เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 187 ที่แท้เป็นนาง! + ตอนที่ 188 อมตะชั่วนิรันดร์
ตอนที่ 187 ที่แท้เป็นนาง!
“มีอะไรรึ? ทำไมจ้องข้าเช่นนั้น?” เธอถามอย่างไม่รู้เหตุผล
และในเวลานี้ หัวใจนายท่านเหยียนสั่นไหวเล็กน้อย มองใบหน้าที่ฉาบเต็มไปด้วยยาทาสีเขียวปนดำ รวมถึงดวงตาที่เจ้าเล่ห์ปราดเปรื่อง ในใจฉุกคิด
ที่แท้เป็นนาง!
คือแม่หนูน้อยผู้นั้นในป่าเก้าหมอบ เป็นแม่หนูน้อยที่กอดขาเขาเรียกพี่เขยขานท่านอา…
หนำซ้ำ ครั้งนั้นที่พิษเหมันต์เขาออกฤทธิ์และถูกคนตามฆ่า เธอก็ช่วยเขาไว้
นึกถึงตรงนี้ ในดวงตาเขาฉายแววสับสน นึกไม่ถึงว่าจะวนไปวนมาพบนาง ซ้ำยังแต่งตัวเป็นชายมาหลอกเขาอีก หากไม่เห็นใบหน้าที่พอกยาทาสีเขียวปนดำกับดวงตาคู่นั้น ก็ยังจำนางไม่ได้จริงๆ
เฟิ่งจิ่วที่ถูกสายตาเขามองเสียจนไม่สบายเนื้อสบายตัวขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยว่า “ข้าว่านายท่านเหยียน กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ ท่านไม่กลับไปนอนเสียเล่า? คิดจะจ้องข้าอยู่ตรงนี้รึ?”
ดวงตาลึกล้ำของนายท่านเหยียนมองผ่านหน้าอกที่สวมเพียงชุดซับใน เห็นมันแบนราบ ไม่เห็นส่วนโค้งเว้าเลยสักนิด ทว่าในห้วงทะเลแห่งความคิด กลับนึกถึงสัมผัสอ่อนนุ่มวันนั้นในป่าเก้าหมอบที่เขาไปชนเข้าโดยไม่ระวังอย่างอธิบายไม่ได้ ชั่วขณะหนึ่ง ใบหูก็แดงก่ำน้อยๆ หันตัวก้าวยาวเดินออกไปทันที
“แปลกประหลาดจริง”
เฟิ่งจิ่วเห็นเขาจากไปโดยไม่พูดไม่จา เพียงรู้สึกว่าอารมณ์โกรธนายท่านเหยียนผู้นี้ช่างแปลกเสียจริง ตามไปด้านหน้า หลังจากล็อคประตูก็กลับมาหน้ากระจกผอกยาทาอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นค่อยแบกหน้าที่พอกยาไว้เต็มไปนอนทั้งแบบนั้น
วันต่อมา เมื่อเฟิ่งจิ่วมายังหอโอสถทั้งใบหน้าที่พอกยาทาไว้ หลินเหล่าเห็นก็อดไม่ได้ที่จะออกมารับหน้าอย่างตกตะลึง “ภูตน้อย บนหน้าเจ้าเปื้อนอะไรรึ? ทำไมไม่ล้างหน้าก่อนค่อยออกมาเล่า?”
“เป็นยาทาขอรับ ล้างไม่ได้” เธอฉีกยิ้ม กล่าวว่า “หลินเหล่า ข้าต้องไปเลือกยาที่หอที่สี่ ท่านจะไปด้วยกันกับข้าหรือไม่ขอรับ?”
“เลือกยาอีกรึ? แล้วพวกนั้นที่เจ้าหยิบไปเมื่อวาน…”
“พวกนั้นเมื่อวานข้าปรุงแล้วล้มเหลว นี่ ท่านดูสิ เพื่อไม่ให้สิ้นเปลือง ข้าจึงเอามาผอกบนหน้าขอรับ” เธอชี้ๆ ยาทาบนหน้าตัวเองพูดพลางหรี่สองตาลงยิ้ม
“นี่…” หลินเหล่าหมดคำพูด ไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดยังไงกับเขาดี
แต่นึกถึงท่าทีที่นายท่านเหยียนมีต่อเฟิ่งจิ่ว และสิ่งที่เขากำชับไว้ ก็ถอนใจอย่างอดไม่ได้ บอกว่า “เจ้าจะไปหยิบยาก็ไปเองเถอะ กลับไปข้าค่อยบันทึกไว้สักหน่อยก็พอ ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ตามเจ้าไปไม่ได้หรอก”
ดวงตาเฟิ่งจิ่วเป็นประกาย “หลินเหล่า มองไม่ออกเลยว่าท่านไว้ใจข้าเช่นนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะทำลายสมุนไพรเท่าทองพันชั่งหายากพวกนั้นรึขอรับ?”
หลินเหล่าแอบพูดในใจ ‘ข้าไม่ได้เชื่อใจเจ้า แต่นายท่านเหยียนสั่งว่าให้ปล่อยเจ้าหยิบไป เพราะนายท่านเหยียนหรอกนะถึงทำให้เจ้าสุรุ่ยสุร่ายได้เช่นนี้’
สายตาจับจ้องบนใบหน้าเขา คิดว่ายาทิพย์ล้ำค่าพวกนั้นที่หยิบไปเมื่อวานล้วนกลายเป็นยาทาบนหน้าเขา ทันใดนั้นก็เจ็บเข้าเนื้อไปชั่วขณะ “ฟุ่มเฟือยนัก! ฟุ่มเฟือยจริงๆ…” ส่ายหน้า ก่อนจะทำงานของตัวเองไป
ดังนั้น เฟิ่งจิ่วจึงขึ้นหอไปหยิบยาทิพย์จิตวิญญาณกลับไปไม่น้อย เก็บตัวบดตำยาไม่หยุดอยู่ในห้อง จนกระทั่งตอนเย็น ฮุยหลางที่ใบหน้าดูไม่ได้ก็มาหาถึงประตู
ทางอีกด้านหนึ่ง ที่เรือนหลักด้านนั้น นายท่านเหยียนในมือถือถ้วยชา คงอยู่ในท่าทางนี้ตลอดไม่ขยับเขยื้อน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร บางทีก็ขมวดคิ้ว บางครั้งก็ยกมุมปากขึ้นผุดรอยยิ้มเล็กๆ ที่ไม่อาจสังเกตเห็น ท่าทางแปลกๆ นั้น ผู้ฝึกตนชุดดำที่คอยอยู่ข้างๆ มองเสียจนอกสั่นขวัญแขวนชั่วขณะ
จิบชาคำหนึ่ง ถึงจะรู้สึกว่าชาเย็นแล้ว เขาจึงวางถ้วยชาในลง ถามว่า “อิ่งอี ฮุยหลางไปไหนรึ?”
“เรียนนายท่าน ฮุยหลางไปพบภูตหมอ…”
ยังไม่ทันสิ้นสุดน้ำเสียง ก็เห็นนายท่านที่เดิมทีนั่งอยู่กำลังเตรียมจะรินชาสีหน้าเปลี่ยนไป หลังจากสวมหน้ากากก็พุ่งออกไปรวดเร็วราวลมกรด เขามองเสียจนตะลึงชั่วขณะ
…………………………
ตอนที่ 188 อมตะชั่วนิรันดร์
อีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วมองฮุยหลางสีหน้าหมดสภาพยืนอยู่ตรงประตู เลิกคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้ สองแขนกอดอกเชิดคางขึ้นถาม “มาหาข้ามีอะไรรึ?”
“ข้ามารักษาโรค” เขาฝืนกลั้นแรงกระตุ้นที่อยากจะฆ่าคนไว้ แล้วพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
แต่ว่า น้ำเสียงแข็งกระด้าง รวมถึงจิตมุ่งร้ายนั้น ยังคงเผยถึงความรู้สึกที่แท้จริงที่สุดในใจเขา
“แม้ข้าเป็นภูตหมอ ก็ไม่ใช่ว่าจะรักษาโรคของใครๆ ได้หมดหรอกนะ” เธอเอ่ยอย่างสบายๆ บนใบหน้ายิ้มเยาะยียวน “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าร้ายกาจนักไม่ใช่รึ? ไหนเลยต้องให้ข้ามารักษาโรคให้ด้วย!”
ฮุยหลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จ้องมองหนุ่มน้อยแสนกวนประสาทตรงหน้า กล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า!”
“เฮ้! หยุดก่อนๆ!”
เธอชำเลืองมองเขา บอกว่า “เจ้าอย่าพูดมั่วซั่วนะ! เจ้าอยากเป็นชายขายน้ำเอง ยังมาโทษว่าเป็นความผิดข้าอีก? ช่างไร้เหตุผลเสียจริง”
ขณะพูด มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย พินิจมองเขาหัวจรดเท้า ยิ้มชั่วร้าย “ที่จริงข้าว่าตอนนี้เจ้าก็สบายดีนี่! ถึงอย่างไรเจ้าก็ชอบแบบนี้ ตอนนี้แข็งขึ้นไม่ได้ งั้นเป็นเบี้ยงล่างไปอย่างเชื่องๆ ซะก็สิ้นเรื่อง? ยังต้องพยายามอะไรหรือรักษาอะไรอีกเล่า!”
“เจ้า!”
ฮุยหลางถูกคำกล่าวออกนอกหน้านั้นพูดเสียจนอับอายอย่างมาก กลับไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรกับเขาดี ทำได้เพียงกัดฟัน เอ่ยถามว่า “ต้องทำยังไงกันแน่เจ้าถึงจะช่วยข้า!”
เห็นฮุยหลางตาแดงด้วยความร้อนรน สีหน้าเธอชั่วร้าย บอกว่า “ผู้ชายน่ะ ไม่ต้องแข็งได้เสมอหรอก อ่อนโยนบ้างถึงจะแข็งแรง เจ้าไม่รู้รึ?”
เห็นเขากลั้นใจเสียจนหน้าแดงก่ำ เธอก็ลูบๆ คาง สีหน้าฉุกคิด “ข้ารู้แล้วน่า! ไม่มีปัญหา! โรคเจ้าให้ข้าจัดการเอง ข้ารับรองว่าเจ้าจะพอใจ แต่ว่า เราต้องพูดถึงค่าตอบแทนการรักษาก่อนไม่ใช่รึ?”
เห็นเขาไม่ดึงดัน ฮุยหลางก็แอบโล่งอก ถามว่า “เจ้าต้องการอะไร?”
“ข้าได้ยินหลินเหล่าบอกว่า มีครั้งหนึ่งเจ้าได้รับไข่มุกชั้นเลิศเม็ดใหญ่เท่าไข่ไก่มาสองเม็ดใช่หรือไม่?”
“นั่นเป็นของที่นายท่านมอบให้ข้านะ!” เขาเบิกดวงตาขึ้นมา นั่นเป็นสมบัติของเขา!
ฟังเช่นนี้ เธอก็เลิกคิ้วขึ้น “พูดถึงเพียงนี้ เจ้ายังคิดจะเป็นอมตะชั่วนิรันดร์อยู่อีกรึ?”
พอคำพูดนี้เปล่งออกมา ฮุยหลางก็ท้อแท้ทันใด ถลึงมองหนุ่มน้อยผู้น่ารังเกียจตรงหน้าอย่างร้ายกาจ ก่อนจะหยิบไข่มุกชั้นเลิศขนาดเท่าไข่ไก่สองเม็ดออกจากแหวนมิติบนนิ้วมือมายื่นให้เขา
“รับไปสิ!”
ชั่งน้ำหนักไข่มุกชั้นเลิศทั้งสองเม็ดในมือ เธอก็หรี่สองตาลงยิ้ม หันตัวเดินไปด้านใน พลางบอกว่า “เข้ามาสิ! ถอดเสื้อแล้วไปนั่งบนเก้าอี้ซะ”
ฮุยหลางกลับไม่เอะอะโวยวาย หลังเข้าไปก็ถอดเสื้อนอกออก จากนั้นค่อยนั่งลงบนเก้าอี้
“จิ๊ๆ มองไม่เห็นออก รูปร่างไม่เลวเลย” สายตาเธอมองผ่านกล้ามเนื้อที่แบ่งสรรอย่างชัดเจนบนเรือนร่าง มาถึงด้านหลังเขา แล้วหยิบเข็มเงินทิ่มลงจุดชีพจรตรงเอวไปสองสามเข็ม
“หายแล้วล่ะ”
“นี่ นี่ข้าหายแล้วรึ?” เขางุนงงนิดหน่อย เพิ่งโดนทิ่มไปสองทีก็หายแล้วรึ?
“ทำไม? ไม่เชื่อรึ?”
เธอเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ฉีกปากแย้มยิ้ม “แหะๆ ไม่ต้องร้อนใจ เจ้ากลับไปเถอะ! ตื่นมาพรุ่งนี้เช้ารับประกันว่าเจ้าจะเห็นผลลัพธ์เอง”
ฮุยหลางเวลานี้ มองไม่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายบนใบหน้าเธอ มิเช่นนั้น คงไม่เชื่อคำพูดเธอง่ายดายเช่นนี้
ขณะที่ฮุยหลางสวมเสื้อกลับและผูกผ้าคาดเอวอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จู่ๆ เงาร่างหนึ่งก็เดินเข้ามา แววตาดุเดือดน่าสะพรึงนั้นจับจ้องมาบนร่างราวกับน้ำแข็งเย็นเฉียบ ทำให้ตัวเขาเหมือนถูกปักหลัก ไม่กล้าขยับสักเสี้ยววิ แม้แต่เสียงยังมีความสั่นไหวตื่นตระหนกเพราะแรงกดดันน่าหวาดกลัวอันเย็นเยียบของอีกฝ่าย
“นาย นายท่าน?”
……………………………