เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 719 ได้ประมาณหนึ่ง + ตอนที่ 720 ตื่นมาเช่นนี้
ตอนที่ 719 ได้ประมาณหนึ่ง + ตอนที่ 720 ตื่นมาเช่นนี้
ตอนที่ 719 ได้ประมาณหนึ่ง
เจ้าสำนักได้ยินคำพูดรองเจ้าสำนักก็ถอนหายใจช้าๆ แววตาเฉียบแหลมหยุดลงบนอาศรมนั้น เอ่ยเสียงเนิบว่า “ข้าจะรอตรงนี้”
“รอ?”
รองเจ้าสำนักตกใจ บอกว่า “พวกเรารอได้ แต่อาจารย์หลูรอไม่ได้นะขอรับ! เช่นนี้แล้วกัน! ข้าจะไปเรียกเขาเอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคน หากเป็นเมื่อก่อนก็ไม่เป็นไร แต่ยามนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตอาจารย์คนหนึ่ง รอไม่ได้จริงๆ”
เขากล่าวจบก็ทำท่าจะเดินไป ขณะที่ย่างฝีเท้ากลับถูกเจ้าสำนักตะโกนปรามไว้ “ข้าบอกว่ารอ เช่นนั้นก็รอ! จะมีชีวิตรอดหรือไม่ ต้องดูที่วาสนาอาจารย์หลูแล้ว”
“แต่…”
รองเจ้าสำนักหันกลับมามองเจ้าสำนักที่มีสีหน้าจริงจัง รวมถึงกวนสีหลิ่นที่หลุบตาลงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมต้องรอ?
เจ้าสำนักเห็นเช่นนี้จึงถอนหายใจ “เหล่ากวน! เจ้าเพิ่งบอกว่าเขาเป็นใคร?”
“ภูตหมอขอรับ! เฟิ่งจิ่วคือภูตหมอ!”
เอ่ยถึงตรงนี้ ดวงตาเขาเป็นประกายขึ้นมา ทว่าสิ้นเสียงถึงเหมือนนึกอะไรได้ ท่าทางค่อยๆ เปลี่ยนไปทันใด จากตื่นเต้นเป็นสงบเงียบ ยามนี้เขารู้ความหมายของเจ้าสำนักแล้ว
ใช่ เฟิ่งจิ่วคือภูตหมอ ภูตหมอไม่ใช่คนที่พวกเขาอยากให้ทำอะไรเขาก็ทำ ต่อให้อยู่สำนักศึกษาของพวกเขาแล้วอย่างไร? ตามที่เขารู้มา ภูตหมอมีนิสัยแปลกๆ ทำอะไรตามแต่ใจทุกอย่าง หากเขาไม่ตอบรับและไม่ยอมช่วย เช่นนั้นพวกเขาร้อนใจอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
อยากขอให้เขาช่วยคน เช่นนั้นจะมองเขาเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาไม่ได้ ต้องมองเป็นภูตหมอ และให้ความเคารพตามที่ภูตหมอสมควรมี มิเช่นนั้นเกรงว่าเรื่องนี้คงได้ผลตรงกันข้าม
ยังมีอีกอย่าง ในเมื่อฝ่ายนั้นเข้าสำนักศึกษาของพวกเขา เช่นนั้นก็ย่อมไม่อยากให้ตัวตนภูตหมอถูกเปิดเผย หากพวกเขาเปิดโปงตัวตนนี้ไป น่ากลัวว่า…
คิดถึงตรงนี้ และนึกถึงเสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นตลอดทางเมื่อครู่ ยามนี้เขาเลยอดปาดเหงื่อไม่ได้
เขาเคยเจอนิสัยแปลกๆ ของเฟิ่งจิ่วมาแล้ว เสี่ยงจริงๆ เสี่ยงมาก…
ยามนี้ หลังจากสงบความคิดที่ว้าวุ่นลง เขามองเจ้าสำนักแล้วหยุดสายตาลงบนร่างกวนสีหลิ่นข้างๆ ที่ไม่พูดไม่จา จากนั้นถามด้วยใบหน้าเผยรอยยิ้ม “สีหลิ่นเอ๋ย! เฟิ่งจิ่วนอนอยู่ข้างในหรือ?”
กวนสีหลิ่นได้ยินก็มองเขา พยักหน้ารับ “ขอรับ”
“โอ้ เป็นเช่นนี้เอง! ปกติเขาหลับนานแค่ไหนถึงจะตื่น?” อาจารย์หลูมีเวลาแค่ไม่กี่ชั่วยาม หากปล่อยเฟิ่งจิ่วนอนไปเช่นนี้คง…
“พูดยากขอรับ” เขาส่ายหน้าและไม่เอ่ยปากอีก
“เช่นนั้นก็รอเถอะ!” รองเจ้าสำนักถอนหายใจเบาๆ ยืนอยู่ข้างกายเจ้าสำนัก สายตามองที่อาศรมนั้น
ทุกคนรอบๆ เห็นรองเจ้าสำนักยืนรอตรงนั้นเช่นกัน แต่ละคนก็ตะลึงไปบ้าง มาตามเฟิ่งจิ่วไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักถึงไม่ทำลายเขตอาคมเข้าไปเรียกออกมา?
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
เยี่ยจิงมาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน แต่เมื่อเห็นภาพแปลกๆ นั้น ใจก็สั่นไหวเล็กน้อย สายตาหยุดลงบนอาศรม
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักทางนั้นยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว ผ่านไปสองชั่วยามก็ยังคงไม่ไหวติง ทุกคนเริ่มสับสนวุ่นวาย ต่างพากันพูดคุยเสียงเบา
หักลบเวลาก่อนหน้านี้ไป ตอนนี้เหลือไม่ถึงสองชั่วยามแล้ว แม้แต่รองเจ้าสำนักเอง ยามนี้ในใจยังกังวลอย่างอดไม่ได้ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่หวังว่าเฟิ่งจิ่วจะตื่นมาและออกจากอาศรมโดยเร็ว
กวนสีหลิ่นที่ไม่พูดอะไรมาตลอดเห็นว่าได้ประมาณหนึ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้ถึงมองไปยังรองเจ้าสำนัก กล่าวเสียงเนิบว่า “ท่านรองเจ้าสำนัก ข้ามีเรื่องต้องการให้ท่านช่วย”
………………………………………………….
ตอนที่ 720 ตื่นมาเช่นนี้
ยามนี้รองเจ้าสำนักค่อนข้างวิตก ไม่ได้สนใจเขามาก เพียงถามว่า “เรื่องอะไร? เจ้าว่ามาซิ”
“ข้าขอยืมใช้ป้ายคำสั่งท่านรองเจ้าสำนักได้หรือไม่?” กวนสีหลิ่นมองเขาพลางถาม
รองเจ้าสำนักตกใจ หลังจากมองเขาแวบหนึ่ง สายตาก็มองที่เจ้าสำนัก ครั้นเห็นเจ้าสำนักพยักหน้าถึงค่อยหยิบป้ายคำสั่งออกมาให้เขา พลางถามว่า “เจ้าจะใช้ป้ายคำสั่งทำอะไรหรือ?”
ใบหน้าองอาจของกวนสีหลิ่นที่รับป้ายคำสั่งมาเผยรอยยิ้มในที่สุด เขาไม่ได้ตอบ แต่หลังจากคารวะคนทั้งสองก็เดินออกไปเรียกเยี่ยจิง ก่อนออกไปกันอย่างรวดเร็ว
“เขาคิดจะทำอะไร?” รองเจ้าสำนักมองสองคนที่จากไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“รอเห็นก็รู้เอง”
เจ้าสำนักกล่าวจบก็ดึงสายตากลับไปมองอาศรมที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ข้างในใจทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ เฟิ่งจิ่วคนนี้จะหลับเก่งเกินไปแล้ว
เวลาประมาณครึ่งก้านธูปผ่านไป ทุกคนเห็นกวนสีหลิ่นกับเยี่ยจิงที่ออกไปก่อนหน้านี้กลับมาอีกครั้ง ในมือทั้งสองถือของไว้ ด้านหลังมีนักเรียนสำนักพลังวิญญาณสองสามคนช่วยถือของตามมาด้วย
ท่ามกลางสายตาสงสัยของทุกคน เพียงเห็นกวนสีหลิ่นสั่งให้คนวางเรียงของไว้ตรงเขตอาคมด้านหน้าอาศรม หนึ่งในนั้นตั้งเตาไฟอุ่นแกงโสมไก่วิญญาณไว้
ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากเปิดฝาของอื่นๆ ออก ทุกคนต่างเบิกตากว้างทันที เกี๊ยวเนื้อบางห่อน้ำแกงเอย ไก่วิญญาณย่างอะไรเอย รวมถึงเนื้อหมูวิญญาณหนึ่งขาใหญ่ก็ยังถูกวางย่างไว้บนตะแกรงไฟ ขณะตกตะลึงทุกคนมองเสียจนน้ำลายไหล
“พวกเขาทำอะไรน่ะ หิวเสียแล้วหรือ? นึกไม่ถึงว่าจะไปหยิบอาหารจากครัวมา? นั่นเป็นอาหารที่เตรียมให้พวกอาจารย์ทั้งนั้น ทำไมพวกเขาถึงยกของกินมากมายเพียงนั้นมาที่นี่?”
“ใช่ หนำซ้ำเวลาและสถานการณ์ตอนนี้ กินอาหารตรงนี้จะเหมาะสมจริงๆ หรือ?”
นักเรียนพวกนั้นพากันวิจารณ์ แม้แต่เหล่าอาจารย์ที่ตามมาเห็นแล้วยังขุ่นข้องใจยิ่ง แต่เจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักไม่พูดอะไร จึงเอ่ยปากไม่ได้ เพราะพวกเขาเห็นรองเจ้าสำนักมอบป้ายคำสั่งให้กวนสีหลิ่นไป มิเช่นนั้นเขาคงเข้าห้องครัวไม่ได้
เมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าอาศรม มองชายหนุ่มนามกวนสีหลิ่นวางอาหารรสเลิศที่แผ่ไอร้อนพวกนั้นไว้หน้าเขตอาคม โม่เฉินซึ่งยืนบนภูเขาไม่ไกลแววตาวาบไหวเล็กน้อย ดวงตาฉายแววยิ้ม
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง
ยามนี้เจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักต่างครุ่นคิด ทั้งสองมองกวนสีหลิ่นถือพัดพัดลมเหมือนคิดอะไรอยู่ ยามเห็นเขาส่งกลิ่นหอมที่ลอยมาจากอาหารรสเลิศเข้าไปด้านในเขตอาคม หลังตกใจเล็กน้อยแล้ว ดวงตาก็เป็นประกาย
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง! เขาคิดจะใช้กลิ่นหอมของอาหารปลุกเฟิ่งจิ่วด้านในอาศรม? แต่เช่นนี้จะได้หรือ?
ในใจทั้งสองอดไม่ได้ที่จะสงสัย
ทว่าความสงสัยนี้ ไม่กี่ชั่วอึดใจก็กลายเป็นความตกตะลึงและยินดี
เฟิ่งจิ่วตื่นมาด้วยความหิว เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้านขณะท้องร้องโครกคราก ระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น กลิ่นหอมเนื้อที่เหมือนมีแต่ก็เหมือนไม่มีลอยเข้ามาให้เธอดมกลิ่นสักพัก
“หอมจริง…”
เธอคิดว่ากำลังฝันแน่ๆ เพราะอยู่ในอาศรมนี้หรือแม้แต่ทั้งภูเขานี้ ไม่น่ามีกลิ่นหอมอาหารรสเลิศได้
ดังนั้นเธอจึงพลิกตัว ครั้งนี้หันหน้าไปข้างนอก ดมกลิ่นหอมเนื้อนั้นและหลับไปอย่างอิ่มเอม
ทว่าเมื่อกลิ่นหอมนั้นยิ่งอบอวลทุกที จนเธอถึงกับดมกลิ่นแล้วพูดชื่ออาหารรสเลิศพวกนั้นออกมาได้ เสียงท้องร้องโครกครากยิ่งดังขึ้น
จู่ๆ เธอก็ลืมตา สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วนิ่งเหม่อไป เวลาต่อมา หลังจากพลิกร่างกระโดดขึ้นมาในสภาพผมยุ่งเหยิงสวมเสื้อผ้าลวกๆ ก็พุ่งออกไปข้างนอก
“ใคร! ใครนำอาหารรสเลิศมายั่วใจข้า!”
………………………………………………….