เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1789 ข้ามาจากภูเขา ตอนที่ 1790 ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1789 ข้ามาจากภูเขา ตอนที่ 1790 ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ตอนที่ 1789 ข้ามาจากภูเขา / ตอนที่ 1790 ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ตอนที่ 1789 ข้ามาจากภูเขา
คนผู้นั้นเห็นเฟิ่งจิ่วทำหน้ารู้สึกผิด กลับไม่พูดอะไรอีก เพียงทำหน้าบึ้งแล้วเดินขึ้นไปตักน้ำสะอาดข้างบน จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับลงไปข้างล่าง
เห็นอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วตะโกนเรียกเขา “พี่ชายท่านนี้ รอเดี๋ยวก่อน”
“มีอะไร?” คนผู้นั้นหยุดเดิน หันกลับมามองเฟิ่งจิ่วด้วยสีหน้าบึ้งตึง น้ำเสียงไม่ถือว่าเป็นมิตรนัก
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ ตอบว่า “ข้าขึ้นเขามาเด็ดสมุนไพร ไม่ระวังหลงทางเสียแล้ว ข้าอยากถามว่าที่นี่มีทางไหนออกจากป่าผืนนี้ได้เร็วหน่อยหรือไม่?”
ชายคนนั้นเหลือบมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง สายตาสะดุดที่ตะกร้าเก็บสมุนไพร จึงตอบว่า “เดินตามลำธารเส้นนี้ลงไปเรื่อยๆ จะออกจากเขาลูกนี้ได้ไวที่สุด” เอ่ยจบก็จากไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบใจมาก” เฟิ่งจิ่วตะโกนไล่หลังไป จากนั้นก็หันไปมองลำธารที่ไหลลงไปด้านล่างแวบหนึ่ง เธอรู้อยู่แล้วว่าเดินตามสายน้ำลงไป เพียงแต่ ยังต้องเดินอีกนานแค่ไหน?
แม้ตอนนี้เธอจะว่าง แต่ก็ไม่อยากอยู่ในเขาลูกนี้นานนัก เฟิ่งจิ่วถอนหายใจ ก่อนจะแบกตะกร้าเก็บสมุนไพรเดินลงไปตามแนวลำธาร พลางคิดในใจ รอออกจากป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้รกทึบนี้ได้เมื่อใด ก็จะขี่กระบี่บินได้แล้ว จะได้ประหยัดเวลาเดินเท้าได้สักหน่อย
ด้านล่างลำธาร ชายคนเมื่อครู่ที่เจอเฟิ่งจิ่วยื่นน้ำให้ชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบปีดื่ม จากนั้นก็ถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านพ่อ ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง? ดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
“ได้พักครู่หนึ่งก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” ชายวัยกลางคนพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ พิงต้นไม้ใหญ่แล้วหรี่ตา
อีกด้านหนึ่ง มีชายฉกรรจ์ที่เก็บซ่อนกลิ่นอายหลายคนติดตามมาด้วย ดูท่าทางอายุประมาณสามสิบปีถึงห้าสิบปี ยังมีชายชราชุดเทาติดตามมาด้วยอีกคน แบกกล่องยาเล็กๆ กล่องหนึ่งไว้ที่เอว ดูท่าทางน่าจะเป็นหมอ
พวกเขารุมล้อมชายวัยกลางคนที่นั่งพิงต้นไม้ หว่างคิ้วแสดงออกถึงความกังวลอย่างปิดไม่มิด
“นึกไม่ถึงว่านักเล่นแร่แปรธาตุและหมอในสำนักบุปผาเซียนก็ยังไม่มีวิธี อย่างนี้พวกเราก็ทำได้เพียงไปที่สำนักตะวันฉายดูแล้ว” ชายชราชุดเทาพูดอย่างถอนใจ เขามองชายวัยกลางคน บอกว่า “ท่านผู้นำตระกูล ท่านไม่ต้องห่วง ใต้หล้านี้มีคนที่มีวิชาแพทย์สูงส่งอยู่มากมาย ขอเพียงได้พบ ท่านจะต้องไม่เป็นไรแน่”
“ช่างเถิด ข้าไม่หวังอะไรแล้ว แม้แต่หมอกับนักเล่นแร่แปรธาตุในสำนักบุปผาเซียนยังบอกว่าไร้หนทาง ข้ายังทำอะไรได้อีก? ชีวิตมีเกิดย่อมมีดับ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถิด! ข้าไม่อยากทรมานอีกแล้ว กลับกันเถิด!”
ใบหน้าเขาดูเหนื่อยล้า ระหกระเหินเดินทางไปขอการรักษามาก็หลายเดือนแล้ว แต่ละคนล้วนบอกว่าไร้หนทาง ให้ไปหายอดฝีมือคนอื่น หลายเดือนมานี้ สี่สำนักใหญ่พวกเขาไปเยือนมาแล้วสามแห่ง ยามนี้ก็เหลือเพียงสำนักตะวันฉายแล้ว
ทว่า อีกสามสำนักยังบอกว่าไร้หนทาง สำนักตะวันฉายจะมีวิธีได้อย่างไรกัน? ดูท่านี่คงเป็นลิขิตสวรรค์ เขาเองก็ไม่อยากฝืนชะตาอีกแล้ว สู้ฉวยโอกาสตอนที่ร่างกายยังไม่ถึงวาระสุดท้ายกลับบ้านไปเตรียมงานศพเสียดีกว่า วันใดเขาล่วงลับไป ที่บ้านจะได้ไม่ต้องวุ่นวายมากนัก
ทุกคนได้ยินเขาบอกอย่างนั้น ต่างพากันเงียบไม่พูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง ตามหามานานขนาดนี้ ถามหมอที่มีวิชาแพทย์สูงส่งมาก็หลายคน รวมถึงขอยาจากนักเล่นแร่แปรธาตุที่ระดับสูงมาก็แล้ว ล้วนไม่มีวิธีรักษาและยาที่เหมาะสมเลย บางที อาจไร้หนทางแล้วจริงๆ
ในขณะที่ทุกคนกำลังหดหู่สิ้นหวัง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ดังมา ทำนองเพลงเหมือนจะต่างจากที่พวกเขาคุ้นเคย อีกทั้งเสียงนั้นยังดังก้องไปทั่วป่าทั้งผืน แยกไม่ออกว่ามาจากทิศทางใด
“ไปกันเถิด!” ชายวัยกลางคนมองรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วบอกกับทุกคน
………………………………….
ตอนที่ 1790 ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
เฟิ่งจิ่วฮัมเพลงหลันฮวาเฉ่าพลางเดินไปตามแนวลำธาร ทำนองเพลงไม่มีเนื้อร้อง ท่วงทำนองเร็วๆ ทำให้ฝีเท้าของเธอเร็วตามไปด้วย อารมณ์ก็แตกต่างออกไปเช่นกัน
ปากฮัมเพลง มือก็ถือกิ่งไม้ฟาดต้นไม้ใบหญ้าข้างทางไปพลาง คอยแหวกกิ่งไม้และเถาวัลย์ที่ขวางทางออกบ้างเป็นระยะ เธอเดินลงไปตามสายน้ำเรื่อยๆ แม้ไม่มีคน แต่ดวงจิตที่ปล่อยออกไปกลับสัมผัสได้ถึงคนที่อยู่ข้างล่างกลุ่มนั้นแล้ว
แถวๆ นี้เธอเคยเจอแค่ชายคนที่ขึ้นมาตักน้ำเมื่อครู่คนเดียวเท่านั้น ยามนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นพวกของเขาแน่นอน ตามคาด เธอเดินฮัมเพลงลงไป ก็เห็นพวกเขากำลังจะตั้งท่าออกเดินทาง
“พี่ชายท่านนี้ เจอกันอีกแล้ว”
เธอยิ้มกว้าง โบกมือให้เขา พลางลอบมองพิจารณาคนอื่นๆ อย่างเงียบๆ สุดท้าย สายตาก็ไปสะดุดที่ชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบปี ก่อนจะละออกไป
“จี้หมิง เจ้ารู้จักหรือ?” ชายวัยกลางคนถามลูกชายที่อยู่ข้างๆ
ชายอายุสามสิบปีกว่ามองเด็กหนุ่มที่แบกตะกร้าเก็บสมุนไพรแวบหนึ่ง เบือนหน้าออกไป แล้วหันไปตอบพ่อของเขา “เด็กหนุ่มคนนั้นนั่งพักอยู่บนลำธาร คราบน้ำมันก่อนหน้านี้ก็เป็นฝีมือเขานั่นแหละขอรับ”
ได้ยินอย่างนั้น ชายวัยกลางคนพยักหน้า มองพิจารณาเด็กหนุ่มชุดเขียวหน้าตาดูใสซื่อแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มๆ บอกว่า “ดูเหมือนจะเป็นเด็กเก็บสมุนไพร”
เฟิ่งจิ่วเผยยิ้มจริงใจ เกาหัวอย่างรู้สึกผิด “ข้าเป็นคนเก็บสมุนไพรขอรับ ก่อนหน้านี้เพราะหิวมาก จับไก่ป่ามาย่างกิน มือจึงเลอะคราบมัน ไม่นึกว่าข้างล่างจะมีคนอยู่ ฮะๆ”
“ที่แท้ก็อย่างนี้เอง” ชายวัยกลางคนพยักหน้ายิ้มๆ เอ่ยอีกว่า “ป่าผืนนี้ค่อนข้างลึก สมุนไพรก็น่าจะเป็นแบบธรรมดา ยาทิพย์นั้นหาได้ยาก แต่กลับมีสัตว์ร้ายไม่น้อย เจ้าเป็นแค่เด็ก แล้วยังไม่มีเพื่อนมาด้วย หากจะลงเขา ไปกับพวกข้าก็ได้”
“หา?” เฟิ่งจิ่วได้ยินก็กะพริบตาถี่ๆ มองชายวัยกลางคนที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มมีเมตตาตรงหน้าอย่างตะลึงเล็กน้อย
“นายท่าน จะได้อย่างไรกันขอรับ เด็กนี่ไม่รู้โผล่มาจากไหน” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังพูดขึ้น พลางจ้องเฟิ่งจิ่วอย่างหวาดระแวง
“โธ่เอ๋ย” ชายวัยกลางคนโบกมือ แล้วพูดอย่างไม่เห็นด้วย “ก็แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง พวกเจ้าอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ดูเป็นเด็กแค่อายุสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น มีอะไรให้น่าเป็นห่วงกัน”
เฟิ่งจิ่วได้ยินก็ยิ้มตาหยี มือหนึ่งลูบหน้า แล้วหัวเราะแห้งๆ บอกว่า “ท่านลุง ข้าใกล้จะยี่สิบแล้วขอรับ” หน้าตาเธอดูอ่อนเยาว์มากเลยหรือ? สิบห้าสิบหกปี?
ชายวัยกลางคนได้ยินอย่างนั้นก็ตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “ดูไม่ออกเลยจริงๆ เพราะเสียงของเจ้ายังไม่เปลี่ยน จึงดูเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปี”
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วยิ้มตาหยีแล้วตอบว่า “เสียงแหบไม่น่าฟัง อย่างนี้จึงน่าฟังกว่า” พูดจบก็ถามอีกว่า “จากที่นี่ลงเขาไปยังอีกไกลหรือ? ก่อนฟ้ามืดจะออกไปได้หรือไม่?”
“ไม่ได้หรอก ที่นี่เป็นป่าที่อยู่ติดกับอาณาเขตของสำนักบุปผาเซียน ต้นไม้ทึบเส้นทางก็ไม่ค่อยดี หากไม่ใช่ป่าผืนนี้มีกิ่งไม้หนาแน่น กลับสามารถขี่กระบี่บินหรือนั่งพาหนะบินออกไปได้” ชายวัยกลางคนตอบ เห็นเด็กหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้า จึงยิ้มๆ ถามว่า “ไม่ทราบน้องชายตัวน้อยชื่ออะไร?”
“อ้อ ข้าแซ่เฟิ่ง” เธอละสายตาออกจากท้องฟ้า มองชายวัยกลางคนแล้วตอบ
“ที่แท้ก็สหายน้อยเฟิ่งนี่เอง” เขาพยักหน้า ยิ้มตอบว่า “ข้าแซ่ลู่ เจ้าเรียกข้าว่าลุงลู่ก็ได้”
………………………………….
——————————————————-