เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1611 ยาพิษทั้งมวลไม่กล้ำกลายภายในสิบปี ตอนที่ 1612 คราวหน้าทำอย่างนี้ไม่ได้
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1611 ยาพิษทั้งมวลไม่กล้ำกลายภายในสิบปี ตอนที่ 1612 คราวหน้าทำอย่างนี้ไม่ได้
ตอนที่ 1611 ยาพิษทั้งมวลไม่กล้ำกลายภายในสิบปี / ตอนที่ 1612 คราวหน้าทำอย่างนี้ไม่ได้
ตอนที่ 1611 ยาพิษทั้งมวลไม่กล้ำกลายภายในสิบปี
“ท่านพี่ นายท่านน่าจะยังไม่ได้กินข้าว ท่านไปสั่งคนในครัวให้เตรียมอาหารเถิด!” เสียงอบอุ่นของเหลิ่งหวาดังมา ทำให้ฮุยหลางที่ยังพูดไม่จบชะงักงัน และอ้าปากค้างอย่างไปต่อไม่ถูก
“อืม” เหลิ่งซวงรับคำ แล้วสาวเดินจากไป
เหลิ่งยิ้มแล้วมองฮุยหลาง ถามว่า “เมื่อกี้พวกท่านกำลังคุยอะไรกันอยู่?”
“ฮะๆ ไม่มีอะไร กลับเป็นเจ้าหนูอย่างเจ้า ดูเหมือนร่างกายจะกำยำล่ำสันขึ้นมากเลยนะ! ไม่ได้ฝึกด้วยกันนานแล้ว ถ้าอย่างไรพวกเราไปฝึกด้วยกันดีไหม?” ฮุยหลางตบไหล่เหลิ่งหวาแล้วถามยิ้มๆ
“ฝึกหรือ?” เหลิ่งหวามองหน้าเขา ใบหน้าแย้มยิ้มไร้พิษภัย
“ถูกต้อง จะได้ลิ้มลองท่าร่างของเจ้าด้วย ดูสิว่าพักนี้ท่าร่างของเจ้ามีพัฒนาการหรือไม่”
“ลิ้มลองท่าร่างอย่างนี้หรือ?” ขณะพูด ร่างกายของเหลิ่งหวาพลันเคลื่อนย้าย ใช้เท้าเกี่ยวเท้าเขา สองมือจับแขนของฮุยหลาง จากนั้นก็บิดตัวเขาแล้วทุ่มออกไป
“ปึง!”
“อั๊ก!”
เสียงกระแทกพื้นหนักหน่วงดังขึ้น ฮุยหลางหลุดคราง นอนบนพื้นแล้วถลึงตามองเขาอย่างอดกลั้น “เจ้าหนูนี่…จะลงมือเหตุใดไม่ให้สัญญาณกันก่อน อย่างเจ้าเขาเรียกลอบโจมตี รู้หรือไม่?”
อิ่งอีมองเหลิ่งหวาอย่างประหลาดใจ เมื่อครู่นี้ เท้าของเขาเคลื่อนไหวในพริบตา สองมือเคลื่อนไหวสอดคล้องกับช่วงล่างจับฮุยหลางทุ่มลงพื้น ทั้งความเร็วและเรี่ยวแรงนั้น ทำให้เขาได้เปิดโลกทัศน์จริงๆ
“นี่ไม่ใช่การลอบโจมตี ข้าถามแล้วนะ ข้าถามแล้วว่าใช่อย่างนี้หรือไม่” เหลิ่งหวายิ้มอย่างไร้พิษภัยมองฮุยหลาง
“ก็ได้! ข้าประมาทเอง” ฮุยหลางทำได้เพียงยอมรับ ลึกๆ ข้างในรู้ว่าเจ้าหนูนี่ไม่ชอบที่เขาพูดจาเกี้ยวพาพี่สาวของเขา ถึงได้เล่นงานเขาอย่างนี้ เขาเป็นคนใจกว้าง จะไม่ถือสาเด็กก็แล้วกัน
กลุ่มคนข้างในได้ยินเสียงข้างนอก ได้แต่ยิ้มๆ ไม่สนใจ พวกเขานั่งพูดคุยกันถึงเรื่องที่พบเจอระหว่างทาง สุดท้าย เฟิ่งจิ่วหยิบยาออกมา
“ท่านแม่ นี่เป็นยาแก้พิษ ท่านรีบกินเสียเถิด! กินยาแล้วพิษที่เหลือในร่างท่านก็จะถูกขับออกมาทางรูขุมขน อีกทั้งสิบปีนับจากนี้ไม่ว่าพิษใดก็จะใช้ไม่ได้ผลกับท่าน”
“หมายความว่านี่ไม่ได้เป็นเพียงยาแก้พิษ แต่ยังเป็นยาที่ทำให้ข้าไม่ได้ต้องกลัวยาพิษอะไรอีกในสิบปีนับจากนี้งั้นหรือ?” ซั่งกวนหวั่นหรงประหลาดใจ “นี่เป็นยาระดับใดกัน? เหตุใดจึงวิเศษเพียงนี้?”
“นี่เป็นยาแก้พิษระดับหก นอกจากจะมียาทิพย์อายุสามร้อยปีสองตัวเป็นตัวยาหลักแล้ว ในนี้ข้ายังเพิ่มยาทิพย์แก้พิษไปอีกสิบกว่าอย่างด้วย อีกอย่างถึงยานี้จะเป็นยาระดับหก แต่กลับมีวิญญาณโอสถถือกำเนิดข้างในแล้ว ท่านรีบลองกินดูสิเจ้าคะ”
เฟิ่งจิ่ววางยาเม็ดนั้นไว้กลางฝ่ามือ แล้วยื่นให้นาง
ซั่งกวนหวั่นหรงรับไปดู ก็อดตกใจไม่ได้ ถามด้วยความตะลึงว่า “เสี่ยวจิ่ว นะ นี่เจ้าหลอมขึ้นมาเองหรือ?”
“ข้าหลอมเองเจ้าค่ะ” เธอพยักหน้า
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะหลอมยาอย่างนี้ขึ้นมาได้ด้วย? พรสวรรค์ด้านการหลอมยาของเจ้าช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ยาเช่นนี้แม้แต่เจ้าสำนักโอสถตะวันก็เกรงว่าจะหลอมขึ้นมาไม่ได้”
ได้ยาเช่นนี้มาอยู่ในมือ นั่นทำให้นางรู้สึกเหลือเชื่อมากจริงๆ นางเองก็หลอมยาเช่นกัน ย่อมรู้ว่ายาเช่นนี้หลอมได้ยากขนาดไหน ทว่าลูกสาวของนางกลับทำได้ นางยังอายุไม่ถึงยี่สิบปีก็มีพรสวรรค์สูงส่งเช่นนี้แล้ว ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ!
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วยิ้มกว้าง บอกว่า “เจ้าสำนักโอสถตะวันย่อมหลอมขึ้นมาไม่ได้อยู่แล้ว” เพราะเขาตายไปแล้ว ไม่ใช่หรือ?
………………………………….
ตอนที่ 1612 คราวหน้าทำอย่างนี้ไม่ได้
เฟิ่งจิ่วยื่นยาให้นาง กล่าวว่า “ท่านแม่ กลับห้องไปท่านกินยาแล้วขับเคลื่อนลมปราณ จะทำให้พิษในร่างกายถูกขับออกได้เร็วขึ้น”
“ได้ เช่นนั้นข้ากลับห้องก่อนแล้ว” ซั่งกวนหวั่นหรงพูด แล้วนำยากลับห้องไปก่อน
เห็นเช่นนั้น เซวียนหยวนโม่เจ๋อกับเฟิ่งจิ่วเองก็ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก มาถึงนอกลานบ้าน เฟิ่งจิ่วหันไปถามเขาที่อยู่ข้างกาย “ท่านเหนื่อยหรือยัง? ไปพักผ่อนก่อนหรือไม่?”
“ไม่ เจ้าจะไปพบท่านพี่ของเจ้าก่อนไม่ใช่หรือ? ข้าไปกับเจ้า” เซวียนหยวนโม่เจ๋อบอก จูงมือเธอแล้วเดินออกไป
ในอีกด้าน กวนสีหลิ่นกับตู้ฝานได้รับข่าวที่เหลิ่งหวาให้คนมาส่งก็รีบกลับมา ครั้นเข้าบ้านมา เหลิ่งหวาก็ยิ้มบอกกับพวกเขาสองคนว่า “นายท่านอยู่ในห้องโถงใหญ่ขอรับ”
“เซวียนหยวนกลับมากับเสี่ยวจิ่วด้วยใช่หรือไม่?” กวนสีหลิ่นสาวเดินพร้อมกับถามขึ้น
เหลิ่งหวาพยักหน้า “ขอรับ เจ้าตำหนักยมราชก็อยู่ข้างในด้วย พวกเขาไปคารวะฮูหยินมาแล้ว”
ด้วยเหตุนั้น กวนสีหลิ่นสาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปข้างใน ตู้ฝานกับเหลิ่งหวาเองก็เดินตามหลังไปด้วย
“เสี่ยวจิ่ว พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ? การเดินทางราบรื่นดีหรือไม่?” กวนสีหลิ่นก้าวพ้นประตูก็ถามพร้อมกับหัวเราะเสียงดังกังวาล ใครจะรู้ กลับเห็นเฟิ่งจิ่วที่นั่งอยู่ในห้องโถงสีหน้าบึ้งตึง เซวียนหยวนโม่เจ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับนั่งก้มหน้าจิบชาเงียบๆ ทำเหมือนไม่เห็นอะไร
เห็นอย่างนั้น เขาถามด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวจิ่ว เป็นอะไรไป? เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
“ท่านพี่ ท่านทำซี้ซั้วเกินไปแล้วนะ!” เฟิ่งจิ่วพูดอย่างไม่พอใจ จ้องหน้าเขาด้วยความขุ่นเคือง “ท่านลักลอบเข้าไปสังหารเจ้าสำนักโอสถตะวันในสำนักของพวกเขาด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไรกัน? หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ข้าทำอย่างไร?”
ได้ยินเธอพูดอย่างนั้น กวนสีหลิ่นรู้ว่าตนเองทำไม่ถูก ทำให้เธอเป็นห่วง จึงหัวเราะแห้งๆ “ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากอะไร อีกอย่างข้าก็ยังปลอดภัยดีอยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรือ? เจ้าดูสิ แขนขาก็ยังอยู่ครบ”
เขาตบแขนสองข้างของตนเอง แล้วเตะขาตนเองด้วย ทำให้เธอเห็นว่าร่างกายของเขายังอยู่ครบสามสิบสองประการ ไม่ได้บาดเจ็บตรงที่ใด
“หากเจ็บตัวเมื่อใดจะเสียใจ” เธอยังคงพูดอย่างไม่พอใจ แล้วถามว่า “ท่านยังไม่เล่าเรื่องให้พวกข้าฟังอีก? คนในสำนักโอสถตะวันไม่รู้หรือว่าเป็นฝีมือของท่าน?”
ได้ยินอย่างนั้น กวนสีหลิ่นหัวเราะอย่างมั่นใจ “เสี่ยวจิ่ว เจ้าก็ดูถูกพี่ชายของเจ้าเกินไปแล้ว เจ้าคิดว่าหลายปีมานี้ข้าตรากตรำอยู่ข้างนอกอย่างเสียเปล่าหรือ? หากแม้แต่แค่ลอบฆ่าคนคนเดียวยังทำไม่ได้ ข้าจะอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไรกัน?”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ยืดอก แล้วยิ้มบอกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ พี่ชายเจ้าคนนี้ก็มีชื่อเสียงในแวดวงทหารรับจ้างอยู่บ้างแล้ว แค่คนคนเดียว ไม่คณามือข้าหรอก”
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วไม่รู้ว่าควรโกรธหรือหัวเราะดี ความสามารถของเขาโดดเด่นเธอย่อมดีใจ แต่พอรู้ว่าเขาออกไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายพวกนั้นเพื่อเธอ เธอก็โมโห และรู้สึกห่วงเขา
หากเขาเป็นอะไรไปจริงๆ เธอจะทำใจได้อย่างไรกัน?
เซวียนหยวนโม่เจ๋อวางถ้วยชาลง มองกวนสีหลิ่นแวบหนึ่ง แล้วบอกกับเฟิ่งจิ่ว “เอาเถิด เขาเองก็ทำไปเพราะความหวังดี เจ้าอย่าตำหนิเขาเลย”
“ข้าไม่ได้ตำหนิเขา ข้าแค่เป็นห่วงเขา” เฟิ่งจิ่วแย้ง หันไปมองกวนสีหลิ่น แล้วกำชับว่า “ท่านพี่ เรื่องอย่างนี้คราวหน้าท่านห้ามทำอีกเด็ดขาก หากท่าจะไปจริงๆ ก็ต้องบอกข้าก่อน ให้ข้าส่งคนไปช่วยท่าน อย่าปิดบังข้าเช่นนี้อีก”
“ได้ๆ ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว วางใจเถิด!” กวนสีหลิ่นพยักหน้า แล้วหันไปมองทั้งสองคน ถามว่า “ระหว่างทางพวกเจ้าไม่ได้เจอการลอบสังหารอะไรอีกแล้วใช่หรือไม่? สงบสุขตลอดการเดินทางใช่หรือไม่?”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อกับเฟิ่งจิ่วสบตากัน แล้วพยักหน้า “ก็ดี”
………………………………….
————————————–