เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 659 ยาวิญญาณต้นระดับหก + ตอนที่ 660 กลั่นยาเซียนไม่ได้
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 659 ยาวิญญาณต้นระดับหก + ตอนที่ 660 กลั่นยาเซียนไม่ได้
ตอนที่ 659 ยาวิญญาณต้นระดับหก
โม่เฉินมองอสูรเพลิงสองตนนั้นที่วิ่งหนีไปอย่างแปลกใจเช่นกัน ไม่ได้แปลกใจที่พวกมันยังหนีไปได้ แต่แปลกใจกับท่าทางตื่นตกใจของอสูรสองตนนั้นยามที่มองไปยังหนุ่มน้อย
เขามองไปทางเด็กหนุ่มคนนั้น เห็นเด็กหนุ่มเบิกตามองก็กำชับ จากนั้นค่อยจากไป
ผ่านไปอีกประมาณหนึ่งชั่วยาม โม่เฉินจับสัตว์กลับมาอีกสองตัว เมื่อเห็นหนุ่มน้อยนั่งบดนวดยาเม็ดอยู่ในเขตอาคม ก็เรียกไปว่า “เสร็จแล้วมาช่วยที”
เฟิ่งจิ่วเงยหน้ามองเขา นวดโคลนยาส่วนสุดท้ายกลายเป็นเม็ดยาและเก็บไปโดยเร็ว ล้างมือก่อนจะเดินไปหาเขา เห็นว่าสิ่งที่เขานำกลับมาครั้งนี้คือสัตว์วิญญาณระดับเจ็ดสองตัว เธอพินิจมองสัตว์วิญญาณสองตัวนั้นสักพัก ก่อนถามว่า “ข้าต้องช่วยอย่างไร?”
“เก็บสมุนไพรพวกนั้นที่ข้าต้องใช้เสีย ส่วนเลือดกวางคู่ทรัพย์รอถึงเวลาข้าสั่งเจ้าค่อยเก็บ” เขาสั่งโดยไม่เงยหน้า หมุนตัวเดินไปวางเขตอาคมบริเวณไม่ไกล จากนั้นค่อยหยิบเตาปรุงยาจากห้วงมิติมาเริ่มเตรียมยา
เฟิ่งจิ่วเห็นเตาปรุงยาใบนั้นก็อ้าปากค้าง ขะ ขะ เขาจะกลั่นยาเซียน? เขาเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุหรือ
ครั้นนึกถึงความเป็นไปได้นี้ หัวใจเธอตื่นเต้นขึ้นมา ลงมือขอดเกล็ดสีน้ำเงินบนตัวอสรพิษวิญญาณสีน้ำเงินอย่างรวดเร็วโดยทันที แล้วเก็บไขมันใต้ผิวหนังสัตว์สามสี
นักเล่นแร่แปรธาตุเชียวนะ! เธอเข้าสำนักศึกษามายังไม่เห็นนักเล่นแร่แปรธาตุกลั่นยาเซียนเลย ยากนักที่เธอจะพบสักคน อย่างไรเธอก็ต้องดูเสียหน่อยว่าวิธีกลั่นยาเซียนของเขามีอะไรต่างกับเธอบ้าง
ทางด้านนั้น โม่เฉินจุดดวงไฟใจกลางพิภพขึ้นและเปิดเตาเตรียมการ เขาเข้ามาเทือกเขาแห่งนี้ก็เพื่อยาวิญญาณต้นระดับหก ยานี้ต้องใช้ดวงไฟใจกลางพิภพปรุงกลั่น พวกสมุนไพรในนั้นยังต้องผสมทั้งสดใหม่ สำหรับเลือดกวางคู่ทรัพย์จำต้องเก็บเลือดที่ยังอุ่นๆ มากลั่นกับสมุนไพร ด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินทางมายังเทือกเขาหมื่นอสูร
เฟิ่งจิ่วทำตามที่เขาบอก เก็บสมุนไพรที่ใช้ได้จากร่างสัตว์พวกนั้น แล้วมาดูอยู่ด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว เห็นเขาจุดดวงไฟใจกลางพิภพก็แปลกใจในทันที นักเล่นแร่แปรธาตุนอกจากเปลวไฟจากธาตุไฟในร่างยังสามารถจุดดวงไฟใจกลางพิภพมากลั่นยาเซียนได้ด้วย แต่ถึงอย่างไรดวงไฟใจกลางพิภพก็ไม่ใช่เปลวไฟในร่างตนเอง หากควบคุมไม่ถูกต้องแม้เพียงเล็กน้อยเตากลั่นยาเซียนจะเสีย ด้วยเหตุนี้จึงมีน้อยคนนักที่จะใช้ดวงไฟใจกลางพิภพมากลั่นยา
ในเมื่อเขากล้าใช้ก็เห็นได้ชัดว่าเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ความมั่นใจเช่นนี้ เขาคงเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ? หรือบรรพชนนักปรุงยา?
เห็นไฟใต้เตาเขายังลุกโชน หนำซ้ำยังใช้กิ่งหลิวเป็นเชื้อเพลิง เธอมองเสียจนแววตาสั่นไหวเล็กน้อย ตั้งใจดูชายชุดขาวคนนั้นจับข้อนิ้ว พลางเติมสมุนไพรลงในเตาปรุงยา ท่าทางคล่องแคล่วและวิธีกลั่นยาเซียนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนั้นทำให้เธอได้เปิดโลก
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ข้างในเตามีกลิ่นหอมยาลอยออกมาจางๆ กลิ่นหอมยากระจายไปและล่องลอยท่ามกลางป่าไม้ ดึงดูดสัตว์วิญญาณกับสัตว์ร้ายกลุ่มใหญ่มา ทว่าสัตว์พวกนั้นกลับถูกแยกไว้นอกเขตอาคม พยายามจะพุ่งชนแต่ทำลายไม่ได้ ทำได้เพียงเดินวนไปมาและหมอบเฝ้าอยู่นอกเขตอาคม
“เอาเลือดกวางคู่ทรัพย์มา!”
หน้าผากโม่เฉินมีเหงื่อไหล การกลั่นยาเซียนใช้พลังวิญญาณเขาไปไม่น้อย ยามนี้เขาจดจ่ออยู่กับยาเซียนในเตา พร้อมสั่งกับเฟิ่งจิ่วโดยไม่หันกลับมา
“โอ้! ได้”
เฟิ่งจิ่วได้สติและมาข้างหน้ากวางคู่ทรัพย์ที่ล่ามไว้ด้วยความรวดเร็ว ใช้กริชกรีดเปิดแผลเล็กๆ นำเลือดกว่าครึ่งค่อนชามมายังข้างกายเขา เพียงเห็นเขาใช้มือรวบรวมพลัง แล้วเลือดกวางในชามก็ถูกดูดเข้าเตาปรุงยาโดยไม่เหลือสักหยด
เธอถอยไปสองสามก้าว มองเขากำลังทำการกลั่นยาขั้นสุดท้าย ทว่าในเวลานี้เอง เสียงฟ้าร้องพลันดังขึ้นกลางอากาศ เหมือนจะมีสายฟ้าฟาดลงมา…
………………………………………………….
ตอนที่ 660 กลั่นยาเซียนไม่ได้
เฟิ่งจิ่วเงยหน้าอย่างตกตะลึง มองชั้นเมฆหมุนตลบกลางอากาศ เมฆลมกระโชกแรงและเสียงฟ้าร้องแต่ละเสียง จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปทางชายชุดขาวคนนั้นด้วยหัวใจที่ตื่นเต้น
เขากำลังกลั่นยาเซียนระดับห้าขึ้นไป!
สำหรับนักเล่นแร่แปรธาตุแล้ว ตำรายาเซียนเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง แม้ในห้วงมิติจะมีตำรายาเซียนไม่น้อย แต่ตำรายาเซียนทั่วไปส่วนใหญ่มียาเซียนระดับห้าขึ้นไปแค่สองสามอย่าง ยามนี้เธอก็มองไม่ออกว่าที่เขากำลังกลั่นคือยาเซียนชนิดไหน
เดิมเธอนึกว่าชั้นเมฆบนท้องฟ้าปั่นป่วน และเขากำลังกลั่นยาขั้นสุดท้าย ในไม่ช้าสายฟ้าคงจะกระตุ้นการกลั่นขั้นท้ายสุด แต่ไม่คิดว่าผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามเสียงฟ้าร้องจะยังคงเหมือนเดิม เนิ่นนานสายฟ้ากลับไม่ผ่าลงมา
เธอมองอยู่ข้างกันใจยังหวั่นๆ ขึ้นมา ยาทิพย์พวกนั้นที่ใส่ลงเตาไปล้วนเป็นยาทิพย์แสนล้ำค่า หนำซ้ำดูท่าทางเขาจะเตรียมไว้แค่ชุดเดียว หากล้มเหลวล่ะก็…
ชัดเจนว่าเธอไม่ได้กำลังกลั่นยา ยามนี้กลับเคร่งเครียดเป็นกังวลยิ่งกว่าคนกลั่นยา
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ขณะที่โม่เฉินเก็บมือกลับและก้าวถอยไปด้านหลัง สายฟ้าสามสายก็ฟาดลงมาจากฟากฟ้า ผ่าลงบนเตาปรุงยาทันที หลังจากเสียงฟ้าร้องสามครั้งสิ้นสุดลง ทุกอย่างรอบข้างก็เหมือนกลับสู่ความสงบ มีเพียงกลิ่นหอมยาที่อบอวลและส่งกลิ่นหอมกรุ่นกระจายไปในอากาศ…
สำเร็จแล้ว? กลั่นยาเซียนสำเร็จแล้วหรือ?
เธอมองด้วยความตกใจ เห็นเขาสะบัดพลิกฝ่ามือ แล้วยาเซียนในเตาปรุงยาก็ลอยออกมา มีแค่เม็ดเดียว
“นี่มันยาอายุวัฒนะระดับหกนี่!”
เธอร้องอุทาน พลางมองลวดลายบนยาอายุวัฒนะเม็ดนั้นที่มีกลิ่นอายพลังวิญญาณพรั่งพรู จากนั้น…จากนั้นเธอก็แข็งทื่อไป
กลิ่นอายพลังวิญญาณ… ลวดลายเม็ดยา…นะ นี่… เธอลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
พลังวิญญาณ! ตอนนี้เธอมีพลังวิญญาณอยู่ในจุดตันเถียน แต่เธอรวบรวมขึ้นมาไม่ได้! พอฝึกบำเพ็ญรวบรวมพลังวิญญาณเข้าร่าง ก็จะถูกดูดไปหล่อเลี้ยงเม็ดบัวเขียวเม็ดนั้นตรงจุดตันเถียนทันที ไม่มีกลิ่นอายพลังวิญญาณก็ไม่มีทางกลั่นยาเซียนได้เลย!
สวรรค์!
เธอทำผิดพลาดใหญ่หลวงเพียงนี้ได้เช่นไร? ทำไมตอนนี้ถึงเพิ่งนึกได้ว่าตนกลั่นยาเซียนไม่ได้? ตอนนั้นที่กลั่นยาเพิ่มอายุขัยสำเร็จเธอยังไม่ได้กินเม็ดบัวเขียวลงไป ภายหลังจึงฝึกบำเพ็ญเพียงกลิ่นอายพลังเร้นลับมาตลอด ตอนออกจากราชวงศ์เฟิ่งหวงนั่งเรือเหาะก็มีมณีวิญญาณควบคุม
มาถึงที่นี่แม้รู้ว่ากลิ่นอายพลังวิญญาณตนเองต้องใช้หล่อเลี้ยงเม็ดบัวเขียวในท้อง แต่เธอคิดว่าจะเลี้ยงจนเม็ดบัวเขียวเบ่งบานได้กระมัง? หากฝึกบำเพ็ญพลังวิญญาณไม่สำเร็จจึงไม่อาจสร้างรากฐานได้ชั่วคราว ก็ฝึกบำเพ็ญพลังเร้นลับไป ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
ดังนั้นเธอจึงไม่สมัครสำนักพลังวิญญาณและสำนักพลังเร้นลับ ดันวิ่งไปสมัครสำนักยาเซียน กลับลืมไปว่ากลั่นยาเซียนต้องใช้กลิ่นอายพลังวิญญาณด้วย!
มิน่าวันนั้นที่เธอสอบประเมินถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทว่าบอกไม่ถูก วันนั้นอาจารย์สองท่านแค่ถามเรื่องยาทิพย์ ไม่ได้ตรวจวัดพลังวิญญาณเลย!
แย่ละ… ครั้งนี้แย่แล้วจริงๆ…
เธอทำผิดพลาดใหญ่หลวงเช่นนี้ได้อย่างไร? รวบรวมกลิ่นอายพลังวิญญาณไม่ได้ แล้วจะกลั่นยาเซียนเช่นไร? สำนักยาเซียนนี้มีแค่เธอเป็นนักเรียนคนเดียวเสียด้วย หากพวกเขารู้เรื่อง…
นึกถึงข้อนี้ หัวเธอแทบโต
เธอไม่รู้เรื่องเพราะบนร่างไม่ได้ไม่มีกลิ่นอายพลังวิญญาณโดยสิ้นเชิงเลย ถึงอย่างไรตรงจุดตันเถียนในร่างก็มีกลิ่นอายพลังวิญญาณ ฝึกบำเพ็ญมานานเพียงนั้น ต่อให้รวบรวมขึ้นมาไม่ได้บนร่างก็ยังคงมีกลิ่นอายพลังวิญญาณ และข้อนี้เองถึงทำให้อาจารย์ทั้งสองหรือแม้แต่โม่เฉินนึกไม่ถึงว่าเธอจะรวบรวมกลิ่นอายพลังวิญญาณไม่ได้
โม่เฉินเหลือบมองหนุ่มน้อยข้างกาย เห็นเขาร่างกายแข็งทื่อ พลางจ้องยาวิญญาณต้นในมือตนเองด้วยสีหน้าขาวซีด ท่าทางราวกับฟ้าถล่มลงมา เขามองเสียจนแววตาสั่นไหวเล็กน้อย
………………………………………………….