เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 711 รู้จักภูตหมอหรือไม่ + ตอนที่ 712 ไปตามเฟิ่งจิ่วมา
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 711 รู้จักภูตหมอหรือไม่ + ตอนที่ 712 ไปตามเฟิ่งจิ่วมา
ตอนที่ 711 รู้จักภูตหมอหรือไม่? + ตอนที่ 712 ไปตามเฟิ่งจิ่วมา
ตอนที่ 711 รู้จักภูตหมอหรือไม่?
คำพูดโม่เฉินทำให้จิตใจทุกคนล้วนหนักอึ้ง ยามเห็นกลิ่นอายความตายที่ปกคลุมบนร่างอาจารย์หลู บรรยากาศทั่วห้องเรียนก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้นเพราะเหตุนี้ แต่ละคนต่างครุ่นคิดโดยไม่ได้พูดอะไร และไม่รู้จะพูดอะไรดี
แม้อาจารย์หลูยังไม่ตาย กลับอยู่ไม่ห่างไกลจากความตายแล้ว กลิ่นอายความตายที่ปรากฏบนร่างเขา ผู้ฝึกวิชาเซียนทุกคนที่นี่ต่างมองออก พลังวิญญาณบนร่างเขาค่อยๆ อ่อนแรง ราวกับเปลวไฟโดนสาดซัดท่ามกลางสายฝน ค่อยๆ เล็กลงทุกที…
โลกนี้มีผู้ฝึกเซียนมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงมีนักเล่นแร่แปรธาตุกับนักปรุงยา แต่กลับมีหมอน้อย ฐานะของหมอในสายตาผู้ฝึกเซียนห่างชั้นจากนักเล่นแร่แปรธาตุกับนักปรุงยาไปไกลโข เพราะหมอส่วนมากได้แต่รักษาคนทั่วไป สำหรับร่างกายผู้ฝึกเซียนปกติจะมีปัญหาน้อยนัก
เพราะเป็นเช่นนี้เอง ในด้านการแพทย์หมอที่มีผลงานและทักษะการแพทย์ทำให้คนเคารพเชื่อถือได้ยิ่งน้อยกว่า ถึงอย่างไรยอดฝีมือการแพทย์ที่แท้จริงก็เห็นได้น้อยนัก อย่างน้อยภายในแคว้นระดับหกพวกเขานี้ก็ไม่น่ามี
“ไม่ทราบว่าพวกท่านเคยได้ยินชื่อภูตหมอหรือไม่?”
จู่ๆ หมอคนหนึ่งก็พูดขึ้น แล้วมองไปทางทุกคน “หากหาภูตหมอพบข้าคิดว่าน่าจะช่วยอาจารย์หลูได้ แต่ภูตหมอคนนี้ที่อยู่ลึกลับ ยากมากที่จะตามหาเขา อีกทั้งยังมีเวลาแค่สามชั่วยาม ต่อให้ตามหาก็สายเกินไป”
เอ่ยถึงสุดท้ายเขายังถอนหายใจ แล้วส่ายหน้าเดินออกไป พูดไปก็เหมือนไม่ได้พูด คิดจะตามภูตหมอมาช่วยชีวิตภายในสามชั่วยาม จะทำได้อย่างไรเล่า?
ตามความคิดเขาเกรงว่าคงช่วยอาจารย์หลูไม่ได้แล้ว หากบาดเจ็บ สำหรับผู้ฝึกเซียนเช่นพวกเขา ในมือยังมีพวกยาอายุวัฒนะกับยาช่วยชีวิตหรือยังช่วยเหลือได้ แต่โรคนี้… เช่นนั้นก็อันตรายถึงชีวิตแล้วจริงๆ
“ชื่อเสียงภูตหมอในแคว้นเหินเวหาบอกได้เลยว่าแทบไม่มีใครไม่รู้จัก ทว่าคนที่เคยพบเขาค่อนข้างน้อย แต่เขามีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับคนตลาดมืด ก่อนหน้านี้เขายังเคยปรากฏตัวในแคว้นเหินเวหา คนตลาดมืดอาจจะรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” รองเจ้าสำนักครุ่นคิด บอกกับรองเจ้าสำนักว่า “เหล่ากวน เจ้าเดินไปที ถือป้ายคำสั่งข้าไปขอให้ตลาดมืดช่วย”
“นี่…ได้หรือขอรับ? กลุ่มอำนาจตลาดมืดแม้แต่พวกเรายังต้องถอยห่าง ข้ากังวลว่าต่อให้พวกเขารู้คงไม่ยอมเปิดเผย”
“ได้ไม่ได้ก็ต้องไป ไปเถอะ! หัวหน้าตลาดมืดมีมิตรภาพกับข้าอยู่บ้าง หากเขารู้ที่อยู่ภูตหมอคงจะช่วยเรื่องนี้” เจ้าสำนักยื่นป้ายคำสั่งไป แล้วสะบัดมือให้สัญญาณเขารีบไป
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะไป” กวนเหล่ารับป้ายแสดงตัวตนของเจ้าสำนักมา ก่อนจะรีบไปยังตลาดมืด
“โม่เฉิน เจ้ามีวิธียื้อชีวิตเขาหรือไม่? แม้วันเดียวหรือสองสามชั่วยามก็ยังดี”
เจ้าสำนักมองอาจารย์หลูที่นอนบนเตียง แล้วถอนหายใจ เอ่ยว่า “เหล่าหลูคนนี้ข้ารับเข้ามาด้วยตนเอง เขาสอนเหล่านักเรียนในสำนักศึกษาหมอกดารามาหลายสิบปี ตลอดมาล้วนเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดและจริงจัง ข้าไม่หวังให้เขาเป็นเช่นนี้จริงๆ…”
“ข้าใช้พลังวิญญาณผนึกพลังชีวิตในร่างเขาไว้ได้ เส้นเลือดและเส้นลมปราณทั่วร่างทุกส่วนจะหยุดไหลเวียน ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพแกล้งตาย แต่ทำได้เพียงประคองไว้สองชั่วยาม ผ่านไปสองชั่วยามเขาจะยังคงเหลือเวลาแค่สามชั่วยาม” โม่เฉินกล่าวอย่างเฉยชา สายตากวาดมองไปบนร่างอาจารย์หลูบนเตียง สำหรับเขาอาจารย์หลูเป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น หากเจ้าสำนักไม่ขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่าเขาคงไม่เอ่ยปากเช่นนี้เป็นแน่
“สองชั่วยาม?” เจ้าสำนักผงะสักพัก เอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “สองชั่วยามก็เป็นเวลา อยู่หรือตายต้องดูที่วาสนาเขาแล้ว”
………………………………………………….
ตอนที่ 712 ไปตามเฟิ่งจิ่วมา
ได้ยินเช่นนี้ โม่เฉินเดินมายังข้างเตียงโดยไม่พูดอะไรมาก แค่ยกมือขึ้นกลิ่นอายพลังวิญญาณที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็พุ่งพล่าน เวลาต่อมาเพียงเห็นเขาผนึกจุดลมปราณสองสามตำแหน่งบนร่างของอาจารย์หลูไว้ด้วยวิธีการอันรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง กลิ่นอายบนร่างอาจารย์หลูหายไปทันที เหมือนตายไปแล้ว ไม่มีแม้แต่ลมหายใจสักนิด
ในสถานการณ์นี้ ทางอาจารย์สองสามคนรอบๆ ที่หัวใจแทบหยุดเต้นกำลังจะเอ่ยปากถาม กลับเห็นคุณชายโม่เฉินสะบัดแขนเสื้อ หันกายเดินออกไปแล้ว ขณะเดียวกันยังทิ้งคำพูดเย็นชาไว้
“ก่อนหน้านั้น อย่าวุ่นวายกับเขา”
ทุกคนมองเขาจากไป เมื่อร่างหายไปจากห้องแนะแนว สายตาแต่ละคนก็มองไปยังเจ้าสำนักโดยทันที เจ้าสำนักเข้าไปดู แววตาเฉียบแหลมสั่นไหวเล็กน้อย พลังวิญญาณผนึกจุดลมปราณบนร่างเขาไว้ นอกจากรู้จุดลมปราณอย่างแม่นยำ ยังต้องมีกลิ่นอายพลังวิญญาณหนาแน่น ลำพังแค่สภาพแกล้งตายสองชั่วยามนี้ต้องเสียพลังวิญญาณไปไม่น้อยเลย
เจ้าสำนักมองอาจารย์หลูที่นอนอยู่บนเตียง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เอ่ยเสียงเนิบว่า “ผู้ฝึกวิชาเซียนได้รับบาดเจ็บไม่เคยกลัว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือป่วยโดยไม่รู้ตัว โรคนี้มาอย่างฉับไวรุนแรงและไร้สัญญาณเตือน จะคร่าชีวิตเขาเมื่อไรก็ได้จริงๆ!”
เจ้าสำนักกล่าวคำพูดนี้ออกมาอย่างปลงอนิจจัง ทว่ายามได้ยินถึงหูอาจารย์หลี่ว์กลับดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า สะท้านถึงในจิตใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องเมื่อสองวันก่อน…
ครั้นนึกถึงภาพนั้นเมื่อสองวันก่อน แล้วหันมองเรื่องวันนี้ อาจารย์หลี่ว์เช็ดๆ เหงื่อที่ไหลตรงหน้าผากอย่างอดไม่ได้ ใบหน้ามีความเหลือเชื่อที่ยากจะปกปิด
“อาจารย์หลี่ว์ เจ้าเป็นอะไรไป?” เจ้าสำนักสังเกตเห็นท่าทีเขาผิดปกติจึงเอ่ยถาม
อาจารย์หลี่ว์ได้ยินเสียงของเจ้าสำนักก็กลืนน้ำลาย มองทางอีกฝ่ายแล้วบอกว่า “จะ เจ้าสำนักขอรับ จะ จู่ๆ ข้าก็นึกเรื่องสำคัญมากขึ้นมาได้”
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องนั้น มะ เมื่อสองวันก่อนไป๋รั่วเฟยคนนั้นใส่ความเฟิ่งจิ่วกับเยี่ยจิง พวกเราจึงเรียกพวกเขาสองคนมาที่ห้องแนะแนว ตอนนั้นอาจารย์หลูชี้ทั้งสองด้วยความเดือดดาล ตอนนั้น ตอนนั้น…”
“ตอนนั้นทำไม?” เจ้าสำนักถามเสียงเข้ม
“อ้อ! เรื่องนี้ข้านึกออกแล้ว ตอนนั้นเฟิ่งจิ่วด่าเขาว่าป่วย” อาจารย์คนหนึ่งพูดขึ้นมา
อีกคนได้ยินก็ส่ายหน้า “ไม่ใช่ๆ ตอนนั้นน้ำเสียงเขาไม่เหมือนด่า แต่เหมือนเป็นการเตือน”
“ใช่ ตอนนั้นพวกเราไม่ได้สังเกต ก่อนหน้านี้ยังนึกไม่ออก แต่เมื่อครู่ท่านเจ้าสำนักเอ่ยถึงข้าจึงจะนึกได้ ตอนนั้นเฟิ่งจิ่วบอกกับอาจารย์หลูว่า ท่านอาจารย์ ท่านป่วย ต้องรักษา” อาจารย์หลี่ว์กล่าวพลางกลืนน้ำลาย เสียงชะงักไป ก่อนกล่าวอีกว่า “ตอนนั้นบรรยากาศวุ่นวายเสียจนไม่ค่อยดี พวกเรานึกว่าเขาพูดด้วยอารมณ์โกรธ แต่ข้าเพิ่งนึกได้ เฟิ่งจิ่วบอกว่าไม่พ้นสามวันต้องล้มป่วยแน่”
เจ้าสำนักได้ยินเช่นนี้ หัวใจก็สั่นสะท้าน ม่านตาหดเล็กลง “เจ้าหมายความว่า สามวันก่อนเขามองออกว่าร่างกายอาจารย์หลูมีปัญหาหรือ?”
“ใช่ขอรับ ข้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ ข้ากำลังคิดว่าในเมื่อเขาเรียนกลั่นยาเซียน น่าจะชำนาญด้านการแพทย์ด้วยหรือไม่?” อาจารย์หลี่ว์ถามพลางมองยังเจ้าสำนัก แต่นึกถึงข้อนี้ในใจกลับคิดว่าเป็นไปไม่ค่อยได้
เฟิ่งจิ่วเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวของสำนักยาเซียน และเป็นนักเรียนระดับสวรรค์ของสำนักพลังวิญญาณ หากมีทักษะการแพทย์ติดตัวอีก หนุ่มน้อยคนนี้ก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
“ตอนนี้เฟิ่งจิ่วอยู่ที่ใด?” เจ้าสำนักถามทันที
“ตอนนี้หากไม่อยู่สำนักพลังวิญญาณก็อยู่สำนักยาเซียนแน่นอนขอรับ” อาจารย์หลี่ว์ขานรับ
เจ้าสำนักได้ยินเช่นนี้ก็โบกมือบอกว่า “ไป ส่งคนไปตามเขามา”
………………………………………………….