เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1613 การมาถึงของทั้งสองคน ตอนที่ 1614 กลับไม่ใช่เตาเฒ่า
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1613 การมาถึงของทั้งสองคน ตอนที่ 1614 กลับไม่ใช่เตาเฒ่า
ตอนที่ 1613 การมาถึงของทั้งสองคน / ตอนที่ 1614 กลับไม่ใช่เตาเฒ่า?
ตอนที่ 1613 การมาถึงของทั้งสองคน
ระหว่างทางไปนอกจากการลอบสังหารครั้งนั้นแล้ว กลับไม่เจอการลอบฆ่าอะไรอีก แต่ระหว่างทางกลับมากลับไม่ได้ราบรื่นนัก
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากข้างนอก คนที่อยู่ในห้องโถงชะงักเล็กน้อย เห็นว่าทุกคนล้วนอยู่ในนี้ ก็ประหลาดใจเล็กน้อย นอกจากพวกเขาแล้วยังจะมีใครมาอีก?
“ข้าไปดูเองขอรับ” เหลิ่งหวาพูด สาวเท้าเดินออกไป ห้องโถงใหญ่กับประตูลานบ้านไม่ไกลกันมาก เสียงเคาะประตูจากข้างนอกย่อมดังเข้ามาถึงข้างในได้
ตอนเหลิ่งหวาเปิดประตูบ้าน แล้วเห็นคนแปลกหน้าสองคนยืนอยู่ข้างนอก ก็ชะงักไปเล็กน้อย แล้วถามว่า “ทั้งสองท่านมาหาใครหรือ?”
“พวกข้าเป็นศิษย์จากสำนักโอสถตะวัน พวกข้ามาหา…” ลั่วเหิงยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเฉินเต้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ดึงหลบไปด้านหนึ่งแล้วพูดแทรก
“ข้าชื่อเฉินเต้า เขาชื่อลั่วเหิง พวกข้ามาหาเฟิ่งจิ่ว”
ได้ยินอย่างนั้น เหลิ่งหวานัยน์ตาไหวระริก มองทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “โปรดรอสักครู่” สิ้นเสียง เขาก็ปิดประตูอีกครั้ง
ลั่วเหิงที่เห็นประตูถูกปิด ก็เบิกตากว้าง “ทำไมเขาถึงปิดประตูปล่อยเราไว้ข้างนอก? เสียมารยาทเกินไปแล้ว”
เฉินเต้าเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง บอกว่า “รออยู่ที่นี่แหละ ข้ายังไม่ร้อนใจเลย เจ้าจะร้อนใจไปทำไม?”
“ไม่ร้อนใจได้หรือ? เราออกมานานขนาดนี้แล้ว สืบข่าวจนตามมาถึงที่นี่ ไม่รู้ว่านางจะอยู่ข้างในนั้นหรือไม่” ลั่วเหิงบ่นกระปอดกระแปด แล้วพูดอีกว่า “อีกอย่างเจ้าสำนักก็ตายแล้ว ตอนนี้ในสำนักจะต้องวุ่นวายมากแน่ๆ หากตามหานางไม่เจอจริงๆ ข้าว่าพวกเรากลับกันดีกว่า”
“ไม่ ครั้งนี้จะต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ” เฉินเต้าพูดอย่างมั่นใจ
ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ลั่วเหิงทำได้เพียงยืนรออยู่ข้างนอก เดิมทีอาจารย์ของเขาให้พวกเขามาตาหาเฟิ่งจิ่วเพื่อเตือนนางให้ระวังตัว เพียงแต่ ยามนี้เจ้าสำนักตายแล้ว อันตรายดังกล่าวน่าจะไม่มีแล้วกระมัง?
คราวนี้หากได้พบหน้า เขากลับไม่รู้จะพูดอะไรดี
ด้านใน กลุ่มคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่เห็นเหลิ่งหวาเข้ามาคนเดียว ก็หยุดคุยกัน แล้วหันไปมองเขา
“นายท่าน ข้างนอกมีคนจากสำนักโอสถตะวันมาสองคน ชื่อเฉินเต้ากับลั่วเหิง พวกเขาบอกว่ามาหาท่านขอรับ”
ตอนแรกที่ได้ยินว่าเป็นคนจากสำนักโอสถตะวัน เฟิ่งจิ่วยังนึกว่าคนจากสำนักโอสถตะวันตามมาเอาเรื่องถึงที่นี่ แต่พอได้ยินว่าเป็นเฉินเต้ากับลั่วเหิง เธอชะงักเล็กน้อย แล้วรีบบอกว่า “พวกเขาเองหรือ? ให้พวกเขาเข้ามาเถิด! คนรู้จักข้าเอง”
“ขอรับ” เหลิ่งหวารับคำ แล้วหันตัวเดินออกไปข้างนอกอีกครั้ง
“ใช่คนจากสำนักโอสถตะวันตามมาเอาเรื่องถึงที่เพราะรู้ว่าเป็นฝีมือข้าหรือไม่?” กวนสีหลิ่นถาม กังวลว่าตนเองจะสร้างปัญหาให้เธอ
“ไม่ใช่หรอก” เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ บอกว่า “สองคนนี้เป็นสหายของข้าตอนอยู่ในสำนักโอสถตะวัน น่าจะไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้น”
เห็นอย่างนั้น กวนสีหลิ่นจึงนั่งดื่มน้ำชาเงียบๆ ในห้องโถง รอสองคนนั้นเข้ามา ไม่นาน บุรุษสองคนเดินเข้ามาโดยมีเหลิ่งหวานำทาง
“เฟิ่งจิ่ว เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ!” ลั่วเหิงเห็นเธอก็ลิงโลด แล้วพูดเสียงดังกว่าปกติหลายส่วน
ส่วนเฉินเต้ายังคงมีท่าทางเกียจคร้านไม่แยแสต่อสิ่งใดเช่นเคย เมื่อเห็นเฟิ่งจิ่วในชุดสีแดงทั้งตัว ก็ยกมือขึ้นลูบหนวดสองเส้นเหนือริมฝีปาก แล้วมองพิจารณาชายชุดคลุมสีดำที่นั่งข้างเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง
จิ๊ๆ ช่างมาได้เวลาเสียจริงๆ ไม่ได้เจอแค่เฟิ่งจิ่วคนเดียว แม้แต่เจ้าตำหนักยมราชก็ได้เจอด้วย ครั้งที่แล้วยังใส่หน้ากากปิดบังโฉมหน้า คราวนี้แม้แต่หน้ากากก็ไม่ใส่แล้ว ที่แท้ก็หน้าตาเป็นเช่นนี้เอง หล่อเหลาและดูเด็กกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว
ในห้องโถง เฟิ่งจิ่วเห็นเฉินเต้ามองพิจารณาพวกเขาสองคนด้วยสายตาระยิบระยับ ก็อดหัวเราะไม่ได้
………………………………….
ตอนที่ 1614 กลับไม่ใช่เตาเฒ่า?
“เฉินเต้า เห็นอะไรบ้างแล้วหรือยัง?” เธอมองเขาอย่างหยอกล้อ เห็นสีหน้าเขาไม่เลว ดูท่าทาง หลังจากแข้งขาหายดีเขาก็กลับไปเป็นเฉินเต้าคนเดิมที่มั่นใจในตัวเองแล้วกระมัง
“เดิมทีก็นึกว่าเจ้าตำหนักยมราชเป็นตาเฒ่า หรืออย่างไรก็น่าจะเป็นตาลุงวัยกลางคน นึกไม่ถึงว่าจะเด็กขนาดนี้ อายุน้อยกว่าข้าเสียอีก” เฉินเต้าลูบหนวดสองเส้นขณะพูดไปด้วย
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วมุมปากกระตุก แม้แต่เซวียนหยวนโม่เจ๋อที่กำลังจิบชาอยู่ข้างๆ ก็ยังสำลักเมื่อได้ยินเขาพูด หลังจากกระแอมเบาๆ ก็เงยหน้ามองคนข้างล่างแวบหนึ่ง
เฟิ่งจิ่วมองเขาอย่างพูดไม่ออก แล้วถามว่า “ทำไมต้องเป็นตาเฒ่า? ท่านก็น่าจะรู้ว่าข้ายังอายุไม่ถึงยี่สิบปี ผู้หญิงที่ทั้งสวยแล้วก็เด็กอย่างข้า จะไปหมายตาตาเฒ่าได้อย่างไรกัน?”
“ข้าถึงได้บอกว่าเหนือคาดอย่างไรเล่า! ไม่นึกว่าจะเด็กขนาดนี้จริงๆ” สายตาของเขากวาดมองไปทางเซวียนหยวนโม่เจ๋อ เห็นรัศมีรอบกายเขา ไม่เกรี้ยวกราดทว่าน่าเกรงขนาม ก็อดลอบคิดในใจไม่ได้ คนผู้นี้เกรงว่าจะไม่ใช่แค่เจ้าตำหนักยมราชกระมัง? น่าจะมีอีกฐานะที่คนอื่นไม่รู้ด้วย
ส่วนลั่วเหิงรู้สึกตัวหดเล็กน้อย เพราะคนที่อยู่ที่นี่ล้วนมีพลังเหนือเขา โดยเฉพาะเฟิ่งจิ่วที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธานกับชายชุดดำผู้นนั้น แรงกดดันแข็งแกร่งและรัศมีของผู้เหนือกว่าทำให้เขาหายใจได้ไม่ทั่วท้อง
ได้ยินเฉินเต้าพูดจาอย่างไม่เกรงกลัวต่อหน้าชายชุดดำ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตามองคนที่อยู่ข้างกาย แล้วกระตุกเสื้อเขา ใครจะรู้ กลับได้ยินเฉินเต้าถามอย่างรำคาญว่า “เจ้าจะดึงเสื้อข้าทำไมนักหนา?”
คนในห้องโถงได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มๆ สองคนนี้น่าสนใจจริงๆ
“อย่าพูดอีกเลย นี่ท่านอยากตายหรือไง!” ลั่วเหิงถลึงตา จากนั้นก็หันไปบอกเฟิ่งจิ่วกับเซวียนหยวนโม่เจ๋อด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “เขาเป็นคนแบบนี้แหละ เฟิ่งจิ่วรู้ดี เขาพูดไม่คิด ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร”
“เอาเถิด อย่าเกรงใจกันนักเลย พอดีเลย เหลิ่งซวงให้คนไปเตรียมสุราและอาหารแล้ว พวกเราไปดื่มด้วยกันสักแก้วไหม?” เธอหันไปถามทั้งสอง
เฉินเต้าได้ยินก็บอกว่า “ดีเลย! ตลอดเส้นทางที่ตามหาเจ้า พวกข้ากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ มาถึงบ้านเต้าแล้ว อย่างไรก็ต้องไม่ให้เสียน้ำใจเจ้าบ้าน”
ด้วยเหตุนี้ หลังจากสั่งเหลิ่งซวงให้เตรียมอาหารและสุราเสร็จแล้ว พวกเฟิ่งจิ่วก็ย้ายไปนั่งที่ห้องโถงข้างๆ หลังจากจัดวางอาหารสิบกว่าอย่างเสร็จ เซวียนหยวนโม่เจ๋อ เฟิ่งจิ่ว กวนสีหลิ่นรวมถึงเฉินเต้าและลั่วเหิงก็นั่งลง นอกจากเหลิ่งซวงที่คอยเทสุราให้พวกเขาอยู่ข้างๆ คนอื่นต่างถอยออกไปหมดแล้ว
หลังดื่มสุราไปรอบหนึ่ง เฟิ่งจิ่วถามขึ้นว่า “เมื่อกี้พวกเจ้าบอกว่าตามหาข้ามาตลอดเส้นทาง? ตามหาข้าทำไม? มีเรื่องอะไรหรือ?”
ลั่วเหิงกับเฉินเต้าสบตากัน ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเฉินเต้าพูดว่า “ที่จริงพูดเรื่องนี้ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
“อ้อ? ทำไมงั้นหรือ?” เธอยักคิ้ว
“ที่พวกข้าลงเขามาตามหาเจ้า ที่จริงเพราะได้รับคำสั่งจากต้วนมู่ไป๋ เขาสั่งให้พวกข้าลงเขามาตามหาเจ้า…” เฉินเต้าเล่าที่มาที่ไปให้เธอฟัง บอกเธอว่าพวกเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และมาทำอะไร รวมถึงข่าวสารช่วงนี้ในสำนัก
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง กลับนึกไม่ถึงว่าต้วนมู่ไป๋จะสั่งให้พวกเขามาเตือนเธอ
“พวกเจ้ามาสายเกินไปแล้ว นางถูกลอบสังหารตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนแล้ว ซ้ำยังเป็นผู้ฝึกตนระดับเซียนเหินถึงสี่คนนำทัพมาลอบสังหาร โชคดีที่นางดวงแข็ง ไม่เช่นนั้นล่ะก็ เหอะ!”
กวนสีหลิ่นแค่นเสียงขึ้นจมูก บอกตามตรง เขารู้สึกไม่ดีกับสำนักโอสถตะวันนี่เลย โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงตอนที่น้องสาวของเขาเกือบตายเพราะสำนักโอสถตะวัน
………………………………….