เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1715 ยอมรับคำเดียว บทที่ 1716 ไม่ต้องห่วง
ตอนที่ 1715 ยอมรับคำเดียว / บทที่ 1716 ไม่ต้องห่วง
ตอนที่ 1715 ยอมรับคำเดียว
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งเซียวกับซั่งกวนหวั่นหรงมองหน้ากัน แล้วถาม “จะออกไปแล้ว?”
“อืม เรื่องราวเหล่านั้นควรออกไปสะสางได้แล้ว”
เธอพยักหน้าเห็นด้วย มองพวกเขาทั้งสอง แล้วบอกว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยากให้พวกท่านอยู่ที่นี่ต่อไป สถานที่แห่งนี้เรียกได้ว่าตัดขาดจากโลกภายนอก ไร้การแข่งขันและไร้ภัยอันตราย หากพวกท่านอยู่ที่นี่ข้าจะวางใจหน่อย”
“เจ้าวางใจเถิด! อยากทำอะไรไปก็ไปทำ ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่ เราดูแลตัวเองได้” เฟิ่งเซียวตบหลังมือของเธอเบาๆ ลูกสาวเดิมก็ไม่ใช่คนธรรมดา สถานที่แห่งนี้เหนี่ยวรั้งนางไว้ไม่อยู่ เขารู้ ว่าอย่างไรนางก็จะยังออกไป
“ใช่! เราจะอยู่ที่นี่รอเจ้ากลับมา เจ้าวางใจเถิด!” ซั่งกวนหวั่นหรงเองก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ตอนนี้ ที่นี่ก็เหมือนบ้านสำหรับพวกเขา อีกทั้งหากอยู่ที่นี่ แม้มีกลุ่มอำนาจมืดต้องการเล่นงานพวกเขาก็ทำไม่ได้ อยู่ที่นี่ พวกเขาปลอดภัยที่สุด
เฟิ่งจิ่วพยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองกวนสีหลิ่น “ท่านพี่ ข้าจะไปดูหน่อยว่าพลังขององครักษ์เฟิ่งพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว ไปด้วยกันเถิด!”
“ได้” กวนสีหลิ่นพยักหน้า หันไปทำความเคารพเฟิ่งเซียวกับซั่งกวนหวั่นหรง จากนั้นก็ทั้งสองก็ออกไปด้วยกัน
ในลานสนามกลางป่า เหล่าองครักษ์เฟิ่งได้ยินว่านายท่านออกจากการเก็บตัวแล้ว และจะมาตรวจสอบผลการฝึกฝนในครึ่งปีที่ผ่านมาของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ แต่ละคนจึงยืนตัวตรงอยู่กลางป่า รอการมาถึงของนายท่านอย่างตื่นเต้น
ถึงแม้พวกเขาจะพอใจกับพัฒนาการของตนเองในครึ่งปีที่ผ่านมา แต่สำหรับนายท่าน นายท่านจะคิดว่าพวกเขาทะลวงขั้นช้าเกินไปหรือไม่? แม้พวกเขาจะพอใจอีกแค่ไหน และคิดว่าไม่เลวแล้ว แต่สุดท้ายก็เทียบไม่ได้กับการยอมรับเพียงคำเดียวจากนายท่าน
เฟิ่งจิ่วที่เดินไปด้วย คุยกับกวนสีหลิ่นไปด้วย เดินมาถึงใต้ต้นไม้ เห็นเหล่าองครักษ์เฟิ่งล้วนยืนอยู่ตรงนั้น แต่ละคนยืนหลังเหยียดตรงดั่งต้นสน บุคลิกองอาจผึ่งผาย รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายกล้าหาญชาญชัย
เฟิ่งจิ่วเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้าทุกคน ก็เห็นพวกเขาคุกเข่าลงหนึ่งข้างเพื่อคารวะ “คารวะนายท่าน!”
“ลุกขึ้นมาเถิด!”
เฟิ่งจิ่วพยักหน้า สายตามองพิจารณาพวกหลัวอวี่ทั้งแปดคน จากนั้นก็หวาดมองเหล่าองครักษ์เฟิ่งที่อยู่ข้างหลังพวกเขา ดวงจิตกวาดสำรวจหนึ่งรอบ ก็รู้ระดับพลังของพวกเขาคร่าวๆ แล้ว
เทียบกับครึ่งปีก่อน มีพัฒนาการขึ้นมากจริงๆ กอปรกับระหว่างทางพี่ชายของเธอบอกเธอแล้ว พลังต่อสู้และความสามารถในการพลิกแพลงล้วนมีพัฒนาการ ดูท่าคงจะถึงเวลาแล้ว
“แบ่งออกเป็นสองกลุ่มแล้วแข่งกัน ข้าจะดูพลังต่อสู้ของพวกเจ้า” เธอออกคำสั่ง จากนั้นก็ถอยหลัง เดินมายืนบนจุดที่อยู่สูงกว่า
“ขอรับ!” เมื่อทุกคนได้ยินคำสั่งของเธอ ก็รีบแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม พริบตาเดียว เสียงกระแสอากาศที่เกิดจากการเหวี่ยงกำปั้น รวมถึงเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
กำปั้นปะทะกัน ราวกับแฝงไว้ด้วยพลังมหาศาล พายุหมัดซัดใส่กัน ดุจคมดาบแหลมกริบ…
“เป็นอย่างไรบ้าง? พอใจหรือไม่?” กวนสีหลิ่นถาม พลางมองเหล่าองครักษ์ที่กำลังสู้กัน “ฝึกตามวิธีที่เจ้าบอกทั้งนั้น มีกลุ่มซุ่มโจมตี แล้วก็มีกลุ่มสะกดรอยและกลุ่มโจมตี เวลาครึ่งปี ข้าว่าพลังของพวกเขาพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้ก็ไม่เลวแล้ว”
เฟิ่งจิ่วดูการต่อสู้ พลางบอกว่า “หากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูโดยตรงก็ยังอันตรายอยู่ แต่หากพวกเขาร่วมมือกัน กลับสามารถทำได้ทั้งโจมตีและสังหาร ดูจากการต่อสู้กันของพวกเขา พลังต่อสู้พัฒนาขึ้นจากแต่ก่อนมากจริงๆ ท่านคงพยายามมาไม่น้อยเลย”
“ฮ่า แน่นอนอยู่แล้ว เจ้ามอบหมายให้ข้าดูแลพวกเขา ข้าย่อมต้องไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” กวนสีหลิ่นยิ้มบอก
………………………………….
บทที่ 1716 ไม่ต้องห่วง
เฟิ่งจิ่วมองดูการประลองขององครักษ์เฟิ่งข้างล่าง พลางบอกว่า “ท่านพี่ ข้าจะพาพวกเขาออกไปสู้จริงข้างนอก ในเมื่อทางจักรวรรดิเซวียนหยวนถูกแคว้นอื่นรุมโจมตี เช่นนั้นก็อยากเล่นงานพวกเขาจากที่มืด เพื่อเป็นการดึงฟืนออกจากก้นหม้อ[1]”
“ไม่มีปัญหา!” กวนสีหลิ่นตอบรับด้วยเสียงก้องกังวาน “นับข้าเข้าไปด้วย ข้าก็จะไปกับพวกเจ้า!”
เธอหันไปมองเขา ยิ้มบอกว่า “ได้”
ประมาณหนึ่งชั่วยามผ่านไป ภายใต้คำสั่งของเฟิ่งจิ่ว องครักษ์เฟิ่งทุกคนหยุดการประลองพร้อมกับหอบหายใจ หลังจบการประลอง ร่างกายของพวกเขาล้วนมีแผลถลอก ทว่าแม้จะถูกอีกฝ่ายโจมตีจนล้ม พวกเขาก็ยังลุกขึ้นมาสู้ต่อ ด้วยเหตุนี้ หลังการประลอง จะบาดเจ็บก็เป็นเรื่องธรรมดา
“พาคนในกลุ่มของพวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด! อีกสองวันข้ามีภารกิจให้พวกเจ้าทำ!” เฟิ่งจิ่วยืนเผชิญหน้ากับพวกเขาอยู่บนที่สูง
“ขอรับ!” ทุกคนรับคำ ก่อนจะแยกย้ายภายใต้การนำทางของหัวหน้ากลุ่มแต่ละคน
สองวันต่อมา เธอเหลือองครักษ์เฟิ่งไว้สิบคน รวมถึงเสี่ยวเฮยกับเจ้าขนเขียวไว้ในหุบเขา เพื่ออยู่กับพ่อแม่ของเธอ คนอื่นๆ ถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กๆ สามกลุ่ม ออกเดินทางภายใต้การนำทางของตู้ฝาน กวนสีหลิ่นและเฟิ่งจิ่ว
พวกเขาไม่ได้ไปด้วยกัน แต่แยกย้ายกันเดินทาง แต่กลับมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือหนึ่งในสี่แคว้นในแปดจักรวรรดิใหญ่ที่กำลังรุมโจมตีจักรวรรดิเซวียนหยวนนั่นเอง
ในอีกด้าน
ในวังหลวงของจักรวรรดิเซวียนหยวน หลังจากที่เซวียนหยวนโม่เจ๋อได้รับจดหมายจากเฟิ่งจิ่วที่ส่งมายังตำหนักยมราช และรู้ว่านางออกจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้ว อีกทั้งได้เริ่มออกเดินทางมายังแปดจักรวรรดิใหญ่ เขาก็รู้สึกเป็นห่วง
ในจดหมายไม่ได้พูดถึงพลังของนางในตอนนี้มากนัก แต่โดยปกติ การทะลวงขั้นของผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณขั้นสูงสุดก็ต้องเป็นระดับเซียนเหินอยู่แล้ว เขาคิดว่าแม้เฟิ่งจิ่วจะมีพรสวรรค์เหนือคนอื่น รวมถึงมียาช่วย แต่ถึงอย่างนั้น อย่างมากก็ทะลวงขั้นได้ถึงระดับเซียนเหินขั้นสูงสุดเท่านั้น
แม้ว่าระดับเซียนเหินถือว่าไม่เลวแล้ว แต่หากคนพวกนั้นหมายตานางอีกครั้ง จะต้องรุมโจมตีนางอีกแน่
ฮุยหลางที่อยู่ข้างๆ เห็นเขาอ่านจดหมายที่ส่งมาแล้วก็เอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวด เนิ่นนานก็ไร้ปฏิกิริยา จึงแอบขยับเท้าสองก้าว ชะโงกหน้าเข้ามาดู
หลังจากอ่านเนื้อหาในจดหมายคร่าวๆ เขาก็ฉีกยิ้มกว้าง “นายท่าน ภูตหมอจะมาที่นี่แล้วหรือขอรับ? ที่นางปรากฏตัวเช่นนี้ พลังจะต้องแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนแน่นอน หากนางมา ยังช่วยนายท่านได้บ้างด้วย นายท่านควรจะดีใจจึงถูก เหตุใดเอาแต่นิ่วหน้าเช่นนี้เล่าขอรับ?”
“ผู้ฝึกตนระดับเซียนเหินเรียกไม่ได้ว่าแข็งแกร่งเท่าใดนัก คนพวกนั้นตามหานางหลายเดือนก็ยังไร้ข่าวคราว จึงเลิกให้ความสนใจไปแล้ว หากรู้ว่านางปรากฏตัวอีกครั้ง จะต้องไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ แน่”
เซวียนหยวนโม่เจ๋ออธิบายเสียงขรึม ใช้นิ้วเคาะโต๊ะดัง “ก๊อก ๆ” เพราะเรื่องนี้มีกลุ่มอำนาจแถบเหนือแม่น้ำเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กอปรกับเขาใช้เวลาครึ่งปีก็ยังไม่สามารถสะสางเรื่องนี้ได้
หากเป็นแต่ก่อน แคว้นพวกนั้นแทบไม่กล้าบีบคั้นเช่นนี้ ทว่ายามนี้พวกเขามีกลุ่มอำนาจแถบเหนือแม่น้ำคอยหนุนหลัง ย่อมไม่เกรงกลัวจักรวรรดิเซวียนหยวนของพวกเขาเป็นธรรมดา ตรงกันข้าม หากสามารถกำราบแคว้นพวกนั้นได้แล้วแบ่งเขตปกครอง ย่อมต้องเป็นผลดีต่อพวกเขาอยู่แล้ว
ครึ่งปีมานี้ อำนาจของตำหนักยมราชก็ถูกทำลายไปด้วย เสด็จพ่อของเขากลายเป็นอย่างนี้ ทั้งภายในและภายนอกจักรวรรดิเซวียนหยวนเกิดคลื่นลูกใหญ่ แล้วยังมีกลุ่มอำนาจแถบเหนือแม่น้ำคอยสร้างความลำบาก หากต้องการทำให้บ้านเมืองสงบ เกรงว่าจะไม่สามารถทำได้ในเวลาสั้นๆ
ได้ยินอย่างนั้น ฮุยหลางแย้งว่า “ข้ากลับคิดว่าภูตหมอมิใช่คนที่ไร้การไตร่ตรอง ในเมื่อนางออกมาแล้ว แสดงว่าจะต้องเตรียมการมาอย่างรอบคอบ นายท่านไม่ต้องเป็นห่วงมากไป หากเจอภูตหมอเมื่อใดก็ได้รู้แผนการของนางเอง”
………………………………….
[1] ดึงฟืนออกจากก้นหม้อ เป็นสำนวนเปรียบเปรยถึงการแก้ปัญหาที่ต้นตอ