เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1805 ตายแล้วจริงๆ / ตอนที่ 1806 ขอรับการรักษา
ตอนที่ 1805 ตายแล้วจริงๆ / ตอนที่ 1806 ขอรับการรักษา
ตอนที่ 1805 ตายแล้วจริงๆ
ไม่มีเวลาคิดมาก ลู่จี้หมิงรีบเข้าไปคุกเข่าแล้วทำตามที่เฟิ่งจิ่วบอก จับคางพ่อของเขายกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ปิดจมูกของเขา ก่อนจะรวบรวมเรี่ยวแรงเป่าลมเข้าไปในปากของเขา
เฟิ่งจิ่วไม่ได้หยุด เธอกู้ชีพให้เขาไปด้วย กระทั่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา เธอจึงสั่งให้ลู่จี้หมิงถอยออกไป พลางแกะคอเสื้อของนายท่านลู่ออก เพื่อให้เขาหายใจได้สะดวกขึ้น
“แค่กๆ!” นายท่านลู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองเฟิ่งจิ่วที่อยู่ตรงหน้าอย่างมึนงงเล็กน้อย เหมือนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ส่วนชายชราชุดเทากับลู่จี้หมิงที่ถอยออกไปด้านหนึ่งแล้วเห็นคนที่เดิมทีสิ้นลมไปแล้วกลับมาหายใจอีกครั้ง ซ้ำยังลืมตาขึ้นมาอีก พวกเขาเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ
“ระ รอดแล้ว?”
“พวกเจ้าเป็นอะไรไป?” นายท่านลู่ถาม พลางยกมือลูบหน้าอกตนเอง อาการเจ็บครั้งนี้หนักกว่าครั้งที่ผ่านมา ตามคาด เขาใกล้จะตายแล้วงั้นหรือ?
“ทะ ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ? ตอนนี้ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?” ลู่จี้หมิงถามเสียงสั่นๆ ไม่อยากเชื่อว่าคนที่เมื่อนาทีที่ผ่านมาสิ้นลมไปแล้ว จะยังช่วยให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง
“หะ ให้ข้าดูหน่อย!” ชายชราชุดเทารีบเข้าไปนั่งยองข้างๆ ยื่นมือไปตรวจชีพจรเขา ครั้นสัมผัสได้ถึงเส้นชีพจรที่กลับมาเต้นปกติอีกครั้ง เขาก็หันไปมองเฟิ่งจิ่วที่อยู่ด้านหนึ่งด้วยความตกตะลึง
“เมื่อกี้ข้าหมดสติไปอีกแล้วใช่หรือไม่?” นายท่านลู่ถาม หันมองทุกคนที่อยู่รอบๆ แล้วเผยยิ้มออกมา “ไม่ต้องห่วง ไม่เป็นไร กินยาก็ดีขึ้นเอง”
กลุ่มคนตระกูลลู่ที่อยู่รอบๆ แต่ละคนมองนายท่านของพวกเขาด้วยสายตาซับซ้อน เมื่อกี้ไม่ใช่หมดสติ แต่สิ้นลมไปเลยต่างหาก หากไม่ได้เด็กหนุ่ม เกรงว่า…
นึกถึงตรงนี้ ทุกคนหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนอุ้มเสือขาวตัวน้อยอยู่ใต้ต้นไม่อีกครั้ง อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นใครกันแน่ เขารักษาเป็นแค่สัตว์จริงหรือ? แต่เมื่อครู่…เมื่อครู่เป็นเขาที่ช่วยนายท่านของพวกเขาไว้ชัดๆ
“พวกท่านมองข้าทำไม? นายท่านลู่ไม่เป็นไรแล้วไม่ใช่หรือ?” เฟิ่งจิ่วลูบเสือขาวตัวน้อยในอ้อมแขน หาวหวอดๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
นี่เพิ่งจะเที่ยงคืนเอง! เธองีบต่ออีกสักหน่อยดีกว่า
“มีอะไรหรือ?” นายท่านลู่เห็นบรรยากาศแปลกๆ จึงถามขึ้น
“ท่านพ่อ เมื่อครู่ท่าน ท่าน…” ลู่จี้หมิงอยากบอกเขาว่าเมื่อครู่ท่านสิ้นลมไปแล้ว แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปากกลับไม่รู้จะพูดออกไปอย่างไรดี ได้แต่หันไปมองผู้อาวุโสลู่ที่อยู่ข้างๆ
ผู้อาวุโสลู่ละสายตากลับมาจากเฟิ่งจิ่ว ก่อนบอกนายท่านลู่ว่า “นายท่าน เมื่อกี้ท่านตายไปแล้ว”
ได้ยินอย่างนั้น นายท่านลู่ตะลึง เหมือนไม่ค่อยเข้าใจ “ตายแล้ว? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?” เขาตายแล้วจะฟื้นขึ้นมาอีกได้อย่างไร?
“เป็นเรื่องจริงขอรับ”
ลู่จี้หมิงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสริม อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเฟิ่งจิ่ว “หากไม่ใช่เขา ท่านพ่อคงไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เมื่อกี้ท่านสิ้นลมไปแล้ว ท่านไม่หายใจ พวกข้าต่างไม่รู้จะทำอย่างไร เป็นสหายน้อยเฟิ่งที่ช่วยท่านไว้”
เห็นผู้อาวุโสลู่พยักหน้าเสริม นายท่านลู่ตะลึงพรึงเพริด อดหันไปมองที่พักของเฟิ่งจิ่วไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาพยักพเยิด “พวกเจ้าประคองข้าขึ้น ในเมื่อสหายน้อยเฟิ่งช่วยข้าไว้ ข้าก็ต้องขอบคุณเขาด้วยตนเอง”
ได้ยินอย่างนั้น ผู้อาวุโสลู่กับลู่จี้หมิงรีบประคองเขาขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้
“สหายน้อยเฟิ่ง” มาถึงตรงหน้า นายท่านลู่ขานเรียก
เฟิ่งจิ่วลืมตา มองนายท่านลู่ที่อยู่ตรงหน้า เผยยิ้มออกมา “ฟ้ายังไม่สว่าง ไม่นอนต่ออีกหน่อยหรือ?”
………………………………….
ตอนที่ 1806 ขอรับการรักษา
“สหายน้อยเฟิ่ง ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยชีวิตข้าไว้” นายท่านลู่คารวะเขาอย่างจริงใจ
เฟิ่งจิ่วลูบขนของเสือน้อยในอ้อมแขน ยิ้มตาหยีแล้วตอบว่า “ที่จริงข้าก็ไม่ได้ทำอะไร เป็นพี่ชายลู่ที่ผายปอดให้ท่าน ทำให้ท่านกลับมามีชีวิตอีกครั้ง”
เดิมทีลู่จี้หมิงไม่ได้เอะใจ แต่ยามนี้พอเฟิ่งจิ่วพูดถึง สีหน้าเขาก็ดูประดักประเดิดขึ้นมา แม้จะเป็นบิดา แต่เรื่องอย่างการผายปอดปากต่อปากเช่นนี้ อย่างไรก็ยังแปลกมากอยู่ดี
แต่ว่า เขาผายปอดแล้วช่วยชีวิตพ่อของเขากลับมาได้ นั่นก็ทำให้เขาดีใจมากเหมือนกัน
“สหายน้อยเฟิ่ง ขอมีเรื่องจะถามเจ้าหน่อย” เขานั่งลงข้างเฟิ่งจิ่ว เหมือนตั้งใจจะคุยด้วยอย่างละเอียด
“ท่านลุงลู่โปรดถาม” เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าป่วยเป็นอะไร?” นายท่านลู่ถามอย่างตรงไปตรงมา สายตาเฉียบแหลมจับจ้องที่ใบหน้าของเฟิ่งจิ่ว คล้ายกำลังจับตาดูสีหน้าของเด็กหนุ่ม ด้วยอยากรู้ว่าอีกฝ่ายรู้หรือไม่ว่าตนเองป่วยเป็นโรคอะไร?
“อืม คิดว่าน่าจะรู้!” เฟิ่งจิ่วพยักหน้า กลับไม่ได้คิดจะปิดบัง แต่มองเขา พลางสาธยายว่า “ยามอาการกำเริบ ท่านน่าจะปวดบิดที่หัวใจ ลมหายใจติดขัดมีเหงื่อออก เวลาปกติก็มักจะแน่นหน้าอกเป็นบางครั้งกระมัง!”
นายท่านลู่กับผู้อาวุโสลู่ได้ยินแล้วก็ตกตะลึง เขาเห็นแค่นี้ก็รู้แล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้น วิชาแพทย์ของเขา…
“สหายน้อยเฟิ่ง จะ เจ้ามีวิธีรักษาใช่หรือไม่? เจ้ามีวิธีรักษานายท่านของข้าใช่หรือไม่?” ผู้อาวุโสลู่ถามเสียงสั่น
ลู่จี้หมิงที่อยู่ข้างๆ ได้ยิน นึกถึงตอนที่พ่อของเขาสิ้นลมเมื่อครู่ก็ได้เฟิ่งจิ่วช่วยไว้ ยามนี้รู้ว่าเขาอาจมีวิธีรักษา จึงไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบคุกเข่าต่อหน้าเขา
“สหายน้อยเฟิ่ง ได้โปรดช่วยท่านพ่อของข้าด้วย ข้าขอร้อง! ขอเพียงเจ้ารักษาท่านพ่อข้าได้ บุญคุณของเจ้า ตระกูลลู่เราจะไม่มีวันลืมแน่นอน!”
“ปัดโธ่ๆๆ นี่ทำอะไรกันน่ะ! อย่าคุกเข่าต่อหน้าข้าส่งเดชสิ” เธอรีบกระเด้งตัวขึ้น กระโดดไปด้านหนึ่งแล้วถลึงตาใส่พวกเขา “มีอะไรก็คุยกันดีๆ อย่าเอะอะก็เอาแต่คุกเข่า ข้าไม่ชอบแบบนี้หรอกนะ”
“สหายน้อยเฟิ่ง ครั้งนี้ที่ข้าออกเดินทางมาก็เพื่อตามหาหมอรักษาโรค หากเจ้ารักษาให้หายได้ ผู้แซ่ลู่จะตอบแทนอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน” นายท่านลู่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ในใจลอบตึงเกร็งเล็กน้อย
เด็กหนุ่มตรงหน้ารู้วิชาแพทย์ บางทีอาจดูอาการป่วยของเขาออกตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่ได้พูดออกมา กลับบอกว่าพวกเขาว่ารู้วิชาแพทย์เพียงเล็กน้อย และรักษาเป็นแค่สัตว์วิญญาณเป็นส่วนใหญ่
หากมิใช่ว่าอาการของเขากำเริบกลางดึก กอปรกับบังเอิญว่าเขาอยู่ที่นี่ เกรงว่าพวกเขาคงพลาดโอกาสช่วยชีวิตครั้งนี้ไปแล้ว
เฟิ่งจิ่วได้ยินอย่างนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ “ท่านลุงลู่ ท่านไม่กลัวข้าจะรักษาท่านจนเสียสุขภาพหรือ?”
เห็นเขาไม่ปฏิเสธตรงๆ แต่พูดหยอกล้อเช่นนี้ นายท่านลู่ดีใจ รีบตอบ “ข้าเชื่อสหายน้อยเฟิ่ง”
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ บอกว่า “ถึงในเมืองแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน!” เดิมทีเธอก็ตั้งใจไว้ว่าหากถึงในเมืองแล้วจะดูอาการให้เขา นึกไม่ถึงว่าอาการของเขากลับกำเริบกลางดึก อีกอย่างดูท่าทางอาการแย่มากด้วย
“ได้” นายท่านลู่ยิ้มรับ หัวใจที่หนักอึ้งในที่สุดก็วางลงได้แล้ว วันนี้อดไม่ได้ที่จะหวังให้ฟ้ารีบสว่างเร็วๆ พวกเขาจะได้รีบเดินทางเข้าเมือง
เนื่องด้วยจิตใจร้อนรน ด้วยเหตุนี้ พอฟ้าเริ่มสาง พวกเขาก็ออกเดินทางลงจากเขาทันที ประมาณช่วงเที่ยงก็ถึงเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดแห่งหนึ่ง พอหอสุราที่ระดับไม่เลวแห่งหนึ่ง แล้วทุกคนก็เข้าไปพักข้างใน
“ข้าเคยบอกว่าจะเลี้ยงมื้อใหญ่ทุกท่าน มื้อนี้คิดเงินกับข้า อยากกินอะไรไม่ต้องเกรงใจ” เฟิ่งจิ่วบอกพวกของนายท่านลู่