เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1669 ควรทำเช่นไร ตอนที่ 1670 สัญชาตญาณ
ตอนที่ 1669 ควรทำเช่นไร / ตอนที่ 1670 สัญชาตญาณ
ตอนที่ 1669 ควรทำเช่นไร
เหล่าผู้ฝึกเซียนได้ยินอย่างนั้น แต่ละคนมองหน้ากัน แต่กลับไม่มีผู้ใดพูดอะไร เพราะพวกเขาเองก็ไม่แน่ใจ ตระกูลเฟิ่ง ไม่อาจคาดเดาด้วยหลักการของคนทั่วไป นายท่านยุแยงให้พวกเขาแตกแยกกันอาจได้ผล แต่สำหรับคนในตระกูลเฟิ่ง อย่างไรก็ยังพูดได้ไม่แน่ชัด ไม่เช่นนั้น พวกเขาเองก็คงไม่สนใจเรื่องนี้ขนาดนี้
พวกเขาสนอกสนใจ ก็เพราะเรื่องนี้ยังไม่รู้แน่ชัด หากยังไม่ถึงที่สุด แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปเช่นไร
เห็นแต่ละคนไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร คนที่อยู่ในเรือบินจึงเอ่ยว่า “ทำไมเล่า? พวกเจ้าไม่มีใครเดาได้เลยหรือ? เรื่องนี้ตอบยากมากหรืออย่างไร?”
ทุกคนลังเล สุดท้ายหนึ่งในนั้นก็ตอบว่า “เรียนนายท่าน ความคิดของคนตระกูลเฟิ่งพวกข้าไม่อาจคาดเดาได้ หากเป็นคนทั่วไป เชื่อว่าหากรู้เรื่องเช่นนี้เข้าจะต้องแตกแยกกันเป็นแน่ เพียงแต่ ไม่รู้ว่าเฟิ่งเซียวจะทำอย่างไร ทว่าข้าคิดว่า อีกไม่นานก็น่าจะได้รู้แล้ว”
ขอเพียงเฟิ่งเซียวฟื้นขึ้นมา ก็ย่อมได้รู้ว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
“พรืด!” คนผู้นั้นหัวเราะ “ข้าไม่ได้มีเวลาอยู่ที่นี่มากขนาดนั้น จัดการคนตระกูลเฟิ่งเป็นเพียงเรื่องรอง คนที่พวกเราต้องเล่นงานจริงๆ ไม่ใช่มดปลวกที่ไม่มีอะไรสะดุดพวกนี้”
ขณะเอ่ย ไม่รอให้คนพวกนั้นตอบ เสียงนั้นกล่าวต่อว่า “แต่ข้าก็อยากรู้จริงๆ นั่นแหละ ว่าครอบครัวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน! เหลือคนไว้จับตาดูพวกเขา ดูว่าพวกเขาจะจัดการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร”
“ขอรับ!”
ทุกคนรับคำ หนึ่งในนั้นลังเลเล็กน้อย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถามว่า “นายท่าน หากรู้ผลแล้ว ยังจะทำลายตระกูลเฟิ่งอยู่อีกหรือไม่ขอรับ? แล้วจะให้จัดการเฟิ่งจิ่วผู้นี้อย่างไร? หญิงผู้นี้ไม่ธรรมดา ข้ากลัวว่าหากปล่อยนางไป จะต้องกลายเป็นภัยใหญ่หลวงในภายหน้าแน่ขอรับ”
“เป็นภัยใหญ่หลวงงั้นหรือ? หึๆ เจ้าช่างให้ค่านางนัก แค่หญิงนางหนึ่ง แม้จะเป็นตัวประหลาดที่ยึดชิงร่างกายผู้อื่น แต่จะทำอะไรได้แค่ไหนกันเชียว? แค่กำลังของนางคนเดียวจะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้เชียวหรือ?”
คนผู้นั้นพูดอย่างไม่ยี่หระ กล่าวว่า “ตระกูลเฟิ่งปล่อยไปเถิด! อย่างไรก็เป็นเพียงราชวงศ์เล็กๆ ไม่มีผลกระทบอะไรหรอก ส่วนเฟิ่งจิ่ว ข้ากลับสงสัยนักว่าภายหน้านางจะเดินต่อไปเช่นไร รอดูไปเถิด! ตอนนี้เรื่องที่ข้าสนใจ ก็คือพอเฟิ่งเซียวฟื้นแล้วจะทำอย่างไรกับเฟิ่งจิ่ว เรื่องอื่น เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน”
รู้นิสัยของนายท่านพวกเขาดี หากบอกว่าหนึ่งก็ต้องเป็นหนึ่ง พวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก ทำได้เพียงถอยไปยืนด้านหนึ่งอย่างนอบน้อม ขณะที่ท้องฟ้าใกล้สว่าง เรือบินจากไป เหลือคนเพียงคนเดียวไว้เพื่อจับตาดูเรื่องราวหลังจากนี้…
เมื่อแสงอาทิตย์แรกกระทบผืนดินกว้างใหญ่ เช้าตรู่มาเยือน ชาวบ้านบนท้องถนนค่อยๆ คึกคักขึ้นมา เสียงของพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยตะโกนดังผสมผสานกันบนถนน กลายเป็นภาพที่คึกคักและมีชีวิตชีวา
ชาวบ้านธรรมดา คนธรรมดา พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องราวหรืออันตรายใดขึ้น นี่คือข้อดีของคนธรรมดา ไม่ว่าเรื่องใดก็จะไม่เกี่ยวโยงไปถึงตัวพวกเขา การต่อสู้หรือผู้แข็งแกร่งล้วนไม่เกี่ยวกับพวกเขา
และในโรงเตี๊ยม เฟิ่งเซียวที่หมดสติไปหนึ่งคืนค่อยๆ ตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เขาลืมตาช้าๆ แล้วจ้องเพดานเตียง นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน ราวกับว่าเขาเพิ่งตื่นจากฝันอันยาวนาน
ความฝันนี้สมจริงมาก ในความสุขกลับมีความทุกข์ แม้จะเป็นเพียงความฝัน เขาก็ยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้น แล้วพอตื่นขึ้นมา เรื่องราวก่อนที่เขาจะหมดสติไปก็ผุดขึ้นมาในสมองทีละเรื่องๆ ทำให้เขานึกขึ้นได้ ว่าทั้งหมดไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเรื่องจริง
………………………………….
ตอนที่ 1670 สัญชาตญาณ
“ท่านฟื้นแล้วหรือ?” ซั่งกวนหวั่นหรงที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงเห็นเขาฟื้น ก็ถอนหายใจ แล้วเผยรอยยิ้มอ่อนโยนจางๆ
เฟิ่งเซียวมองนาง ตั้งสติ แล้วถามว่า “ข้ากลับมาได้อย่างไร?”
“เมื่อคืนพวกเสี่ยวจิ่วกลับมาแล้วแต่ท่านยังไม่กลับมา จึงให้พวกตู้ฝานออกไปตามหาท่าน กระทั่งฟ้าใกล้สางถึงพบท่านในตรอกเส้นหนึ่ง ตอนเห็นท่านถูกหามกลับมาในสภาพหมดสติ พวกเรากังวลใจมาก โชคดีที่ไม่ได้บาดเจ็บหนัก”
ซั่งกวนหวั่นหรงอธิบาย แล้วดึงผ้าห่มขึ้นให้เขา “ท่านไม่รู้หรอก เมื่อคืนข้ากังวลขนาดไหน ไม่ใช่แต่ท่านบาดเจ็บหมดสติ แม้แต่เสี่ยวจิ่วกับสีหลิ่นก็บาดเจ็บไปทั้งตัว”
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งเซียวใจสะท้าน ถามอย่างร้อนใจตามสัญชาตญาณ “พวกเขาบาดเจ็บหรือ? บาดเจ็บหนักหรือไม่?”
“เฮ้อ! เสี่ยวจิ่วกับสีหลิ่นบอกว่าไม่เป็นไร บอกว่าเป็นเพียงแผลภายนอก แต่ข้าเห็นว่านั่นล้วนบาดเจ็บไม่เบา สีหลิ่นถูกแทงที่หัวไหล่หนึ่งดาบ บนตัวก็มีแผลเล็กแผลใหญ่มากมาย บ้างก็ลึกจนเห็นกระดูก ส่วนมือและแข้งของเสี่ยวจิ่วล้วนถูกฟันจนบาดเจ็บ เมื่อคืนตอนกลับมาเดินซวนเซ ยังต้องมาห่วงว่าท่านจะเจออันตรายอยู่ข้างหรือไม่อีก”
ซั่งกวนหวั่นหรงเล่าพลางถอนหายใจ “เด็กคนนี้เอาแต่เป็นห่วงเราจริงๆ แม้รู้ว่ามีอันตราย แต่กลับสั่งให้หงส์ไฟที่คอยปกป้องนางอยู่ข้างกายเรา พอได้ยินว่าท่านยังไม่กลับมา ก็สั่งให้ทุกคนออกไปตามหาท่านทันที”
เฟิ่งเซียวได้ยินอย่างนั้นก็เงียบ หัวใจของเขาทุกข์ทรมานนัก ในตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก
“ท่านแม่ ท่านพ่อฟื้นหรือยังเจ้าคะ?”
เสียงของเฟิ่งจิ่วดังมาจากข้างนอก ซั่งกวนหวั่นหรงที่อยู่ในห้องเผยรอยยิ้มอ่อนโยน บอกกับเฟิ่งเซียว “ท่านดูสิ ลูกสาวเรามาหาท่านแล้ว คงเพราะเป็นห่วงท่านมากแน่ๆ” ขณะบอก ก็ลุกขึ้นเดินออกไปเปิดประตู
เฟิ่งเซียวที่นอนอยู่บนเตียงสายตาสับสน หัวใจของเขาราวกับกำลังขัดแย้งกันเอง ในนาทีนี้ เหมือนไม่รู้จะเผชิญหน้ากับลูกสาวคนนี้ของเขาอย่างไร
“ท่านพ่อ ท่านฟื้นแล้วหรือ?”
เฟิ่งจิ่วเดินตุปัดตุเป๋มาหาเขา แผลที่แข็งแม้ใส่ยาแล้วก็ยังไม่หายดี ถึงอย่างไร แม้ว่าเม็ดบัวเขียวในร่างกายจะทำให้เธอฟื้นตัวได้เร็ว แต่ก็เป็นที่สะดุดตาเกินไป ทำได้เพียงใส่ยาพันแผลแล้วปล่อยให้มันค่อยๆ หายเอง
เฟิ่งเซียวที่นอนอยู่บนเตียงเอียงคอ มองลูกสาวที่เดินตุปัดตุเป๋โดยมีฮูหยินของเขาประคองเดินมาหาเขา ข้างหลังมีเหลิ่งซวงที่ยกถ้วยยาเดินตามเข้ามา
เห็นสีหน้าเธอไม่ดีดังคาด ดวงหน้างดงามซีดขาวเล็กน้อย เขาอดถามไม่ได้ “เจ็บมากหรือ เหตุใดหน้าจึงซีดเช่นนี้?” ถามจบ เขาก็ชะงักไป
อยู่ด้วยกันมานานหลายปี ความคุ้นเคย และห่วงใย ล้วนกลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว
“ข้าไม่เป็นไร พักไม่กี่วันก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
เธอยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา นั่งลงข้างเตียง ช่วยท่านแม่ของเธอประคองท่านพ่อขึ้นจากเตียง แล้วนั่งพิงหัวเตียง แล้วรับถ้วยยาไปจากมือของเหลิ่งซวง
“นี่เป็นน้ำแกงคลายเครียดที่ข้าให้เหลิ่งซวงต้ม ท่านพ่อหมดสติเพราะได้รับแรงกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนักจนเลือดลมในร่างกายตีกัน ดื่มยาถ้วยนี้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” เธอตักยาขึ้นมาช้อนหนึ่งแล้วเป่า จากนั้นก็ยื่นมาให้เขาพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “มาเจ้าค่ะ ไม่ขม”
เฟิ่งเซียวมองเธอ ได้แต่มองเธอเงียบๆ อยู่อย่างนี้ เหมือนกำลังมองเธอ แต่ก็เหมือนกำลังมองทะลุเธอแล้วเห็นอีกคน ภาพในอดีตย้อนเข้ามาในสมองทีละฉากๆ…
เขาเลี้ยงลูกสาวจนโตด้วยตนเอง เด็กตัวน้อยๆ ตอนแรกเกิดเนื้อตัวนุ่มนิ่มส่งเสียงร้องงอแง ตอนอายุสี่ห้าขวบเดินตามหลังเขา แล้วเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแหลมใสว่า “ท่านพ่อ”
………………………………….