เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1721 สังหารในดาบเดียว ตอนที่ 1722 เห็นผีแล้วจริงๆ
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1721 สังหารในดาบเดียว ตอนที่ 1722 เห็นผีแล้วจริงๆ
ตอนที่ 1721 สังหารในดาบเดียว / ตอนที่ 1722 เห็นผีแล้วจริงๆ
ตอนที่ 1721 สังหารในดาบเดียว
เห็นนางสนมที่อยู่ใต้ร่างเบิกตากว้าง นอนแน่นิ่งและสิ้นลมไป ผู้ครองแคว้นจักรวรรดินทีแดงอกสั่นขวัญหาย “จะ เจ้าเป็นใครกันแน่?” เขาหันกลับไป ครั้นเงาร่างของผู้ที่ถือกระบี่ยาวพาดคอเขาปรากฏสู่ครรลองสายตา แววตื่นตะลึงในความงามก็พาดผ่านในดวงตา
เห็นเพียงคนผู้นั้นสวมชุดสีแดงสะดุดตา รอบกายแผ่ปกคลุมด้วยไอเซียนเลือนราง ดวงหน้างดงามที่แยกได้ยากว่าเป็นชายหรือหญิงสะท้อนแววชั่วร้าย เขาราวกับเห็นคนชุดแดงตรงหน้ายักคิ้วกระดกปาก แล้วมองเขาด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“รู้หรือยังว่าข้าเป็นใคร?” เฟิ่งจิ่วถาม กดกระบี่ยาวลงบนคอเขา จนกลายเป็นรอยแผลเส้นหนึ่ง เลือดซึมเล็กน้อย
ความเจ็บทำให้ผู้ครองแคว้นจักรวรรดินทีแดงได้สติกลับมา เขาตระหนักได้ทันที “จะ เจ้าคือเฟิ่งจิ่ว!” ได้ยินมาว่าเฟิ่งจิ่วมีรูปโฉมที่งดงามล่มเมือง ชอบสวมชุดสีแดง มือถือกระบี่คมพยับ และคนตรงหน้า ก็สวมชุดสีแดงหน้าตางามล้ำ และกระบี่ที่พาดคอเขาอยู่ก็คือกระบี่คมพยับนั่นเอง ไม่ใช่เฟิ่งจิ่วแล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า?
“ถูกต้อง ในเมื่อรู้แล้ว อย่างนั้นก็ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว” เฟิ่งจิ่วกระดกมุมปากยิ้ม ประกายเย็นชาพาดผ่านในดวงตา กระบี่คมพยับพลิกหมุน แทงเข้าไปในจุดตันเถียนของเขาในพริบตา
“ซี๊ด!”
นาทีสุดท้าย ผู้ครองแคว้นจักรวรรดินทีแดงคิดจะสู้ ใครจะรู้ กลิ่นอายพลังวิญญาณในร่างกายกลับไม่อาจขับเคลื่อน เดิมคิดจะหลบเลี่ยงก็ทำไม่ได้ จึงถูกกระบี่แทงเข้าอย่างจัง
เขารู้สึกเพียงกระบี่คมพยับเล่มนั้นแทงแก่นพลังในของเขาจนแหลกสลาย ทำลายพลังชีวิตของเขาจนสิ้นในดาบเดียว เขาคิดจะถอดวิญญาณต้นออกมาเพื่อหนีก็ทำไมได้ ร่างกายแข็งทื่อจ้องมองเธอ ในใจคับแค้นไม่จำยอม ที่ต้องตายไปพร้อมกับความแค้นอย่างนี้ ทว่า เมื่อกลืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายลงไป ตัวเขาก็ล้มลงไปทั้งที่ยังเหยียดตรงอย่างนั้น
เฟิ่งจิ่วดึงกระบี่ยาวกลับ มองดูผู้ครองแคว้นจักรวรรดินทีแดงที่ตายตาไม่หลับด้วยรอยยิ้มเย็นชา “วางใจ ลูกชายกลับลูกสาวของเจ้าจะตามไปอยู่กับเจ้าในอีกไม่ช้า”
เธอหมุนตัวเดินออกไป แล้วสั่งว่า “เอาศพของเขาไปแขวนหน้าประตูวัง”
“ขอรับ” องครักษ์เฟิ่งสองนายโฉบออกมาจากที่มืด แล้วลากศพที่อยู่ข้างในออกไป
กวนสีหลิ่นที่เฝ้าอยู่ข้างนอกเห็นเธอออกมา ก็บอกว่า “ผู้ฝึกตนระดับเซียนเหินสองคนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดก็จัดการเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน เข้าไปในตำหนักของรัชทายาทชื่อสุ่ยนั่นได้เลย”
“อืม ไปกันเถิด!” เธอรับคำ แล้วพาพวกเขาไปยังเป้าหมายต่อไป
รัชทายาทชื่อสุ่ยกำลังฝึกวรยุทธ์อยู่ในสนาม หลงจากได้รับความอัปยศที่จักรวรรดิเซวียนหยวนในปีนั้น เขากลับมาก็ขยันฝึกวรยุทธ์ พยายามพัฒนาพลังของตนเอง
เมื่อเห็นว่าจักรวรรดิเซวียนหยวนใกล้ล่มสลาย ใจเขาเบิกบานยิ่งนัก เมื่อทำลายจักรวรรดิเซวียนหยวนนั่นแล้ว แล้วเขาจะเหยียบเซวียนหยวนโม่เจ๋อให้จมดิน! ส่วนเฟิ่งจิ่วที่ได้ยินมาว่าเป็นผู้หญิงของเซวียนหยวนโม่เจ๋อ เขาจะตามหานางให้เจอ! แล้วขังนางไว้ให้เป็นทาสหญิงของเขา!
“พลั่กๆๆ!”
ลูกเตะหมุนเพียงหนึ่งครั้ง องครักษ์ลับที่เป็นคู่ซ้อมล้มลงไปถึงแปดคน พวกเขาร้องโอดครวญ ไม่อาจลุกขึ้นมาได้ทันที
“ไม่มีประโยน์! แปดคนไม่มีประโยชน์เลยสักนิด!” รัชทายาทชื่อสุ่ยสะบัดแขนเสื้อ สายตาคมปลาบตวัดมองแปดคนนั้น “ลุกขึ้นมาซ้อมต่อ!”
องครักษ์ลับทั้งแปดลุกขึ้นจากพื้น รู้สึกเหมือนกลิ่นอายพลังวิญญาณในร่างกายสูญหาย พวกเขาเองก็ตกใจกลัว “องค์รัชทายาท เหมือนว่าร่างกายของกระหม่อมจะแปลกไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็เป็น เหมือนจะดึงพลังวิญญาณออกมาใช้ไม่ได้” ชายอีกคนบอก
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็เป็นเหมือนกัน” ชายอีกคนพยักหน้าเสริม
“พรืด!”
รัชทายาทชื่อสุ่ยหัวเราะหยัน “เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกอะไรเลย?”
………………………………….
ตอนที่ 1722 เห็นผีแล้วจริงๆ
“นั่นอาจเป็นเพราะเจ้าโชคดี ยังไม่ได้ดื่มน้ำในวัง” จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา ทุกคนหันไปมองด้วยความตกใจ
ครั้นรัชทายาทชื่อสุ่ยได้ยินเสียงนั้นก็ตกตะลึง หันไปมองเงาร่างสีแดงที่เดินเข้ามาท่ามกลางความมืดอย่างไม่คาดคิด หลุดคำรามเสียงหลง “เฟิ่งจิ่ว! นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าเข้ามาในวังชื่อสุ่ยของเรา! เจ้าช่างใจกล้านัก!”
เมื่อความตกตะลึงผ่านไป รัชทายาทจ้องเงาร่างสีแดงร่างนั้น แววตาลุ่มหลงต้องการครอบครองอย่างรุนแรงสะท้อนในสายตา
“มาได้เวลาพอดี ข้ากำลังคิดถึงเจ้าอยู่เลย!” เขาแสยะยิ้มอย่างเย็นชา สายตากวาดมองกวนสีหลิ่นที่อยู่ข้างกายนาง รวมถึงอีกสิบกว่าคนที่อยู่ข้างหลัง
“พรืด! พาคนมาแค่นี้ก็ยังกล้าเข้ามาในวังชื่อสุ่ยของเรา เฟิ่งจิ่ว เจ้าอวดดีเกินไปแล้ว วันนี้ ข้าจำให้พวกเจ้าหนีออกไปไม่ได้เลยสักคน! ลงมือ! นอกจากผู้หญิงชุดแดง ที่เหลือฆ่าให้หมด!”
ทว่า เขาออกคำสั่งแล้วกลับไม่เห็นความเคลื่อนไหว มีเพียงเฟิ่งจิ่วที่อยู่ตรงหน้าก้าวเข้ามาช้าๆ พร้อมกับหัวเราะหยัน เขาหันกลับไปตวัดสายตา แล้วตวาดเสียงดัง “พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่! ไม่ได้ยินที่ข้า…”
พูดยังไม่ทันจบ เสียงกลับขาดหายไปกลางคัน เพราะองครักษ์ลับพวกนั้นต่างก็หน้าซีดล้มลงไปทีละคน บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ไม่มีใครขยับตัวได้เลย
เวลานี้ เขานึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของพวกเขา รวมถึงคำพูดของเฟิ่งจิ่ว ครั้นจำได้ว่านางชำนาญวิชาแพทย์และยา ก็อดตกตะลึงไม่ได้ จ้องนางด้วยแววตาเดือดดาล “เจ้าวางยา!”
“จิ๊ๆๆ เพิ่งจะรู้ตัวเอาเวลานี้หรือ?” เฟิ่งจิ่วส่ายหน้า สาวเท้าเดินมาหยุดตรงหน้าเขา “ท่านพี่ คนคนนี้มอบให้ท่านใช้ฝึกซ้อมก็แล้วกัน”
“ดีเลย!” กวนสีหลิ่นรับคำเสียงเข้ม สาวเท้ายาวๆ มาข้างหน้า พุ่งตัวออกมาราวกับพยัคฆ์ทะยาน กำปั้นตวัดพาเอาสายลมรุนแรงโจมตีไปยังรัชทายาทชื่อสุ่ย
แรงกดดันแข็งแกร่งโจมตีเข้ามา ทำให้รัชทายาทชื่อสุ่ยตกตะลึง รีบตั้งท่ารับทันที เขารวบรวมกลิ่นอายพลังวิญญาณหมายจะตั้งรับกำปั้นลูกนั้น ใครเลยจะรู้ กลิ่นอายพลังวิญญาณปะทะกับกลิ่นอายพลังเร้นลับของอีกฝ่าย กระแสพลังสองขุมสะท้อนกลับ กลิ่นอายพลังวิญญาณของเขาถูกกลืนกิน กลิ่นอายพลังเร้นลับบีบคั้นเข้ามาใกล้ กระแทกร่างเขาให้ลอยออกไปไกล
“พลั่ก!”
“อั๊ก!”
กำปั้นลูกนั้นกระแทกลงที่กลางอกของเขาอย่างแรง ส่งเสียงดังพลั่ก กลิ่นอายพลังเร้นลับกระจายไปทั่วข้างในร่างกายของเขา พริบตานั้น ราวกับอวัยวะภายในทั้งหมดถูกกลิ่นอายพลังเร้นลับปกคลุม กระทั่งมีเสียงแตกหักดังขึ้น
“อึก! อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น เพียงหมัดเดียว ก็เจ็บไปถึงอวัยวะภายในของเขา ทำให้เขาไม่อาจลุกขึ้นยืนได้อีก เพียงหมัดเดียว ก็ทำลายวรยุทธ์ในแก่นพลังในของเขา ทำให้เขาได้แต่ร้องครวญอยู่บนพื้นราวกับคนพิการ ไม่อาจขัดขืนต่อต้าน
กวนสีหลิ่นสะบัดมือ แค่นเสียงหยัน “รัชทายาทชื่อสุ่ย ก็แค่นี้เอง”
เฟิ่งจิ่วกระตุกมุมปากยิ้ม “ก็แค่นี้เองจริงๆ”
ถูกดูแคลนต่อหน้าเช่นนี้ รัชทายาทชื่อสุ่ยอับอายและแค้นใจ ทว่าในใจกลับบังเกิดความหวาดกลัว เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนพวกนี้ อีกอย่าง หมัดเดียวก็ถูกทำลายวรยุทธ์แล้ว ดูท่าทางของพวกเขา ไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างนี้แน่
เขาที่ล้มอยู่บนพื้นลุกไม่ไหวที่คลานถอยหลัง ขบกรามแน่น กำป้ายหยกขอความช่วยเหลือที่เสด็จพ่อของเขาให้ไว้จนแตก ขอเพียงป้ายหยกแตก เสด็จพ่อของเขาก็จะรู้ เมื่อถึงตอนนั้น คนพวกนี้ไม่รอดแน่!
ทว่า เหล่าองครักษ์ลับที่หมดแรงล้มอยู่ด้านหนึ่ง กลับจ้องร่างที่อยู่ในมือของชายสองคนข้างหลังเฟิ่งจิ่วด้วยสีหน้าที่ราวกับเห็นผี…
………………………………….