เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 219 สังหาร! + ตอนที่ 220 ใบหน้าคืนสภาพ!
ตอนที่ 219 สังหาร!
มีดสั้นแทงลงไป หัวงูจึงเชิดขึ้นร้องขู่ หลังจากร่างมันกระตุกสักพักก็นอนลงบนพื้นไม่ไหวติง ปล่อยให้เลือดนั้นเจิ่งนองอยู่บนพื้น
“ฮู่!”
เฟิ่งจิ่วพ่นลมหายใจเบาๆ ทรุดนั่งลงบนตัวงูด้วยความรู้สึกเหมือนพละกำลังทั่วร่างเหือดหายไป
งูหลามยักษ์ตัวนั้นเป็นสัตว์ร้ายระดับเจ็ด หนังทั้งแข็งแรงและเหนียวแน่น เพราะคิดจะฆ่าในหนึ่งกระบวนท่า หนึ่งมีดนี้จึงแทบใช้กลิ่นอายพลังเร้นลับทั้งหมดถึงจะแทงทะลุหนังงูถึงจุดตายตรงเจ็ดนิ้วหลังหัวได้
การต่อสู้ครั้งนี้ ทำให้เธอรับรู้อย่างชัดเจนถึงความน่ากลัวของพลังผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลัง สามารถฆ่างูหลามยักษ์ระดับเจ็ดตัวนี้ได้ พูดแล้วก็เป็นเพียงความโชคดี หากต่อกรกับผู้แข็งแกร่งระดับหลอมแก่นพลัง เช่นนั้น แม้กระทั่งจะมีชีวิตรอดก็ยังเป็นปัญหาเลย
“ตาย ตายแล้วรึ?”
เพราะเลือดงูหลามยักษ์กระเด็นโดน เจ้าอ้วนทรุดนั่งลงบนพื้น ตอนนี้เห็นมันตายไปจึงตบๆ อกพูดด้วยความขลาดกลัวอย่างอดไม่ได้ “สวรรค์! แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดว่าข้าจะกล้าหาญได้ถึงเพียงนี้ สัตว์ร้ายระดับเจ็ดเลยนะ! นึกไม่ถึงว่าจะวิ่งกลับมาซะแล้ว!”
และเวลานี้ เฟิ่งจิ่วที่พักเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่งก็ล้วงผลึกอสูรเม็ดหนึ่งออกมาจากในท้องงูหลามยักษ์ หยิบมันขึ้นดู เห็นเป็นผลึกอสูรธาตุลมจึงเก็บมาก่อน
สัตว์ร้ายที่ต่างกันจะมีความดุร้ายที่ไม่เหมือนกัน ผลึกก็จะให้ธาตุที่แตกต่างกันสำหรับการฝึกฝนของผู้ฝึกวิชาเซียน และใช้เสริมพลัง ด้วยเหตุนี้มันจึงล้ำค่าอย่างมาก
“เสี่ยวจิ่ว เจ้ารู้ไหมว่าสัตว์ร้ายระดับเจ็ดตัวนี้มีค่าประสบการณ์เท่าไหร่?” เจ้าอ้วนน้ำลายไหล มองงูหลามยักษ์ยาวหกเมตรบนพื้น
“เท่าไหร่?” เฟิ่งจิ่วถาม
“หนึ่งพัน! ทั้งหมดหนึ่งพันเลยนะ! นั่นเป็นสัตว์ร้ายระดับเจ็ดที่เทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลัง ว่ากันว่าด้านในนี้มีงูหลามยักษ์เช่นนี้ตัวเดียว อาจารย์ข้ากำชับไว้เป็นพิเศษ หากพบมันต้องรีบหนีโดยเร็ว นึกไม่ถึงว่าจะถูกเจ้าฆ่าแล้ว” พูดถึงตรงนี้ก็มองเฟิ่งจิ่วด้วยดวงตาฉายประกายนับถือ
เธอส่ายหน้า “ข้าแค่โชคดี เกือบโดนมันรัดตายแล้ว!”
“พวกเราเอางูหลามยักษ์ตัวนี้ออกไปกันเถอะ! เนื้อนี่เป็นเนื้อสัตว์ร้ายระดับเจ็ด บำรุงกำลังผู้ฝึกตนได้ดีมาก ซ้ำหนังงูหลามยังขายได้ราคาสูง ว่ากันว่าสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ฝึกวิชาได้ด้วยนะ”
“ได้”
เธอพยักหน้า เมื่อครู่งูหลามยักษ์ตัวนี้เคลื่อนไหวอึกทึกเสียงดังเพียงนั้น เดาว่าผู้ฝึกตนละแวกนี้น่าจะรู้เรื่องกันแล้ว ให้ดีที่สุดตอนนี้หลังจากเก็บงูหลามยักษ์แล้วต้องรีบออกไป มิเช่นนั้นจะดึงความสนใจจากคนพวกนั้นมา คนโลภอยู่ด้วยกัน ต้องเกิดการต่อสู้อันดุเดือดขึ้นอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่
ดังนั้น หลังจากเฟิ่งจิ่วเก็บงูหลามยักษ์เข้าห้วงมิติ ก้มมองชุดสีแดงเปื้อนเลือดบนร่าง ก็ขมวดคิ้วขึ้น
“ข้ารู้ว่าแถวนี้มีแหล่งน้ำอยู่ที่หนึ่ง ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำ!”
มือใหญ่เจ้าอ้วนถือโอกาสจับบนไหล่เฟิ่งจิ่วด้วยท่าทางสนิทสนม เมื่อสบเข้ากับสายตาเฟิ่งจิ่วที่ถลึงมองมือเขา ก็ดึงมือกลับมาทั้งใบหน้าเหยเกทันใด
“งั้น ข้าจะนำทางอยู่ด้านหน้านะ แหะๆ” เขาหัวเราะแห้งๆ เดินนำทางอยู่ด้านหน้า
ขณะเฟิ่งจิ่วเห็นกางเกงที่ถูกงูหลามยักษ์ฉีกขาดเสียจนเผยให้เห็นส่วนเนื้อขาวๆ ทันใดนั้นก็มุมปากกระตุก หลับตาไม่มอง แอบคิดในใจว่า ‘ช่างดูไม่งามเอาซะเลย’
ในห้วงความคิด จู่ๆ เธอนึกถึงบั้นท้ายที่แน่นกระชับงอนงามยิ่งของเจ้าตำหนักยมราช รวมถึงเรือนร่างทรงเสน่ห์รูปร่างกำยำ แค่ลองคิดดู ใบหูก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา แอบสบถว่า ‘ทำไมนึกถึงเขาได้เล่า?’
เธอในตอนนี้ยังไม่รู้ ตั้งแต่เธอแอบหนีไปเจ้าตำหนักยมราชก็คล้ายจะเป็นไข้ใจ เหม่อลอยเป็นครั้งคราว บางครั้งแม้ฟังข้ารับใช้รายงานเรื่องราวก็ใจลอยพลางผุดยิ้มออกมาโดยไร้เหตุ ทำให้อิ่งอีกับฮุยหลางกังวลใจไม่สิ้นสุด…
………………………………………………….
ตอนที่ 220 ใบหน้าคืนสภาพ!
ในป่าฝึกวิชา เจ้าอ้วนพาเฟิ่งจิ่วมาถึงแหล่งน้ำ อันที่จริงเป็นเพียงลำธารเล็กๆ ที่อุดมสมบูรณ์อยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ใหญ่
“เสี่ยวจิ่ว เป็นที่นี่แหละ พวกเราอาบน้ำตรงนี้ได้ตามสบายแล้วค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้าก็พอ” เจ้าอ้วนพูดจบ ก็เริ่มถอดเสื้อผ้าดูแลตัวเอง
เห็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วหลับตาไม่มอง บอกว่า “งั้นเจ้าอาบตรงนี้เถอะ! ข้าจะไปต้นน้ำ” กล่าวจบก็เดินไปทางต้นน้ำ
เจ้าอ้วนได้ยินแล้วอึ้งไปนิด “เจ้าจะไปต้นน้ำ? เช่นนั้นข้าก็ต้องอาบน้ำที่เจ้าอาบไม่ใช่หรือ?”
“ข้าไม่อาบหรอก แค่ล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า” เฟิ่งจิ่วเอ่ยพลางหันหน้าไปกวาดมองเขา บอกว่า “ไม่ต้องตามมานะ”
“เอ่อ…ได้เลย!”
แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ตามไปอีก กลับไปอาบน้ำตรงริมธารด้วยความรวดเร็ว อย่างไรเสียสถานที่เช่นนี้ก็ไม่ปลอดภัยนัก
เฟิ่งจิ่วสัมผัสดูกลิ่นอายรอบๆ หลังจากเห็นว่าไม่มีใครอื่น ถึงจะถอดชุดแดงที่ชุ่มเลือดเปลี่ยนสวมชุดแห้งใหม่ จากนั้นมายังข้างลำธารเล็กวักน้ำขึ้นล้างหน้า ทำความสะอาดยาทาบนใบหน้า เผยให้เห็นรูปโฉมดั้งเดิม
อาศัยกระจกน้ำที่ใสเสียจนเห็นก้นบึ้ง เธอเห็นใบหน้างามล้ำที่สะท้อนอยู่ในน้ำ ผิวขาวเนียนเปล่งปลั่งมีประกายน่าหลงใหล รอยแผลเป็นพวกนั้นที่เดิมทีอยู่บนใบหน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งหมด สิ่งที่ปรากฏคือใบหน้างดงามที่สมบูรณ์แบบเสียจนทำให้คนแทบขาดใจ
คนในกระจกน้ำยกยิ้มขึ้นบางๆ รอยยิ้มมีความชั่วร้ายสามส่วนกับความซุกซนอีกเจ็ดส่วน เมื่อเสริมด้วยแววตาสงบนิ่งคู่นั้น ทำให้ตัวเธอดูแล้วมีกลิ่นอายสูงศักดิ์ที่แตกต่างจากทุกคน
ตอนแรกแม้ซูรั่วอวิ๋นจะใช้ใบหน้าเฟิ่งชิงเกอ ทว่าสุดท้ายนางก็ไม่ใช่เฟิ่งชิงเกอ ต่อให้ใบหน้าเหมือนกัน ลักษณะท่าทางกับนิสัยก็ไม่เหมือน
ทว่าเฟิ่งจิ่วแตกต่างออกไป ใบหน้านี้เธอมองแล้วไม่รู้สึกถึงความไม่เข้ากันเลยสักนิด เพราะชาติภพก่อน นี่เป็นใบหน้าแต่เดิม เป็นรูปลักษณ์ที่คุ้นเคยเสียจนไม่อาจคุ้นเคยได้อีก
เธอเปลี่ยนมาสวมชุดสีแดงตัวที่แห้ง ล้างหน้า ร่างกายรู้สึกมีชีวิตชีวาเหมือนใหม่ แม้แต่อารมณ์ยังเบิกบานตามไปด้วย
เฟิ่งจิ่วหยิบกระเป๋าเก็บน้ำออกจากห้วงมิติมาเติมน้ำเสียหน่อย ได้ยินเสียงเจ้าอ้วนลอยมาจากด้านหลัง
“เสี่ยวจิ่ว เจ้าเรียบร้อยหรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้ว”
เธอขานรับ เก็บกระเป๋าน้ำเข้าห้วงมิติ ลุกยืนขึ้นแล้วหมุนตัวไปมองเจ้าอ้วน “ไปกันเถอะ!”
หลังจากเจ้าอ้วนเห็นเฟิ่งจิ่วตอนนี้ กลับเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้ สีหน้าตกตะลึง “เจ้า เจ้าคือเสี่ยวจิ่วรึ?” ทำไมพอเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา ก็เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนเลยเล่า?
“ตกตะลึงในความงามของข้าใช่หรือไม่? ฮ่าๆๆ!” เฟิ่งจิ่วหัวเราะร่า มองเขาพลางกล่าวหยอกล้อ “ข้าหล่อเหลางดงามเพียงนี้ เจ้าไม่ต้องอิจฉาหรอก อิจฉาไปก็ไม่ได้อะไร”
ได้ยินคำพูดนี้ เจ้าอ้วนกลับถอนหายใจเบาๆ พลางตบหน้าอก “ข้าตกใจแทบตาย นึกว่าเจ้าเป็นผู้หญิงเสียอีกน่ะ!”
เฟิ่งจิ่วยิ้มร่า ลูบหน้าอย่างหลงตัวเองเล็กน้อย เอ่ยว่า “อืม หลายคนที่เห็นใบหน้าข้าต่างก็พูดกันเช่นนี้”
ว่าจบเธอก็มองเจ้าอ้วน ครุ่นคิดสักพักหนึ่งก่อนถามว่า “ค่าประสบการณ์ข้าครบแล้ว บีบป้ายหยกให้แตกก็ออกไปได้ แล้วเจ้าล่ะ? คิดจะทำยังไง?”
“เจ้า เจ้าจะออกไปจากที่นี่แล้วหรือ?”
“อืม ข้ายังมีธุระอีก อยู่ที่นี่นานนักไม่ได้” เธอพยักหน้าบอก
ได้ฟังเช่นนี้ เจ้าอ้วนคิดสักพัก บอกด้วยสีหน้าจริงจังว่า “งั้นเจ้าออกไปก่อนเถอะ! ค่าประสบการณ์ข้ายังไม่ครบ แม้ด้านในนี้อันตราย แต่ข้าจะหลบไปตลอดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นอุปสรรคบนหนทางการบำเพ็ญเซียนของข้าแน่นอน ข้าต้องเอาชนะมันที่นี่ รอเก็บค่าประสบการณ์ครบค่อยออกไป”
………………………………………………….