เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 471 มึนตึงไม่รู้จักกัน + ตอนที่ 472 ตาเจ้ามองไปตรงไหน
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 471 มึนตึงไม่รู้จักกัน + ตอนที่ 472 ตาเจ้ามองไปตรงไหน
ตอนที่ 471 มึนตึงไม่รู้จักกัน
หลังจากลุกขึ้นอาบน้ำเรียบร้อยก็เปิดประตูเดินออกไป กลับไม่เห็นเหลิ่งซวงอยู่ด้านนอก เรียกไปไม่มีเสียงตอบ จึงไปดูที่เรือนของนางเสียหน่อย กลับเห็นเด็กสาวคนนั้นนอนอยู่บนเตียงโดยไม่ถอดแม้แต่ชุดแนบเนื้อกับรองเท้า
เธอเลิกคิ้วเดินเข้าไปดู จากนั้นค่อยกดลงตรงจุดเหรินจง[1] จึงค่อยเห็นเหลิ่งซวงตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ
“นายท่าน?”
เหลิ่งซวงเห็นนาง เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้จึงผุดลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว “นายท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ?”
“ข้าเหมือนจะไม่เป็นอะไร แต่ทำไมเจ้าถึงถูกทำให้สลบไป ซ้ำยังลงมือรุนแรงเพียงนี้?” หัวเธอคิดย้อนไป คนที่กล้าทำให้เหลิ่งซวงสลบภายในจวนตระกูลเฟิ่งนี้ นอกจากฮุยหลางกับอิ่งอีเดาว่าคงไม่มีใครอื่นอีกแล้ว
“เมื่อคืนพวกเขาสองคนเป็นคนลงมือเจ้าค่ะ” เหลิ่งซวงขมวดคิ้วพูด นึกถึงแผนร้ายของฮุยหลางกับอิ่งอีเมื่อคืน ใบหน้าเล็กที่งดงามเย็นชาก็เย็นเยียบขึ้นราวกับน้ำค้างแข็ง
“เดิมทีจะลองถามเจ้าว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดูท่าทางเจ้ายิ่งไม่รู้กว่าข้าเสียอีก!” เฟิ่งจิ่วถอนใจเบาๆ แล้วโบกๆ มือ “ช่างมันเถอะ ข้าจะไปกินอะไรก่อน จากนั้นค่อยไปดูองครักษ์เสียหน่อย”
เห็นนายท่านหมุนตัวจากไป เหลิ่งซวงกัดฟันกรอด หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยก็สวมชุดสีดำเดินออกมา ไม่ได้ไปหาเรื่องฮุยหลางกับอิ่งอีเพราะพลังกำลังสู้พวกเขาสองคนไม่ได้ หากต้องสู้ก็สู้ไม่ไหวแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นนายท่านกำลังทานอาหารในลานบ้าน นางปริปากเอ่ยว่า “นายท่าน ข้าอยากสั่งสอนฮุยหลางกับอิ่งอี แต่ข้าสู้พวกเขาไม่ได้เจ้าค่ะ”
เฟิ่งจิ่วคีบอาหารขึ้นมากินแล้วซดน้ำแกง หลังจากได้ยินคำพูดนางแววตาฉายประกายเล็กน้อย ในดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ “เรื่องนี้ง่ายมาก ข้ามีวิธีจัดการพวกเขาอยู่” เธอวางชามในมือลง เช็ดๆ มุมปากแล้วหยิบยาขวดหนึ่งออกมาจากในห้วงมิติ
“นี่ แค่ขวดเดียวก็จัดการเรียบร้อย” เธอยิ้มปานจิ้งจอกน้อยเจ้าเล่ห์ บอกว่า “แบบนี้ระบายอารมณ์ได้ดียิ่งกว่าซัดพวกเขาสักชุดอีก”
ได้ยินเช่นนี้ เหลิ่งซวงรับยาขวดนั้นมาดูแล้วเก็บมันไว้ คารวะเสร็จก็เดินไปยังห้องครัว
พวกเขาพำนักในจวนตระกูลเฟิ่ง ในห้องครัวล้วนเป็นคนของจวน คิดจะทำอะไรหน่อยก็สะดวกสบายยิ่งนัก
เห็นเหลิ่งซวงไปห้องครัว เฟิ่งจิ่วเดินออกจากเรือนคิดจะไปดูที่ภูเขาด้านหลังเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าเพิ่งเดินออกมาหนึ่งช่วงถนนก็เห็นร่างหนึ่งเดินมาจากด้านหน้า เห็นเขาแล้วเธออยากแอบหลบไปตามสัญชาตญาณ
และเธอก็ทำตามนั้น คิดจะอาศัยตอนที่เขายังไม่เห็นรีบๆ ไปซ่อนเสีย ไม่คิดว่าเพิ่งหันตัวก้าวออกไปหนึ่งก้าว เสียงนั้นก็ลอยผ่านมา
“อะไรกัน? เมื่อคืนทั้งกอดทั้งลูบข้า วันนี้ตื่นมาก็จะมึนตึงไม่รู้จักกันเสียแล้ว?”
เจ้าตำหนักยมราชแค่นเสียงเย็น เดินเข้ามาด้วยย่างก้าวมั่นคง เมื่อคืนเขาต้องแช่น้ำเย็นคืนหนึ่งเต็มๆ ผิวหนังทั่วร่างเหี่ยวย่นหมดถึงจะสยบไฟนั้นลงได้ หญิงคนนี้หลังจากยั่วให้ไฟเขาลุกโชนกลับไม่รับผิดชอบดับไฟ หากเรื่องเช่นเมื่อคืนเกิดขึ้นอีกสองสามครั้ง เดาว่าตรงนั้นคงอดกลั้นเสียจนเสื่อมสภาพแล้ว
“ฮ่าๆ ท่านเจ้าตำหนัก อรุณสวัสดิ์!”
เธอยิ้มเจื่อนๆ พร้อมหันตัวกลับมาทักทาย กลับประหลาดใจเมื่อพบว่าแม้ชายคนนั้นจะใบหน้าแข็งทื่อ แต่สีหน้าท่าทางไม่เห็นความโกรธเคือง ตรงกันข้ามกลับจนปัญญาเสียมากกว่า เห็นเช่นนี้ในใจจึงรู้สึกแปลกๆ อย่างอดไม่ได้
เพราะเห็นเขา ห้วงความคิดเธอจึงนึกถึงภาพเมื่อคืนอย่างที่อธิบายไม่ได้ ตอนตื่นนอนพอนึกถึงว่าทั้งกอด ทั้งลูบ และพูดจาหยอกล้อกับเขา สุดท้ายยังอาเจียนใส่เขาอีก นั่นก็ทำให้เธอไม่มีหน้าไปพบใครและอยากหาที่มุดเข้าไปซ่อนแล้ว
ครั้งนี้เห็นเขา สายตาเธอกลับเคลื่อนไปใต้เอวเขาทันควัน แววตาเป็นประกาย…
สวรรค์! เป็นไปไม่ได้กระมัง!
………………………………………………….
ตอนที่ 472 ตาเจ้ามองไปตรงไหน?
อืม! คงเป็นไปไม่ได้หรอก! เธอคิดมากไปแน่ๆ
แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่หัวใจกลับร้อนตัวอย่างอธิบายไม่ถูก ศีรษะยิ่งก้มต่ำลงมา แววตาฉายประกายไม่กล้ามองไปยังชายหนุ่มคนนั้น
เจ้าตำหนักยมราชเห็นอากัปกิริยาร้อนตัวนั้น เห็นสองตานางกวาดมองบนร่างเขาแล้วก็เคลื่อนลงไปมองบริเวณใต้ท้อง ร่างกายจึงเกร็งทันควัน ท่ามกลางสายตาเร่าร้อนที่นางจ้องตรงมา บริเวณนั้นมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ตรงนั้น ใบหน้าเขามีความกระอักกระอ่วนผุดขึ้นมา ถลึงตามองสาวน้อยที่ไม่รู้จักอายอย่างโกรธเคือง น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความเขินอายและขุ่นเคืองเปล่งออกจากปาก
“กลางวันแสกๆ ตาเจ้าจ้องไปตรงไหนกัน!”
เฟิ่งจิ่วรีบแหงนหน้ามองฟ้า “ไม่ได้มองตรงไหน แค่เห็นว่าอากาศวันนี้คล้ายจะไม่เลวเลย”
“หึ!”
เขาแค่นเสียงเย็น สูดหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายร่างกายที่ตึงเครียดลง กลิ่นอายหนาวเหน็บภายในร่างโคจรเงียบๆ เมื่อไอเย็นพัดผ่านไปทั่วร่าง เปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นกึ่งกลางใต้ท้องก็สลายไปตามกัน
สายลมเบาพัดผ่านชั่วครู่ มีกลิ่นอายหนาวเย็นเล็กน้อย เฟิ่งจิ่วที่รู้สึกได้มองเขาแวบหนึ่ง นึกได้ว่าพิษเหมันต์พันปีในร่างเขายังไม่ได้รักษา จึงขบคิดสักพักแล้วบอกว่า “เช่นนั้น ท่านเจ้าตำหนัก! พิษเหมันต์ในร่างท่านตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ออกฤทธิ์อีกแล้วใช่หรือไม่? ยาเม็ดที่ฮุยหลางนำไปให้ตอนนั้นได้ผลหรือเปล่า?”
เจ้าตำหนักที่ผ่อนคลายลงแล้วเม้มริมฝีปากบางพลางกวาดมองนาง ก่อนตอบว่า “อืม กินยาเม็ดพวกนั้นของเจ้า ทุกเดือนวันที่สิบห้าจึงไม่ออกอาการอีก”
“เช่นนั้นก็ดี เมื่อไหร่ท่านจะให้เลือดท่านมาสักหนึ่งขวดเล็กเล่า! ข้ามีเวลาจะได้ศึกษามันเสียหน่อย จากนั้นค่อยลองดูว่ามีวิธีรักษาพิษเหมันต์ให้ท่านหรือไม่” เธอเอ่ยอย่างเอาใจอยู่บ้าง อันที่จริงเขาช่วยจวนตระกูลเฟิ่งไว้ครั้งใหญ่ ซ้ำยังมาหาจากที่ห่างไกลเพียงนั้นโดยเฉพาะ เธอรู้เจตนานั้นดี สำหรับพิษเหมันต์พันปีในร่างเขา หากมีวิธีรักษาก็หวังว่าจะช่วยเขาบรรเทาได้
ครั้งนั้นในป่าเก้าหมอบยังเคยเห็นท่าทางเมื่อพิษเหมันต์ของเขากำเริบ ช่างบีบหัวใจจริงๆ แต่น่าเสียดาย ถึงอย่างไรก็เป็นพิษเหมันต์พันปี หากเป็นพิษเหมันต์ทั่วไปคงไม่ต้องลงแรงรักษาเช่นนี้
ได้ยินดังนั้น เจ้าตำหนักก็ไม่พูดอะไร หยิบกริชออกมาปาดข้อมือทันที แล้วหยิบขวดใบเล็กมารองเลือดยื่นให้นาง
เฟิ่งจิ่วเบิกตาอย่างตกตะลึง มองข้อมือที่ยังมีเลือดหยด เปล่งเสียงสบถอย่างอดไม่ได้ “สมองท่านมีปัญหาแล้วกระมัง? ข้าบอกว่าต้องการเลือดหนึ่งขวดเล็กก้ไม่ใช่ว่าต้องการเดี๋ยวนี้! ท่านจะปาดข้อมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงไปทำไม? รังเกียจเลือดมากนักหรือ?”
แม้จะด่าว่า กลับยังคงรับขวดเล็กใบนั้นที่เขายื่นมาให้ แล้วหยิบยากับผ้าพันแผลจากห้วงมิติออกมาทำแผลให้เขาอย่างรวดเร็ว
เจ้าตำหนักก้มหน้ามองสาวน้อยที่กำลังทำแผลให้พลางสอนสั่งไม่หยุดหย่อน ด่าไปกลับอดรู้สึกอบอุ่นใจไม่ได้ ดวงตาดำลึกล้ำคู่นั้นยามนี้ฉายแววอ่อนโยน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นตรงริมฝีปากเขาอย่างที่ไม่อาจสังเกต
“ไม่เป็นไร เลือดนิดเดียวเท่านั้น”
เขาปริปากเอ่ย น้ำเสียงนุ่มนวลผิดปกติ สำหรับเขามันเป็นแค่เลือดเล็กน้อยจริงๆ บาดแผลแค่นี้ปกติล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่ จะพันหรือไม่พันแผลก็ไม่เป็นไร
“เรียบร้อยแล้ว” เฟิ่งจิ่วพูดพลางมองข้อมือเขาอย่างพึงพอใจ แล้วถอยห่างไปหนึ่งก้าว
เมื่อสายตาเจ้าตำหนักเคลื่อนออกจากร่างนาง หยุดลงบนข้อมือที่นางพันแผลให้เรียบร้อย มุมปากกลับกระตุก
ใช้ผ้าพันแผลสีแดงน่ะไม่เท่าไหร่ ผ้าพันแผลนั้นเห็นแล้วก็รู้ว่าฉีกมาจากชุดสีแดงพวกนั้น แต่ทำไมถึงต้องผูกเป็นเงื่อนผีเสื้อเสียใหญ่โต? เด่นชัดเช่นนั้น กลัวคนอื่นไม่เห็นหรือไร?
………………………………………………….
[1] จุดเหรินจง ตำแหน่งระหว่างริมฝีปากบนกับรูจมูก การกดจุดนี้จะช่วยเพิ่มการทำงานของสมอง อัตราการเต้นของหัวใจ การหายใจให้กลับมาเป็นปกติ ใช้กับอาการช็อค หมดสติ โคม่า ลมแดด ชักแบบเฉียบพลัน