองต้วนเชื่อไปแล้วเจ็ดส่วน ท่าทีเป็นมิตรขึ้นมาทันที “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ โปรดอภัยที่ข้าเสียมารยาท สหายกวนเชิญทางนี้ ข้าจะพาท่านไปพบคุณชายเฟิ่ง”
“รบกวนแล้ว” กวนสีหลิ่นหยิบดาบเล่มใหญ่ขึ้นมา แล้วประสานมือคารวะ เดินตามข้างกายเขาออกไปข้างนอก
“ท่านเจ้าเมือง” พ่อบ้านขานเรียก ก้าวเข้ามากระซิบกับเขาสองสามประโยค ไม่รู้ว่าพูดอะไร
เห็นเจ้าเมืองฟังพ่อบ้านกระซิบเสร็จ ก็หันมามองกวนสีหลิ่นที่อยู่ข้างกายอย่างขอโทษ “สหายกวน ข้ามีเรื่องต้องไปสะสาง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน! ข้าให้พ่อบ้านพาเจ้าไปแทน”
“ได้ เจ้าเมืองต้วนรีบไปเถิด!” กวนสีหลิ่นกล่าว ใครนำทางก็เหมือนกัน แค่ได้เจอเสี่ยวจิ่วก็พอแล้ว
ด้วยเหตุนี้ พ่อบ้านจึงเป็นคนนำทางกวนสีหลิ่นไปที่ลานบ้าน ยามมาถึงลานบ้าน พ่อบ้านกำลังจะอ้าปาก ก็ได้ยินกวนสีหลิ่นบอกว่า “เป็นที่นี่หรือ เข้าใจแล้ว! ข้าเข้าไปเองก็ได้ เจ้ากลับไปเถิด!”
พ่อบ้านชะงัก รีบเอ่ยปาก “คุณชายกวน ข้างในมีค่ายกล อย่างไร…” ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดบทแล้ว
“ค่ายกลหรือ ไม่เป็นไร ข้าอยากลองวิชาอยู่พอดี เจ้าไปทำงานเถิด! อย่ามารบกวนเราสองพี่น้องรำลึกความหลังดีกว่า” กวนสีหลิ่นโบกมือ แล้วก้าวเข้าไป
เห็นอย่างนั้น พ่อบ้านถอนหายใจด้วยความเอือมระอา ทำได้เพียงกลับไปก่อน
………………………………….
ตอนที่ 1556 ตกใจจนหมดสติ
ขึ้นเหนือล่องใต้ไปฝึกวิชากับคนของตลาดมืดมานานขนาดนี้ ของจำพวกค่ายกล เขาก็เคยศึกษามาบ้าง เขาไม่คิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ให้แก่ความยากของค่ายกลอยู่แล้ว
สุดท้ายจึงเดินเข้ามา อีกอย่างเขาคิดว่า นี่น่าจะเป็นค่ายกลที่เฟิ่งจิ่วสร้างขึ้นมา ไม่ได้คิดว่าเป็นค่ายกลของตระกูลต้วน หลังจากเข้ามาในค่ายกล ถึงจะเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็เข้าไปได้สำเร็จ
ครั้นเดินเข้ามาข้างใน ก็เห็นสวนดอกไม้เล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ตรงนั้น หญิงสาวร่างกายบอบบางในชุดกระโปรงสีเรียบกำลังหันหลังให้ เขารดน้ำดอกไม้อยู่ เขานึกว่าเป็นหญิงรับใช้ในเรือนที่ดูแลเฟิ่งจิ่ว จึงตะโกนเรียก
“นี่ แม่นางน้อยที่อยู่ตรงนั้น มาทางนี้หน่อย”
นึกไม่ถึง เมื่อเสียงหยาบกระด้างของเขาตะโกนออกไป คนที่อยู่ทางนั้นกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลย ยังคงรดน้ำดอกไม้ต่อไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเดินเข้าไป แล้วตะโกนเรียกอีกครั้ง “แม่นางน้อย ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ!”
ยังคงไร้การตอบสนอง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเดินเข้าใกล้สวนดอกไม้อีก แล้วตบไหล่นางจากข้างหลัง “นี่!”
ต้วนอิ๋งอิ๋งที่กำลังรดน้ำให้ยาทิพย์ในสวนจู่ๆ ถูกตบไหล่โดยไม่ทันตั้งตัว นางนึกว่าเป็นเฟิ่งจิ่ว จึงหันกลับไปดู แต่กลับตกใจจนไหล่หด การดน้ำที่อยู่ในมือตกพื้น เห็นชายฉกรรจ์ร่างสูงกำยำหนวดเครารุงรังท่าทางน่ากลัว นางหน้าซีดเผือด ตัวอ่อนล้มลงไปทันที
“อะไรเนี่ย ข้าหน้าตาน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ” กวนสีหลิ่นขมวดคิ้ว เอื้อมมือรับร่างของคนที่หมดสติเพราะเขา
เขาอุ้มนางไปที่ศาลา พลางคิดจะเรียกคนมาพาแม่นางน้อยคนนี้ออกไป แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาทางนี้ก่อน ครั้นหันไปมอง ก็เห็นเงาร่างสีแดงปรากฏอยู่ตรงหน้า
“เสี่ยวจิ่ว!” เขาตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ โบกมือให้ผู้มา
ได้ยินเสียงนั้น เฟิ่งจิ่วชะงัก ยามสายตาสะดุดเข้ากับร่างที่อยู่ในศาลา แววตาดีใจผุดขึ้นมา รอยยิ้มแห่งความยินดีพลันเบ่งบานบนใบหน้า “ท่านพี่? ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เธอรีบสาวเท้าเดินเข้ามา พอมาถึงกลับเห็นต้วนอิ๋งอิ๋งหมดสติอยู่ จึงชี้ไปที่นาง แล้วถามว่า “นางเป็นอะไรไป”
“เสี่ยวจิ่ว ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ ตอนข้ากินข้าวอยู่ที่หอสุราในเมืองได้ยินคนข้างนอกกำลังพูดถึงเรื่องของเจ้า ได้ยินคนพวกนั้นบรรยายข้าก็รู้ทันทีว่าเป็นเจ้า” มือใหญ่ของเขาตบลงบนไหล่เธอ “นอกจากเก่งขึ้น อย่างอื่นก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนี่นา! อ้อ ใช่สิ แม่นางน้อยคนนี้ถูกข้าทำให้ตกใจจนหมดสติไปแล้ว”
“ถูกท่านทำให้ตกใจจนหมดสติหรือ” เฟิ่งจิ่วตกตะลึง ยามเลื่อนสายตาไปที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของเขา ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ท่านพี่ ท่านดูท่านสิ อย่างน้อยก็น่าจะโกนหนวดบ้าง โชคดีที่เป็นกลางวัน ถ้าเป็นกลางคืนยิ่งน่าตกใจกว่า”
“ก็ข้าเดินทางอยู่ตลอด จึงไม่มีเวลาโกนหนวดไม่ใช่หรือไงเล่า อีกอย่างข้าก็ชินแล้วด้วย คนที่อยู่กับข้าล้วนเป็นชายฉกรรจ์ มีใครบ้างไม่อยู่ในสภาพนี้”
เขาลูบหนวดบนหน้าตนเอง แล้วบอกว่า “สภาพข้าเช่นนี้ก็ไม่ได้น่าตกใจมาก แต่นึกไม่ถึงแม่นางน้อยคนนี้กลับตกใจจนหมดสติไปเสียได้”
“นางไม่ใช่แม่นางน้อยอะไรเสียหน่อย นางเป็นลูกสาวคนโตของเจ้าเมืองต้วน ชื่อต้วนอิ๋งอิ๋ง” เฟิ่งจิ่วยิ้มบอก
“อ้อ? เป็นลูกสาวของเจ้าเมืองต้วนหรือ ข้านึกว่าเป็นเด็กรับใช้ของเจ้าเสียอีก เมื่อกี้ตอนเข้ามาข้าถามนางว่าเจ้าอยู่ไหน นางก็ไม่ตอบข้าเลย ขี้ขลาดไม่ว่า แต่นิสัยก็ไม่ค่อยดีอีก”
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วหัวเราะเบาๆ “ท่านป้ายสีนางเกินไปแล้ว นางไม่ได้ยินแล้วก็พูดไม่ได้ ไม่ได้ตั้งใจเมินท่าน ความจริงนางเป็นคนดี จิตใจบริสุทธิ์มากทีเดียว”
………………………………….