เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 611 เฟิ่งจิ่วคนนั้น + ตอนที่ 612 ขอองค์หญิงโปรดชี้แนะให้มาก
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 611 เฟิ่งจิ่วคนนั้น + ตอนที่ 612 ขอองค์หญิงโปรดชี้แนะให้มาก
ตอนที่ 611 เฟิ่งจิ่วคนนั้น
เสียงขานว่าองค์หญิงเสด็จทำให้ทุกคนในท้องพระโรงต่างพากันมองไป องค์หญิงราชวงศ์เฟิ่งหวงถือเป็นบุคคลในตำนาน ตอนแรกโดนสวมรอย ถูกทำร้ายจนเสียโฉมยังกลับมาอีกครั้งเพื่อทวงตัวตนคืนและรับช่วงต่อป้ายประจำตระกูลเฟิ่ง จากนั้นค่อยถอนหมั้นกับมู่หรงอี้เซวียน ยามที่จวนตระกูลเฟิ่งเกิดวิกฤติ นางยังประคับประคองจวนเพียงลำพัง ทำให้กลุ่มอำนาจแต่ละฝ่ายไม่มีใครกล้ามาโจมตี
ยามไปถูกตาต้องใจรัชทายาทแคว้นเหินเวหากลับยังกล้าปฏิเสธไปตรงๆ คนมาบังคับแต่งงานถึงหน้าประตูจวน นางแค่ลงมือก็ทำให้เหล่าทหารแคว้นเหินเวหาพ่ายแพ้ยับเยิน คร่าชีวิตนายพลได้เพียงชั่วอึดใจ และกล้าปล่อยให้เลือดผู้มาระรานสาดหน้าประตูจวน!
จากนั้นปลดมู่หรงป๋อผู้ครองแคว้นคนก่อนลง ผลักดันบิดาขึ้นรับตำแหน่ง เปลี่ยนชื่อแคว้นเป็นราชวงศ์เฟิ่งหวง ไปส่งสินสอดให้ปู่นางถึงตระกูลหลินแคว้นรุ่งเรืองระดับสาม แต่ละอย่างล้วนเทียบไม่ได้กับผู้หญิงทั่วไป
สำหรับองค์หญิงแห่งราชวงศ์เฟิ่งหวง พวกเขาต่างสงสัยอยู่ลึกๆ ในใจ แทนที่จะบอกว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการมาร่วมงานแต่งครั้งใหญ่ของจักรพรรดิหลวงแห่งราชวงศ์เฟิ่งหวง ไม่สู้บอกว่ามาพบหน้าองค์หญิงราชวงศ์เฟิ่งหวงยังดีกว่า
จะพาลูกชายที่พวกเขาคิดว่าโดดเด่นที่สุดมามีเพียงเจตนาเดียว คืออยากจะเห็นองค์หญิงราชวงศ์เฟิ่งหวงเสียหน่อย หลังจากรู้ภูมิหลังค่อยดูว่าจะคุยเรื่องแต่งงานสานสัมพันธ์ได้หรือไม่
ตอนนี้ราชวงศ์เฟิ่งหวงก่อตั้งขึ้น หากองค์หญิงคนนี้เก่งกาจจริงตามคำเล่าลือ พวกเขาก็หวังว่าจะสามารถจองตัวสาวน้อยผู้โดดเด่นคนนี้ไว้ให้โอรสของพวกเขาได้ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่พวกเขาไม่กังวล เรื่องของคนหนุ่มสาวให้พวกเขาจัดการกันเอง ยังคงต้องลองแม้โอกาสจะเลือนราง แต่หากสำเร็จได้จริงเล่า?
แตกต่างจากเสด็จพ่อพวกเขา องค์ชายพวกนั้นที่โดนเฟิ่งจิ่วจัดการ หลังจากได้ยินว่าองค์หญิงเสด็จก็ไปยืนข้างๆ ตามสัญชาตญาณ คิดว่าตนเองยืนอยู่ยังค่อนข้างสะดุดตา ดังนั้นจึงพากันมานั่งลงด้านหลังเสด็จพ่อพวกตน
องค์ชายคนอื่นหลังจากสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของพวกเขาก็แปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนความคิดและมองไปตรงประตู
เห็นแต่สาวน้อยชุดขาวเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเนิบนาบ ข้างกายนางไม่มีคนติดตาม เดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเบาหวิวอย่างไม่หยิ่งผยองไม่ถ่อมตัวและใจเย็น แวบแรกที่เห็นสาวน้อยคนนั้น องค์ชายวัยหนุ่มหลายคนรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าสว่างไสว
ความงามที่น่าตะลึงเช่นนั้นนับเป็นเรื่องหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกลิ่นอายสูงศักดิ์ที่สง่างามไร้คนเทียบเคียงบนร่างนาง กระโปรงขาวพลิ้วไหว เส้นผมสีหมึกสยายอยู่ด้านหลัง วางท่าสง่างามสบายๆ และงดงามไร้ที่ติ
พวกเขาเพียงเห็นว่าใบหน้างามเลิศนั้นดูเย็นชา ริมฝีปากมีรอยยิ้มบางๆ ความลึกลับในดวงตาสดใสยิ่งยกระดับความงามของนางไปอีกขั้น
นั่นไม่ใช่ความงามที่อ่อนโยนนุ่มนวลเฉกเช่นหญิงทั่วไป ไม่ใช่ความงามที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง และยิ่งไม่ใช่ความงามที่ร้อนแรงทรงเสน่ห์
กลางหว่างคิ้วนางมีรัศมีแพรวพราวราวแสงอาทิตย์แผ่กระจาย สีหน้าเจือความเฉื่อยชาไว้รางๆ กิริยาท่าทางมีความใจเย็นและมั่นใจสะท้อนออกมา นั่นเป็นความซุกซนรักอิสระจากในเนื้อแท้ แม้มีท่าทางเกียจคร้านของผู้หญิง ก็ยังมีความสบายๆ ขี้เล่นที่ไม่ด้อยไปกว่าผู้ชาย ช่างทำให้คนเห็นแล้วตกตะลึง เนิ่นนานก็ไม่อาจลืมเลือน…
เฟิ่งจิ่วเดินเข้าท้องพระโรงด้วยฝีเท้าเนิบช้า สายตาเหลือบมองผ่านทุกคนในท้องพระโรงไปตามใจ เมื่อเห็นคนพวกนั้นที่นั่งก้มหัวเล็กน้อยและปิดหน้าปิดตาอยู่ด้านหลังเสด็จพ่อพวกตน ในดวงตาก็ฉายแววยิ้มเยาะ
คนพวกนี้ ไม่นึกเลยว่าจะมาถึงที่นี่ น่าสนใจจริงๆ
เมื่อมาถึงด้านในท้องพระโรง เธอคารวะไปทางบิดาตรงตำแหน่งผู้อาวุโสก่อน จากนั้นถึงจะคารวะไปทางผู้ครองแคว้นแต่ละท่านที่นั่งอยู่ เอ่ยยิ้มๆ ด้วยท่าทางไม่เร่งรีบว่า “ได้ยินตั้งนานแล้วว่าท่านผู้ครองแคว้นทั้งหลายมาเยือน ที่ผ่านมายังไม่เคยมาคารวะ หวังว่าท่านผู้ครองแคว้นทั้งหลายจะไม่ถือสาที่เสียมารยาท”
………………………………………………….
ตอนที่ 612 ขอองค์หญิงโปรดชี้แนะให้มาก
สายตาผู้ครองแคว้นทุกคนพินิจมองบนร่างนางสักพัก รอยยิ้มบนหน้ายิ่งลึกล้ำขึ้น แม้แต่น้ำเสียงยังผ่อนคลายลงบางส่วน ไม่น่าเกรงขามแข็งกร้าวเช่นที่สั่งสอนโอรสพวกตนก่อนหน้านี้
“เหอะๆ ได้ยินมานานว่าองค์หญิงลักษณะท่าทางโดดเด่น วันนี้ได้เห็นถึงจะรู้ว่าข่าวลือยังเล่าไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ!”
“ถูกต้อง อายุสิบหกก็บรรลุถึงระดับบรรพชนนักรบ พรสวรรค์เช่นนี้หายากจริงๆ”
“เทียบกับองค์หญิงแล้ว องค์ชายพวกเรานี้ไม่อยู่ในสายตาเท่าไรเลยจริงๆ”
ผู้ครองแคว้นทุกท่านกล่าวยิ้มๆ ในเวลานี้ที่เห็นเฟิ่งจิ่ว พวกเขาตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจะต้องสานสัมพันธไมตรีกับราชวงศ์เฟิ่งหวง มีสาวน้อยมากพรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นนี้อยู่ อีกทั้งตัวเฟิ่งเซียวเอง ผู้เฒ่าเฟิ่ง และคนตระกูลหลินจากแคว้นรุ่งเรืองระดับสาม แล้วจะมีความสัมพันธ์ไม่ดีกับราชวงศ์เฟิ่งหวงได้อย่างไร?
เมื่อเสด็จพ่อพวกเขากล่าวว่าเฟิ่งจิ่วมีวรยุทธ์ระดับบรรพชนนักรบ องค์ชายแปดคนนั้นที่ก้มหน้าไม่กล้าให้เฟิ่งจิ่วเห็นมาตลอดก็เงยหน้าขึ้นทันที แววตาโกรธเกรี้ยวจ้องเขม็งไปทางสาวน้อยผู้งดงามผ่าเผยอย่างตกตะลึง ในใจขุ่นเคืองไม่สิ้นสุด
นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นบรรพชนนักรบ! นางเป็นบรรพชนนักรบได้อย่างไรกัน?
บรรพชนนักรบคนหนึ่งฝึกซ้อมวิชากับคนที่อยู่แค่ระดับยอดปรมาจารย์นักรบเช่นพวกเขาอย่างไม่เกรงใจ? จะหน้าด้านไร้ยางอายเกินไปแล้ว!
พวกเขาแต่ละคนถลึงตามองสาวน้อยที่ยิ้มแย้มพูดคุยกับเสด็จพ่อพวกเขาด้วยความโกรธเคือง นางในยามนี้ท่าทางงามสง่าไม่ธรรมดา ไหนเลยจะมีท่าทีบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นยามที่ล่อลวงพวกเขาตกหลุมพรางแม้สักนิด?
แค่กระต่ายขาวน้อยที่ภายนอกไร้พิษสง แท้จริงกลับเป็นนางจิ้งจอกหน้ากากหยกแสนเจ้าเล่ห์!
ขณะที่พวกเขากำลังถลึงมองนางอย่างเดือดดาล ก็ได้ยินน้ำเสียงของเสด็จพ่อพวกเขาที่เจือยิ้มเยาะดังขึ้น พวกเขาตกใจจนรีบร้อนเก็บความโกรธบนใบหน้าไป นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อย และหลุบตาเล็กน้อยพร้อมฟังความ
“ลูกข้า ยากนักที่จะมาถึงราชวงศ์เฟิ่งหวง องค์หญิงที่โดดเด่นเช่นนี้ พวกเจ้าต้องคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ และขอองค์หญิงชี้แนะพวกเจ้าให้มากๆ หน่อย”
ได้ยินคำพูดนี้ เหล่าองค์ชายแปดคนนั้นที่หลุบตาลงแต่ละคนแอบกัดฟันกรอดอย่างขุ่นเคือง พวกเขาโดนชี้แนะไปตั้งแต่แรกแล้ว หน้าบวมช้ำเช่นนี้ต้องขอบคุณนางไม่ใช่หรือ?
ทว่าพวกเขากลับไม่กล้าไม่เชื่อฟัง จึงจำใจขานรับว่า “พ่ะย่ะค่ะ พวกเราจะจำคำแนะนำเสด็จพ่อไว้ และจะให้องค์หญิงคอยชี้แนะแน่นอน”
เฟิ่งจิ่วฟังแล้วกลับยิ้ม บอกว่า “ข้าไม่กล้าชี้แนะ หากองค์ชายทั้งหลายไม่ยอมแพ้ ข้าก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะฝึกซ้อมกับพวกท่านให้มากๆ เพคะ”
ครั้นเอ่ยถึงคำว่าฝึกซ้อม แววตาเธอที่ยิ้มแย้มก็หยุดลงบนร่างคนพวกนั้น นัยน์ตายังมีรอยยิ้มซึ่งมีเพียงพวกเขาที่เข้าใจ
“ฮ่าๆๆ ดีๆๆ องค์หญิงเอ่ยเช่นนี้พวกเราก็วางใจ” ผู้ครองแคว้นทุกท่านหัวเราะเสียงดัง สำหรับพวกเขา การฝึกซ้อมกับเฟิ่งจิ่ว หนึ่งคือได้รับการชี้แนะจากนาง สองคือได้กระชับความสัมพันธ์ มีแต่ประโยชน์ไม่มีผลเสีย
หลังจากได้ยินคำพูดนาง มีเพียงองค์ชายแปดคนนั้นที่จับใบหน้าตนเองโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าบาดแผลบนหน้าเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง…
ผ่านไปอีกสักพัก หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไป ภายในท้องพระโรงก็เหลือแค่พ่อลูกสองคน เฟิ่งเซียวยิ้มมองนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คนพวกนั้นขัดใจอะไรเจ้าหรือ? โดนเจ้าซ้อมไปทั้งหน้า จะให้คนไม่สังเกตเห็นพวกเขายังยากเลยจริงๆ!”
เฟิ่งจิ่วยิ้มแย้ม มานั่งลงข้างกายพร้อมเกาะแขนเขา “ตอนข้าเข้าวังพวกเขามาขวางข้าไว้ จะให้ข้าไปดื่มเหล้าชมดอกไม้กับพวกเขา ข้าบอกว่าดื่มเหล้าชมดอกไม้ไม่สนุก พาพวกเขาไปเล่นกันยังสนุกกว่า”
“เช่นนั้นทำไมพวกเขาถึงไม่กล้าแม้แต่จะฟ้องเล่า? เจ้าทำอะไรอีก?” ใครจะรู้จักลูกสาวได้ดีเท่าพ่อ แค่นางเอ่ยออกมา เฟิ่งเซียวก็รู้แล้วว่าคงไม่ธรรมดาเช่นนั้นแน่
………………………………………………….