เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 933 เจ้าสำนักให้ข้าเข้ามา + ตอนที่ 934 เมืองหลวงแคว้นฉลองชัย
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 933 เจ้าสำนักให้ข้าเข้ามา + ตอนที่ 934 เมืองหลวงแคว้นฉลองชัย
ตอนที่ 933 เจ้าสำนักให้ข้าเข้ามา + ตอนที่ 934 เมืองหลวงแคว้นฉลองชัย
ตอนที่ 933 เจ้าสำนักให้ข้าเข้ามา
เจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักได้ยินคำพูดน้อยเนื้อต่ำใจของเฟิ่งจิ่ว มุมปากก็กระตุก การมีปฏิสัมพันธ์กันในเวลาสั้นๆ ทำให้พวกเขารู้แล้วว่า เฟิ่งจิ่วคนนี้ไม่ใช่ผู้รับเคราะห์แน่นอน จะถูกคนอื่นรังแกหรือ เอ่ยออกไปเช่นนี้ไม่มีใครเชื่อแน่
เจ้าสำนักชำเลืองมองเหล่านักเรียนทั้งบนและล่างภูเขา ถามอย่างค่อนข้างจนปัญญาว่า “เจ้าทำอะไรพวกเขา?”
ทุกคนที่คันทั้งตัวเสียจนเกาผิวหนังถลอกได้ยินคำพูดนี้ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นฝีมือเฟิ่งจิ่ว ดังนั้นแต่ละคนจึงด่าว่าอย่างเกรี้ยวกราด “เฟิ่งจิ่ว! นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะใช้ยา!”
“เฟิ่งจิ่ว เจ้าช่างต่ำช้า!”
“จะ เจ้าใช้ยากับพวกเขาหรือ?” เจ้าสำนักพูดไม่ออก คนมากมายเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะโปรยยาบางๆ? เขาไปเอายามาจากไหน?
“ไม่เคารพอาจารย์ย่อมต้องสั่งสอน แต่สั่งสอนทีละคนเสียเวลาเกินไป ข้าจะให้พวกเขาคันไปสักสองชั่วยาม วางใจเถอะ ฆ่าใครไม่ได้หรอกขอรับ” เธอยิ้มตาหยีจ้องมองนักเรียนพวกนั้นด้านล่าง
“เอายาแก้มาให้พวกเราเร็ว!”
“นำยาแก้มาให้พวกเราเสีย!”
ได้ยินเช่นนี้ เธอหัวเราะเบาๆ “ขออภัยด้วยจริงๆ สิ่งนี้ไม่มียาแก้ แต่พวกเจ้าไปหาท่านหมอของสำนักศึกษาให้รักษาเสียหน่อยยังได้ แน่นอน หากว่าพวกเขารักษาได้น่ะนะ”
ครั้นได้ยินความมั่นใจในคำพูดเฟิ่งจิ่ว รวมถึงเห็นความจองหองอวดดีกลางใบหน้านั้น เจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักมองหน้ากันทันควัน ห้วงความคิดนึกถึงคำเตือนของรองเจ้าสำนักศึกษาหกดาราพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ยามนั้น เขาบอกว่าไม่ใช่ไม่อยากให้เฟิ่งจิ่วอยู่ต่อ แต่กลัวว่าเก็บเฟิ่งจิ่วไว้ วันหน้าจะสร้างปัญหาใหญ่ให้พวกเขา กลัวว่าจะยิ่งได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมไม่ดีของสำนักศึกษาสองดารา และพวกเขาจะเสียใจภายหลัง
ตอนนั้น พวกเขาแค่คิดว่าเขาไม่อยากปล่อยผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้ไปจึงพูดไปเท่านั้น ทว่าวันนี้เห็นแล้ว พลันมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
“เฟิ่งจิ่ว เจ้า…”
เจ้าสำนักยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็เห็นหนุ่มน้อยที่ยืนบนขนนกบินสะบัดแขนเสื้อ หยีตายิ้ม แล้วถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเดียงสาไร้พิษสง “ท่านเจ้าสำนัก ข้าจะหาอะไรกินสักหน่อย ครัวของสำนักศึกษาสองดาราอยู่ไหนหรือขอรับ”
“ทางนั้น…”
เจ้าสำนักชี้ทิศทางตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อได้ทำและพูดออกไป กลับตกใจโดยฉับพลัน เขากำลังจะเอ่ยปากก็เห็นเฟิ่งจิ่วยกแขนเหยียบขนนกบินพุ่งไปทางห้องครัว ยังไม่ทันได้เอ่ยสักประโยค ได้แต่ค้างอยู่ในลำคอทั้งอย่างนั้น
เจ้าสำนักมองนักเรียนเบื้องล่างที่กำลังตะโกนว่าคัน ก่อนจะถอนใจอย่างจนปัญญา บอกรองเจ้าสำนักข้างกายว่า “เจ้าไปดูพวกนักเรียนหน่อย ให้นักเรียนและอาจารย์จากยอดเขาสำนักยาช่วยพวกเขาตรวจที” กล่าวจบก็ส่ายหน้า หมุนตัวกลับไปก่อน
รองเจ้าสำนักเห็นเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงลงไปดูอาการนักเรียนพวกนั้น…
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วที่มาถึงห้องครัวได้กลิ่นหอมที่กระจายออกมาจากด้านใน ตะกละเสียจนกลืนน้ำลายลงคอ ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกผู้อารักขาสองคนที่เฝ้าห้องครัวขวางไว้
“ห้องครัวเป็นสถานที่สำคัญ ไม่มีกิจเข้าไปไม่ได้!”
“ข้าไม่ได้ไม่มีกิจ ข้าเป็นอาจารย์” เธอหยิบป้ายหยกแสดงฐานะอาจารย์ออกมาโบกเบื้องหน้าคนทั้งสอง ยามเห็นสีหน้าตกตะลึงก็เผยรอยยิ้ม “ท่านเจ้าสำนักให้ข้ามานำอาหารของเขากับรองเจ้าสำนักไป”
“ทำไมอาจารย์ถึงมาเอาได้ ปกติล้วนต้องส่งเข้าไปทั้งนั้น” สองคนถามอย่างสงสัย แต่ป้ายหยกแสดงฐานะอาจารย์นั้นไม่ผิดแน่
“เพราะวันนี้พวกเขาค่อนข้างหิว อยากกินเร็วหน่อย เจ้ารีบเข้าไปบอกเถอะ ข้าไม่เข้าไปแล้ว จะรอตรงนี้” เธอยิ้มเอ่ย ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
………………………………………………….
ตอนที่ 934 เมืองหลวงแคว้นฉลองชัย
สองคนนั้นเห็นเช่นนี้ก็มองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้า คนหนึ่งในนั้นหมุนตัวเดินเข้าไป ไม่นานนักก็ยกกล่องอาหารสองใบออกมา “นี่เป็นของเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนัก”
“ดี ขอบคุณ” เธอหรี่ตาลงยิ้ม แล้วถือกล่องอาหารสองใบหันจากไป
สองคนนั้นเห็นเฟิ่งจิ่วออกไปก็ส่ายหน้า ไม่ได้คิดอะไรมาก เฝ้ายามต่อไปไม่ให้ผู้ไม่มีกิจเข้าใกล้
เฟิ่งจิ่วถือกล่องอาหารสองใบกลับไปอาศรม เพียงเปิดออกดู ดวงตาก็เป็นประกายทันใด “อาหารของเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักช่างดีดังคาด! จิ๊ๆ อาหารในสำนักศึกษาสองดาราไม่เลวเลย ในสำนักศึกษาหกดาราไม่มีใครกินดีเพียงนี้ กลิ่นโสมอบอวลมาก นี่เป็นไก่ดำวิญญาณตุ๋นโสมอายุร้อยปีหรือ เล่ากันว่าไก่ดำวิญญาณเป็นที่สุดในหมู่ไก่ บำรุงร่างกายดีนัก!”
เธอเอ่ยพลางถือช้อนซดน้ำแกงก่อน สุดท้ายก็ม้วนแขนเสื้อเปิดออกกิน ประมาณครึ่งชั่วยาม เธอที่กินอิ่มแล้วเห็นว่ายังเหลืออีกไม่น้อย จึงเก็บไปให้กลืนเมฆากับเหล่าไป๋สัตว์อสูรสองตัวกิน
“ฮู่! อิ่มจริงๆ” เธอลูบๆ ท้อง ออกมาเดินเล่นนอกอาศรม มองท้องฟ้าพลางครุ่นคิด พรุ่งนี้ก็ต้องไป วันนี้ก็ต้องไป ทำไมไม่ไปเสียตอนนี้เล่า? หลังจากตัดสินใจแน่วแน่เฟิ่งจิ่วก็กลับอาศรม พาอสูรกลืนเมฆาไปด้วย อาศัยยามค่ำคืนมุ่งไปด้านนอกสำนักศึกษา…
ส่วนวันนี้ หลังจากเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักสองคนจัดการเรื่องของนักเรียนพวกนั้นเรียบร้อย กลับพบว่าอาหารเย็นวันนี้ยังไม่มาส่ง จึงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ และสั่งให้คนไปเตือน ผลลัพธ์ที่ได้รู้ทำให้ทั้งสองตะลึงเป็นที่สุด
“เจ้าตัวปัญหาเฟิ่งจิ่ว!” เจ้าสำนักถอนหายใจเฮือกใหญ่ ด่าทออย่างทำอะไรไม่ได้
รองเจ้าสำนักข้างๆ กันก็ส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าได้ยินยามเฝ้าประตูรายงาน บอกว่าเฟิ่งจิ่วออกไปแล้วขอรับ”
“ไปได้ก็ดี เจ้าเด็กนี่อยู่ในสำนักศึกษาแล้วสร้างปัญหาเสียจริง เฮ้อ! หวังเพียงว่าเขาจะมีความสามารถพาสี่คนนั้นกลับมาได้จริงๆ เถอะ!”
หลายวันต่อมา ภายในป่าแห่งหนึ่งตรงชานเมืองหลวงแคว้นฉลองชัยซึ่งเป็นหนึ่งในแคว้นระดับสอง
องครักษ์ในวังร้อยกว่าคนที่พกกระบี่ไว้ข้างเอวเฝ้าอยู่รอบๆ ป่าแห่งนี้ไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้ ไม่เพียงเช่นนี้ ภายในป่าแห่งนี้ยังถูกผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณวางเขตหวงห้ามห้ามบินไว้ เด็กหนุ่มชุดสีม่วงคนหนึ่งเชิดหน้าขี่บนสิงโตไฟ สิงโตตัวนั้นเท้าเหยียบเป็นไฟ ทุกก้าวที่เดินเปลวเพลิงจะไหม้จนเป็นรอยเท้าบนพื้น
นั่นคือสิงโตไฟอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด ทั้งตัวสวมเกราะแผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามทรงอำนาจ แต่ขณะถูกหนุ่มน้อยขี่กลับเชื่องราวกับแมว
หนุ่มน้อยคนนั้นถึงแม้มีกลิ่นอายสูงศักดิ์ กลับไม่มีหน้าตาหล่อเหลา เพราะสิ่งที่เขามีคือใบหน้าเด็กน้อยเจ้าเนื้อ ดูคล้ายไม่มีพิษภัย แต่ประกายที่ฉายผ่านในดวงตาเป็นครั้งคราวกลับทำให้คนขวัญหนี
“องค์ชายสิบ นักโทษประหารพวกนั้นถูกส่งเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ชายวัยกลางคนที่ติดตามอยู่ข้างกายกล่าวด้วยความเคารพ เพียงยื่นมือสื่อเป็นนัย กององครักษ์ด้านหลังก็คุมตัวนักโทษประหารสิบคนเดินเข้ามา
หนุ่มน้อยหน้าเด็กจ้องมองพวกเขา ผ่านไปเนิ่นนานถึงบอกว่า “ข้าจะให้โอกาสรอดชีวิตแก่พวกเจ้า”
ทั้งสิบคนได้ยินคำพูดนี้ ใจก็สั่นไหวเล็กน้อย ทว่าไม่ได้พูดอะไร เพียงจ้องหนุ่มน้อยตรงหน้า ตั้งแต่แรกที่พวกเขาถูกขังคุกนักโทษประหาร ก็รู้ว่าตนเองต้องตายแน่ ยามนี้ไม่นึกว่าจะบอกว่ามีโอกาสรอดชีวิต? ไม่ว่าจริงหรือเท็จล้วนทำให้พวกเขาหัวใจเต้นถี่รัวทั้งนั้น
หนุ่มน้อยหน้าเด็กหรี่ตาลง มองท้องฟ้าสักพัก “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ รอถึงเวลานี้ในวันรุ่งขึ้น หากพวกเจ้าไม่โดนข้าหาเจอ ข้าจะสั่งให้คนถอนเขตอาคมที่นี่และปล่อยพวกเจ้าออกไป”
………………………………………………….