เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1851 เสียเปรียบกว่า / ตอนที่ 1852 ยาทะลวงใจ
ตอนที่ 1851 เสียเปรียบกว่า / ตอนที่ 1852 ยาทะลวงใจ
ตอนที่ 1851 เสียเปรียบกว่า
เฟิ่งจิ่วมองอาวุธนานาชนิด สุดท้ายก็หยิบดาบสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมา เปิดออกดู ดาบสั้นเล่มนั้นส่องประกายเย็นเยียบ ด้วยเหตุนี้ จึงหยิบมันขึ้นและถอยออกมา
ผู้อาวุโสกุ่ยยืนดูอยู่ด้านหนึ่ง สำหรับพวกเขา อาวุธที่เหมาะที่สุดก็คือดาบและกระบี่ อาวุธสั้นจำพวกดาบสั้นกับขวาน รวมถึงดาบโค้งไม่ค่อยเหมาะกับพวกเขานัก เพราะอย่างไรเมื่อคนสองคนต่อสู้กัน หากมีอาวุธยาวในมือย่อมได้เปรียบกว่า
เขาสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าคนส่วนมากล้วนเลือกกระบี่ยาวหรือไม่ก็ดาบ มีเพียงเด็กหนุ่มหมายเลขเก้าเท่านั้นที่เลือกดาบสั้น เขาจึงอดถามไม่ได้ “คนอื่นล้วนเลือกดาบกระบี่ เหตุใดเจ้าเลือกดาบสั้น? หรือไม่รู้ว่ายามสู้กับศัตรูหากใช้ดาบสั้นจะเสียเปรียบ?”
เฟิ่งจิ่วได้ยิน ก็หันไปมองผู้อาวุโสกุ่ย ตอบว่า “เพราะข้าข้อมือค่อนข้างบาง แรงก็น้อยกว่าพวกเขา เทียบกับกระบี่ยาวและดาบใหญ่ ข้าคิดว่าดาบสั้นเหมาะกับข้ามากกว่า หนำซ้ำ เวลานอนก็ยังซ่อนไว้ข้างตัวได้ด้วย ปลอดภัยกว่าขอรับ”
ผู้อาวุโสกุ่ยได้ยินก็รู้สึกว่าเขาพูดจามีหลักเหตุผล เขาพยักหน้าเงียบๆ ถูกอย่างที่อีกฝ่ายพูด เจ้าหนูนี่ดูเหมือนตัวเล็กที่สุด ขนาดร่างกายล้วนเทียบกับคนอื่นไม่ได้ ข้อมือของเขาดูเหมือนไม่มีแรงอย่างที่เขาว่าจริงๆ หากจะเลือกกระบี่ยาวมิสู้เลือกดาบสั้นจริงๆ เพราะอย่างไรดาบสั้นขนาดกะทัดรัด ใช้โจมตีสะดวกกว่า
ทว่าพอได้ยินประโยคหลังของเขา มุมปากกลับกระตุกเล็กน้อย แววตาชั่วร้ายเหลือบมองเด็กหนุ่มแวบหนึ่งแล้วละสายตาออกไป จากนั้นโบกมือสั่งให้ถอยออกไป
ฟังเขาพูดจบ เขารู้สึกว่าประโยคข้างหน้าคงพูดให้น่าฟังเท่านั้น เดาว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการพูดอย่างแท้จริงคงเป็นสองประโยคหลังเสียมากกว่า ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะกลัวตายมาก เวลาหลับยังอยากเอาดาบสั้นซ่อนไว้ข้างๆ เพื่อป้องกันตัวอีก
ส่วนหมายเลขหนึ่งและพวกเหลยเซียวพอได้ยินเฟิ่งจิ่วอธิบาย แต่ละคนล้วนก้มหน้า เก็บซ่อนแววตาที่พาดผ่าน
เจ้าหนูนั่นข้อมือเล็ก? แรงน้อย? ก็ช่างพูดออกมาได้ ไม่คิดเสียบ้าง ตอนอยู่ข้างในใครเป็นคนยกร่างของผู้ฝึกวิชามารลอยเหนือพื้น และขว้างออกไปกระแทกพื้นจนตายด้วยมือเดียว
“พาพวกเขาออกไป” ผู้อาวุโสกุ่ยโบกมือ กำชับเสร็จก็หมุนตัวจากไป
ในอีกด้าน มู่หรงอี้เซวียนส่งคนออกไปสืบข่าว แต่นับจากเฟิ่งจิ่วจากไป เขาก็ไม่เคยได้ยินข่าวอะไรอีกเลย จึงอดครุ่นคิดไม่ได้ นางไปไหนกันนะ?
“พักนี้ไม่มีข่าวอะไรจากฝ่ายใดใช่หรือไม่?” เขาถามชายชุดดำที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“เรียนคุณชาย ไม่มีขอรับ” ชายชุดดำตอบ
“น่าหลันโม่เฉิน เขากลับมาหรือยัง?” มู่หรงอี้เซวียนถามอีก
“ข้าส่งคนออกไปเฝ้าแถวตระกูลน่าหลันแล้ว ยังไม่เห็นคุณชายน่าหลันคนนั้นกลับมา แต่ว่ากลับถูกคนของตระกูลน่าหลันจับได้ ข้าจึงจำต้องสั่งให้คนของเรากลับมาขอรับ”
“ส่งคนไปจับตาดูที่ประตูเมืองของพวกเขาก็พอ หากน่าหลันโม่เฉินกลับมา จะต้องผ่านประตูเมืองแน่นอน” อย่างไรเฟิ่งจิ่วก็ต้องไปที่ตระกูลน่าหลันสักครั้ง ถึงอย่างไร คนของนางก็ติดตามน่าหลันโม่เฉินมาด้วย
“ขอรับ” คนผู้นั้นรับคำ ก่อนจะถอยหลังออกไป
ทว่าในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่พวกโม่เฉินออกเดินทาง เซวียนหยวนโม่เจ๋อก็กำลังสะสางงานของเขา เพียงแต่เสด็จพ่อของเขายังไม่ออกจากการเก็บตัว แม้เขาอยากไปก็ไปไม่ได้ เพียงทำได้เพียงรักษาการณ์อยู่ที่นี่ รอให้เขาออกมาแล้วค่อยวางแผนอีกที
เขานั่งอยู่กลางตำหนัก เบื้องหน้ามีภาพเหมือนของเฟิ่งจิ่ววางไว้ ชุดสีแดงเพลิงพลิ้วไหว หว่างคิ้วแสดงถึงความมั่นใจและหยิ่งผยอง หน้าตาเจ้าเล่ห์ดูมีเสน่ห์ ช่างวาดได้เหมือนตัวจริงของนางยิ่งนัก
ไม่เห็นตัวคน เขาได้แต่จ้องภาพเหมือนแทนความคิดถึงพลางพึมพำว่า “ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
………………………………….
ตอนที่ 1852 ยาทะลวงใจ
เขาในตอนนี้ เดาว่าไม่มีวันนึกฝันว่าเฟิ่งจิ่วจะแฝงตัวเข้าไปในสถานที่ฝึกสายลับของวิหารราตรีแล้ว
“นายท่าน” ฮุยหลางเดินเข้ามาจากข้างนอก มองเซวียนหยวนโม่เจ๋อที่อยู่ในตำหนัก
เซวียนหยวนโม่เจ๋อเงยหน้ามอง พลางเก็บภาพเหมือนบนโต๊ะ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ว่ามา”
“คนของเราส่งข่าวกลับมา บอกว่าคนสาเหตุที่คนของวิหารราตรีเล่นงานราชวงศ์เฟิ่งหวงและจักรวรรดิเซวียนหยวนของเราเป็นเพราะคนคนเดียว” ฮุยหลางดึงจดหมายออกมายื่นให้เขาพลางเอ่ย “รายละเอียดล้วนอยู่ในนี้ขอรับ”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อลบตราประทับบนจดหมาย เปิดอ่านดู ดวงตาหรี่เล็กลง “ส่งคนออกไปสืบข่าวของคนผู้นี้ ดูว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ถึงได้เป็นศัตรูกับเรา นอกจากนี้ สั่งให้คนที่แฝงตัวอยู่ในวิหารราตรีอย่าเพิ่งลงมือทำอะไร เตรียมตัวรอจังหวะที่เหมาะสมไปก่อน”
“นายท่านวางใจ หลังจากข้ารู้ข่าวก็ได้สั่งให้คนแอบไปสืบข่าวอย่างลับๆ แล้ว คนที่แฝงตัวอยู่ในวิหารราตรีก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหว แต่นายท่าน ในจดหมายนั่นยังว่าอะไรอีกหรือ?” ฮุยหลางถามด้วยความสงสัย
เขารู้เพียงบางส่วน แต่กลับไม่รู้เนื้อความในจดหมายมากนัก
เซวียนหยวนโม่เจ๋อเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นจดหมายให้เขา
ฮุยหลางรับไปอ่าน ไม่นานก็ร้องเสียงหลง “คนของวิหารราตรีช่างขาดคุณธรรมนัก ถึงขั้นจับผู้ฝึกตนบางคนไปฝึกฝนให้เป็นสายลับเพื่อจะส่งเข้าไปแฝงตัวในสี่สำนักใหญ่เชียวหรือ? แต่ว่า ผู้ฝึกตนพวกนี้อย่างไรก็ไม่ได้ฝึกมาตั้งแต่เล็ก จะกลายเป็นคนของพวกเขาได้หรือ?”
“คนของวิหารราตรีย่อมมีวิธี หากไม่มั่นใจ ย่อมไม่จับตัวผู้ฝึกตนพวกนั้นไป”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อลุกขึ้น เอามือไพล่หลังแล้วออกเดิน พลางอธิบายว่า “จากที่ข้ารู้มา วิหารราตรีมีพิษชนิดหนึ่งเรียกว่ายาทะลวงใจ พิษชนิดนี้กินเข้าไปตอนแรกก็เหมือนยาพิษ ต้องกินยาแก้พิษเพื่อข่มอาการให้ตรงเวลา และเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง พิษชนิดนี้จะทำให้คนสูญเสียสติสัมปชัญญะ กลายเป็นทหารที่ไร้ความรู้สึกไร้ความต้องการ ทำเป็นเพียงเชื่อฟังคำสั่งอย่างเดียวเท่านั้น
ผู้ฝึกตนพวกนั้นที่ถูกจับตัวไปจะต้องกินยาทะลวงใจนี้เข้าไปแน่ๆ ข้าเดาว่านาทีที่พวกเขากลายเป็นทหารฝีมือยอดเยี่ยม พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ไร้ความรู้สึกและความต้องการไปด้วย ใช้ทหารเช่นนี้แฝงตัวเข้าไปเป็นสายลับในสี่สำนักใหญ่ ขอเพียงไม่ถูกจับได้ พวกเขาก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องถูกหักหลัง”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อเอ่ย เขาหรี่ตาเล็กน้อย มองท้องฟ้านอกตำหนัก
“ร้ายกาจเพียงนี้เชียว?” ฮุยหลางเหมือนไม่อยากเชื่อ
“ไม่เพียงเท่านี้ คนที่วิหารราตรีฝึกออกมาเดาว่าคงไม่ได้ด้อยไปกว่าคนของเรา” เซวียนหยวนโม่เจ๋อกล่าว หันกลับไปมองฮุยหลาง “ฝั่งแผ่นดินใหญ่แถบเหนือแม่น้ำยังไม่มีกำลังของตำหนักยมราชเรา ตอนนี้ข้ายังจะไม่เดินทางไป แต่ตั้งใจจะให้เจ้าเลือกคนฝีมือดีกลุ่มหนึ่งแล้วพาพวกเขาไปที่นั่น”
ฮุยหลางอังงัน รีบถาม “นายท่านต้องการให้ข้าพาคนไปเก็บกวาดทุกอย่าง? อย่างนั้นทางนี้…”
“ทางนี้ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรแล้ว เจ้าไปถึงที่นั่นแล้วสืบข่าวของเฟิ่งจิ่วด้วย ข้าอยากรู้ว่านางปลอดภัยดีหรือไม่” เขากำชับเสียงเข้ม
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฮุยหลางรีบรับคำ “ขอรับ นายท่านวางใจ ข้าจะรีบไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้” เอ่ยจบ ก็คารวะแล้วถอยออกไป
คนในตำหนักยมราชของพวกเขามีผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณขึ้นไปไม่น้อย มีกระทั่งระดับเซียนเหิน ในเมื่อจะเดินทางไปแผ่นดินใหญ่แถบเหนือแม่น้ำ ย่อมขาดผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณขึ้นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“อิ่งอี” เซวียนหยวนโม่เจ๋อขานเรียก
ในที่มืด อิ่งอีโฉบกายเดินออกมา “นายท่าน”
เขาหันไปมองอิ่งอี ก่อนถามว่า “ข่าวของคนพวกนั้นที่ให้เจ้าไปสืบคราวที่แล้ว ได้เรื่องหรือยัง?”