เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 661 ทำไมเป็นเจ้า! + ตอนที่ 662 เฟิ่งจิ่วบาดเจ็บหนัก
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 661 ทำไมเป็นเจ้า! + ตอนที่ 662 เฟิ่งจิ่วบาดเจ็บหนัก
ตอนที่ 661 ทำไมเป็นเจ้า!
“เจ้าเป็นอะไรไป?” ด้วยความตกใจและความสงสัยในใจ โม่เฉินจึงเอ่ยถามไป
เฟิ่งจิ่วสงบสติอารมณ์ มองไปยังคนตรงหน้าพร้อมถอนหายใจ แล้วโบกๆ มือ “ไม่มีอะไรๆ” เรื่องนี้ใครก็ช่วยเธอไม่ได้ ลองคิดหาวิธีด้วยตนเองดีกว่า!
เธอเดินไปข้างๆ แล้วโยนอสรพิษวิญญาณสีน้ำเงินออกไปนอกเขตอาคม ส่วนกวางคู่ทรัพย์หลังจากพันแผลให้แล้วก็ปล่อยไป พวกนี้ล้วนเป็นสัตว์วิญญาณสำหรับปรุงยาจะฆ่าไม่ได้ ภายหลังถึงเวลาต้องใช้จะได้ไม่หาไม่เจอ
โม่เฉินไม่ได้พูดอะไร แค่มองหนุ่มน้อยคนนั้นไปเงียบๆ เห็นเขาปล่อยสัตว์พวกนั้นไป แล้วจ้องมองเหล่าสัตว์ด้านนอกเขตอาคม ทันใดนั้นก็หันกลับมามองเขา
“พวกเราแยกกันตรงนี้! ยาเซียนเจ้ากลั่นสำเร็จแล้ว ข้ายังไม่คิดจะกลับไป เป็นเช่นนี้ก็แล้วกัน!” เฟิ่งจิ่วพูดจบ หลังจากเขย่งปลายเท้ากระโดดขึ้นกิ่งไม้ก็มุ่งหน้าไปยังป่าลึก
เห็นหนุ่มน้อยคนนั้นจากไปทันทีอย่างโดดเดี่ยว เขาแปลกใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตามไป ด้วยพละกำลังที่สังหารราชาอสูรพิภพระดับเจ็ดได้ อยู่ในนี้ขอแค่ระวังเสียหน่อยคงไม่มีปัญหาอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นคือกลั่นยาเซียนสำเร็จแล้ว เขายังต้องกลับไปสั่งคนส่งยานี้กลับ
ดังนั้นขณะสะบัดแขนเสื้อถอนเขตอาคมออก เขาก็กระโดดขึ้นกลางอากาศ และเหยียบขลุ่ยบินโผกลับไป…
เฟิ่งจิ่วพุ่งไปท่ามกลางป่าไม้ ตามร่องรอยอสูรเพลิงสองตนก่อนหน้านี้ไป จนหาที่ปักหลักของอสูรเพลิงพบ จากนั้นวางค่ายกลไว้รอบๆ ทำให้อสูรเพลิงพวกนั้นเดินออกไปไม่ได้ ถึงค่อยโยนเม็ดยาออกไปและเริ่มเก็บสะสมมณีเพลิง
ผ่านไปครึ่งเดือน นอกจากอสูรเพลิงเขาเดียว มณีเพลิงของพวกสัตว์วิญญาณธาตุไฟโดยรอบยังถูกเธอเก็บไปไม่น้อย สัตว์วิญญาณพวกนั้นที่เดิมทีสง่างามสูงส่งและน่าเกรงขามในทุกด้าน หลังจากกลั่นมณีเพลิงไปหลายสิบเม็ดต่างก็ซูบผอมลงไปรอบใหญ่ แต่ละตนแค่เห็นเฟิ่งจิ่วก็วิ่งเลี้ยวหนีแล้ว
ช่วงเย็นวันนี้ พลังงานธาตุไฟบนร่างสัตว์วิญญาณระดับอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งถูกเค้นจนแทบแห้ง จึงนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น
“เอาละ ข้าจะเมตตาเจ้าเสียหน่อย พักผ่อนดีๆ กินให้อ้วนๆ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาอีก” เฟิ่งจิ่วตบๆ หัวอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยัดยารวมพลังให้มันไปเม็ดหนึ่ง ยามจะเตรียมตัวจากไปอย่างพอใจยิ่ง ก็ได้ยินเสียงคำรามสะเทือนหูลอยมาพร้อมกับเสียงตะโกนแจ่มชัดของหญิงสาว
เธอผงะไปเล็กน้อยและไล่ตามเสียงไป เมื่อเห็นเยี่ยจิงที่เคยมีวาสนาได้พบหน้ากันกำลังถูกหมีดำระดับอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งไล่ต้อนอย่างน่าอับอาย ก็อดไม่ได้แปลกใจเล็กน้อย นางหายใจผิดจังหวะเล็กน้อย พลังวิญญาณถูกใช้ไปเสียจนเหลือไม่มาก ซ้ำยังได้รับผลจากกระแสลมที่กรงเล็บหมีดำตัวนั้นตวัดออกมาโดยไม่ทันหลบหลีก จนโซซัดโซเซล้มลงพื้นในสถานการณ์วิกฤต เฟิ่งจิ่วตะโกนเสียงดังพลางพุ่งออกไปทันที
“หยุดนะเสี่ยวเฮย!”
เสียงตะโกนรุนแรงดังขึ้น เมื่อหมีดำตัวนั้นได้ยินก็หดตัวลง อุ้งมือที่กำลังเตรียมจะตบลงไปค้างอยู่กลางอากาศเสียดื้อๆ มันหันกลับไปมองตามเสียง เห็นว่าเป็นมนุษย์คนนั้นดังคาดจึงห่อเหี่ยวลงทันใด จากนั้นเปล่งเสียงคำรามและนั่งหมอบลงบนพื้น
เยี่ยจิงตกใจ นึกว่าตัวเองจะโดนตบจนแบนแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าหลังจากได้ยินเสียงตะโกนลั่น หมีดำตัวนั้นจะไม่ตบอุ้งมือลงมา ในวินาทีเป็นตายนางตกใจเสียจนเหงื่อออกทั่วร่าง รีบร้อนลุกยืนขึ้นจากพื้น ขณะที่กำลังจะบอกขอบคุณคนคนนั้นที่ช่วยชีวิตนาง…
“ทำไมเป็นเจ้า!”
นางอุทานเสียงหลงอย่างตกตะลึง มองหนุ่มน้อยที่หยีตายิ้มเดินมาทางนาง ครั้นนึกถึงการกระทำหื่นกามของคนคนนี้สีหน้าก็ขาวซีดโดยฉับพลัน ก่อนจะก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณพลางจ้องมองเขาอย่างเตรียมรับมือ
………………
ตอนที่ 662 เฟิ่งจิ่วบาดเจ็บหนัก
“เหอะๆ เป็นข้าไม่ได้หรือ”
เฟิ่งจิ่วยิ้มเจื่อนๆ เห็นเยี่ยจิงตั้งท่าป้องกันตัวราวกับเจอหมาป่าก็เกาหัว ยิ้มเอ่ยอย่างเขินอาย “บังเอิญจริงๆ! เจ้าบาดเจ็บหรือ? ข้าจะช่วยเจ้าพันแผลแล้วกัน!”
“จะ เจ้าอย่าเข้ามานะ!” เยี่ยจิงมีสีหน้าซีดเผือด ระหว่างที่เท้าก้าวถอยหลังอย่างซวนเซ ข้อเท้ากลับบิดจนทรุดกลับไปนั่งบนพื้น
“อ๊ะ!” นางร้องเสียงเบาแล้วสูดลมหายใจ มือหนึ่งจับไปตรงข้อเท้า เพียงรู้สึกเจ็บเสียจนเหงื่อออก
เฟิ่งจิ่วเห็นเช่นนี้ก็ส่ายหน้าทันควัน “ดูเจ้าสิ บาดเจ็บหรือเปล่า? ข้าไม่ทำอะไรหรอก เจ้าจะเครียดอะไรเล่า?” เธอเดินเข้าไปนั่งย่อตรงหน้านางท่ามกลางสายตาระแวดระวังและตื่นตระหนก ยื่นมือไปจะดึงชายกระโปรงนางขึ้นเล็กน้อย ก็เห็นนางพลันหดตัวถอยหลังไป
“จะ เจ้าจะทำอะไร!”
เฟิ่งจิ่วทำหน้าใสซื่อ กางสองแขนออกพลางบอกว่า “ข้าแค่จะดูแผลเจ้าเสียหน่อย! กระโปรงเจ้าบังไว้มองไม่เห็น ต้องเลิกขึ้นนิดนึง”
“จะ เจ้าอย่าเข้ามา…” นึกถึงว่าที่นี่ไม่มีคนอื่น และหนุ่มน้อยคนนี้ยังเคยมีเรื่องมาก่อน สีหน้านางขาวซีด อยากประคองตัวลุกยืนขึ้น แต่พอขาอีกข้างออกแรงก็ทรุดลงไปอีก
เฟิ่งจิ่วนั่งย่ออยู่ตรงนั้นมองนางดิ้นไปดิ้นมา แล้วลูบๆ หน้าตัวเองทันที แอบคิดว่า ‘หรือว่าเธอหน้าตาลามก?’
“อ๊ะ!” เยี่ยจิงล้มลงไปอีกครั้ง เหมือนจะทำให้แผลบนข้อเท้านั้นยิ่งแพลงหนักขึ้น หน้าผากจึงมีเหงื่อไหลออกมา
เห็นเช่นนี้เฟิ่งจิ่วถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้าเดินเข้าไปจับขานางไว้ ก่อนจะถอดรองเท้าออกให้
“เจ้าทำอะไรน่ะ! เจ้าคนบ้ากาม! ปล่อยข้านะ! ปล่อย!” เยี่ยจิงร้องอย่างตกใจ ดิ้นรนต่อสู้พลางตบตีหนุ่มน้อยคนนั้นที่ถอดรองเท้านางออก ทั้งอายทั้งโกรธทั้งตกใจ
ขาหญิงสาวจะให้ผู้ชายเห็นได้อย่างไร? เด็กหนุ่มคนนี้ช่างหื่นกามจริงๆ!
เฟิ่งจิ่วเห็นข้อเท้านางบวมหนัก ซ้ำยังเห็นนางดิ้นต่อสู้ไม่หยุด จึงหันหน้าไปกวักมือเรียกหมีดำตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างกันมา “เสี่ยวเฮย มา เข้ามาช่วยกดนางไว้ที อย่าให้นางวุ่นวาย”
“กรร!”
หมีดำตัวใหญ่ที่สูงประมาณสองสามเมตรคำรามเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินเข้ามาอย่างว่าง่ายทีละก้าวๆ สองอุ้งมือใหญ่โตกดเยี่ยจิงลงบนพื้นทันทีไม่ให้นางขยับ
“เบาหน่อยๆ นี่สาวงามนะ อย่าหนักมือจนทำให้นางบาดเจ็บสิ”
เฟิ่งจิ่วเอ่ยปากกล่าวเตือน ไม่มีเจตนาอื่น แค่คิดว่าเยี่ยจิงเป็นสาวงามอ้อนแอ้นน่ารัก เสี่ยวเฮยจะได้ไม่มือหนักกดแรงเกินไปจนนางบาดเจ็บ ทว่าคำเตือนนี้ได้ยินถึงหูคนอื่นก็ไม่ใช่ความหมายเช่นนั้นแล้ว
“มะ ไม่นะ! ปล่อยข้า… รั่วเฟย รั่วเฟยช่วยข้าด้วย…”
ถึงอย่างไรก็เป็นหญิง ถูกหมีดำตัวใหญ่กดให้นอนลงบนพื้นโดยไม่อาจขยับเขยื้อน ตรงจุดที่มองไม่เห็นยังรู้สึกว่ากระโปรงโดนเจ้าบ้ากามคนนั้นเลิกขึ้นมา นางตกใจเสียจนสีหน้าขาวซีดไปหมด น้ำเสียงตื่นตระหนกดังขึ้นพร้อมเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างตกใจกลัว หวังว่าพี่น้องนางจะได้ยินและเข้ามาช่วย
เฟิ่งจิ่วส่ายหน้า ไม่รู้เลยว่าเธอทำตัวเป็นคนดีได้ล้มเหลวถึงเพียงนี้ เดิมคิดว่าเยี่ยจิงคนนี้เคยช่วยเด็กคนนั้นไว้คงมีจิตใจไม่เลว จึงอยากช่วยนางบ้าง ไม่นึกว่านางจะมองว่าเป็นการขโมยเด็ดดอกฟ้า
แต่ว่า… รั่วเฟย? คนที่มาด้วยกันกับเยี่ยจิงหรือ?
ดวงตาเธอฉายประกาย เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วลอบมองไปทางต้นไม้บริเวณไม่ไกลอย่างไร้ร่องรอย เมื่อครู่ตรงนั้นมีกลิ่นอายที่ว้าวุ่นเล็กน้อยปรากฏ ยามนี้เงยหน้าเหลือบมองไปจึงเห็นหญิงคนหนึ่งแอบมองอยู่หลังต้นไม้
หากเธอมองไม่ผิด ผู้หญิงหลังต้นไม้น่าจะเป็นหญิงชุดขาวบนถนนใหญ่วันนั้น
………………………………………………….