A Stay-at-home Dad’s Restaurant In An Alternate World - ตอนที่ 301
Chapter 301 : โกรธมาก!
“อืม?” อลิซาเบธหยุดอยู่ที่หน้าร้านอาหาร เธอหันกลับไปมองข้างหลังเล็กน้อยและมองเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ในพุ่มไม้ เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะละสายตาไปจากร้านอาหาร น้ำแข็งสีน้ำเงินและเกร็ดหิมะปรากฏขึ้นมาใต้ฝ่าเท้าของเธอและเธอก็หายตัวไปในพริบตา
“เธอไปแล้ว?” หลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่งชายในชุดหมีสีดำก็โผล่ขึ้นมาจากพุ่มไม้ดังกล่าว เขามองไปรอบ ๆ พร้อมกับสีหน้ากระวนกระวายก่อนที่จะกระทืบเท้าและหายกลับเข้าไปในความมืด
สุนัขจิ้งจอกกำลังสอดแนมฉัน? อลิซาเบธนั่งอยู่บนกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ กับพุ่มไม้ คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อยอย่างใช้ความคิดเมื่อเธอมองไปที่ร่างที่หายไปในความมืด
ดูเหมือนว่าพ่อจะพูดถูก คนพวกนั้นไม่น่าเชื่อถือ วันนี้ฉันจะไปเที่ยวที่นั่น อลิซาเบธคลึงแหวนบนนิ้วโป้งขวาของเธอเบา ๆ ในขณะที่เธอพึมพำกับตัวเอง เธอมองไปที่ร้านอาหารมามี่ก่อนที่เธอจะหายตัวไปในอากาศ และเหลือเอาไว้แค่รอยน้ำแข็งและเกร็ดหิมะบนกิ่งไม้ต้นนั้น
…
“นายน้อย ข้อมูลของคณะกรรมการดีโว่จากโรงเตี๊ยมดีโว่และคณะกรรมการกู๊ดเนียจากร้านนาฬิกากู๊ดเนียนั้นเป็นความลับมากและเราหาข้อมูลพื้นฐานมาได้แค่ไม่กี่อย่าง แม้ว่าเราจะจ่ายเงินไปมากก็ตาม”
ในห้องที่มืดสลัว มาร์รายงานการค้นพบของเขากับไซริลที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน มาร์แสดงท่าทางน่านับถือแบบเดียวกันกับที่เขาทำเมื่อเขาโต้ตอบกับประธานเจฟฟรี แม้แต่รอยยิ้มที่อ่อนน้อมถ่อมตนของเขาก็เป็นแบบเดียวกัน
ไซริลเคาะไปป์ยาสูบสีแดงกับโต๊ะเบา ๆ พร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่นแล้วพูดว่า “งั้นบอกสิ่งที่นายรู้มา ทั้งคู่เป็นสมาชิกของคณะกรรมการหอการค้าเราและเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองเคออส ใครจะกล้าทำให้หอการค้าของเราขุ่นเคืองด้วยการเอาตัวพวกเขาไปโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้?”
“จากข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้ อนุมานได้ว่าพวกเขาอาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ระดับ 4 และเหตุการณ์ระดับ 3 ในเวลาเดียวกัน” มาร์ตอบด้วยสีหน้าหดหู่ “นายน้อย เหตุการณ์ระดับ 4 ถือว่าเป็นความลับในวิหารสีเทา กระผมขอแนะนำให้เราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
“เหตุการณ์ระดับ 4?” ไซริลทำปากยื่นแล้วทิ้งตัวลงไปบนเก้าอี้หนังด้วยท่าทางเฉยเมย “แล้วไงล่ะ? นายไม่ได้บอกว่าคนจากโรงเตี๊ยมดีโว่และร้านนาฬิกากู๊ดเนียให้เงินกับเรามาแล้วเหรอ? ใช้เงินครึ่งหนึ่งเพื่อติดสินบนคนของวิหารสีเทาและปราสาทเจ้าเมืองซะสิ เราต้องประกันตัวพวกเขาทั้งสองคนออกมาจากคุก ไม่งั้นคนจะคิดว่าหอการค้าของเราอ่อนแอและเราไม่สามารถปกป้องสมาชิกคณะกรรมการของเราได้ ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเราก็แค่ก็มันด้วยเงิน จากนั้นก็ไปเก็บเงินจากทั้งสองร้านนี่”
“แต่…” มาร์ยังรู้สึกกังวลอยู่
“พอแล้ว คืนนี้ฉันมีนัดกับคุณหนูชาแนล ฝากเงินพวกนี้ไว้ในธนาคารบัฟเฟตต์เหมือนเดิม แล้วเอาใบฝากเงินมาให้ฉันด้วย” ไซริลเก็บไปป์ของเขาไว้ในกระเป๋าเสื้อแล้วเดินผิวปากออกจากประตูไป
“เหตุการณ์ระดับ 4 ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว สิ่งต่าง ๆ มีความซับซ้อนมากกว่าที่คุณคิดนะนายน้อย…” มาร์รำพึงรำพันกับตัวเองด้วยสีหน้าจนใจในขณะที่เขายืนอยู่คนเดียวในห้องที่มีแสงไฟสลัว
…
ยาเบะมิยะและแซลลี่รีบกลับไปที่ร้านอาหารและทำงานอย่างคล่องแคล่ว ร้านอาหารกลับสู่ความวุ่นวายแต่ก็มีประสิทธิภาพเช่นเดิม นอกจากประตูและต้นไม้ที่หายไปทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา
ลูกค้าทุกคนได้รับการปลอบใจจากอาหารแสนอร่อยที่พวกเขากำลังกินอยู่ และในขณะที่พวกเขาได้รับความสุขจากการกินพวกเขาก็ลืมความกลัวและความไม่พอใจไปอย่างช้า ๆ
“พ่อคะ พี่สาวฉีฉีกับคุณหมีใหญ่หลับไปแล้วหลังจากที่พี่สาวไอช่าช่วยรักษาพวกเขา อาจารย์เต่าบอกว่าพวกเขาหายดีแล้วและจะฟื้นตัวหลังจากที่ได้นอนหลับสักพัก” เอมี่ที่กำลังอุ้มลูกเป็ดขี้เหร่เอาไว้ในอ้อมแขนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม็กซ์ฟัง รอยยิ้มที่สดใสกลับคืนสู่ใบหน้าเล็ก ๆ ที่น่ารักของเธออีกครั้ง
“พวกหนูทำได้ดีมาก ครั้งนี้พวกหนูทำความดีแล้ว” แม็กซ์พยักหน้าด้วยรอยยิ้มในขณะที่เขามองดูเอมี่และอีกสองคนด้วยความพึงพอใจ แซลลี่ช่วยดรายแอดทั้งสองคนถึงแม้ว่าเธอจะเสี่ยงต่อการเผยตัวตน ยาเบะมิยะค่อนข้างไร้พลังแต่ก็ยังออกไปยืนอยู่ข้างหน้าและเอมี่ก็แสดงความต้องการที่จะช่วยเหลือพวกเขาตลอดเวลา
ทั้งสามคนมีน้ำใจมากและเขาชื่นชมมากที่ได้เห็นแบบนั้น เขาไม่มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือคนอื่นตราบใดที่มันยังอยู่ในความสามารถของพวกเขา
รอยยิ้มร่าเริงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเอมี่และยาเบะมิยะ แซลลี่กำลังทำความสะอาดโต๊ะอาหารแต่เธอก็ยิ้มเล็ก ๆ ราวกับว่าเธอไม่เคยได้รับคำชมมาก่อน
หลังจากที่กินข้าวผมดไปสองถ้วยและกลืนเห็ดหอมชิ้นสุดท้ายลงคอไปโนแวนก็วางชามและตะเกียบของเขาลงด้วยความพึงพอใจและยกย่องว่า “ฉันต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดเท่าที่ฉันเคยกินมา”
“มันพอจะเปลี่ยนโลกได้มั้ย?” ครัสซุเองก็กินข้าวไก่ตุ๋นหมดแล้วเช่นกัน เขาหันไปถามโนแวนด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ถ้าแม้แต่ครอบครัวธรรมดาก็สามารถทำอาหารอร่อย ๆ แบบนี้ได้ แน่นอนว่ามันก็เพียงพอแล้วที่จะปฏิวัติวัฒนธรรมอาหารในทวีปนอร์แลนด์” โนแวนตอบพร้อมกับพยักหน้า
“ถ้าแม้แต่ครอบครัวธรรมดาก็สามารถทำอาหารแบบนี้ได้ พวกเขาคงไม่เรียกเก็บเงินแปดร้อยเหรียญทองแดงต่อจานหรอก” ครัสซูเบ้ปาก
“ดังนั้นถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงโลกนี่ก็ยังไม่มากพอ” โนแวนหัวเราะเบา ๆ
“นั่นไม่ใช่กรณีที่จำเป็น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถทำอาหารแบบเดียวกันได้ แต่การเพิ่มรสชาติของอาหารจานปกตินั้นเป็นสิ่งที่หลายคนควรจะลอง” ครัสซูเสนอความเห็นตรงกันข้ามในขณะที่เขาชี้ไปที่ชามตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม “นี่คือตัวกำหนดทิศทาง การเปลี่ยนแปลงโลกไม่สามารถตกอยู่บนบ่าของคน ๆ เดียวได้ แต่บางทีเขาอาจจะชี้ทางที่ถูกต้องได้”
โนแวนเงียบไปเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ดวงตาของเขานั้นเป็นประกายและเป็นประกายมากยิ่งขึ้นเมื่อเขามองไปที่ชาม ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและรีบเดินไปที่ประตูพร้อมกับพูดว่า “ฉันมีบางสิ่งที่สำคัญต้องไปทำ ขอบคุณที่เลี้ยงนะ ฉันมีความสุขกับอาหารมื้อนี้มาก”
“เฮ้ นายยังไม่ได้กินพุดดิ้งเต้าหู้ของนายเลย” ครัสซูยื่นมือไปหาโนแวนแต่เขากลับเดินออกจากประตูไปแล้ว เขามองดูพุดดิ้งเต้าหู้ที่ไม่มีใครแตะต้องตรงหน้าเขาและยักไหล่เมื่อเขาตักพุดดิ้งเต้าหู้หวานของเขาเข้าปาก “พุดดิ้งเต้าหู้แบบคาวไม่มีทางอร่อยอยู่แล้ว เพราะงั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ที่ไม่ได้กินมัน”
หลาย ๆ คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอื่นต่างก็หันมามองที่ถ้วยพุดดิ้งเต้าหู้บนโต๊ะของเขา พวกเขาอยากจะเอามันไปกิน แต่ก็ไม่มีใครกล้าขอครัสซู
“อาจารย์เคราครึ่งคะ หนูไม่สามารถเอาชนะหมาตัวใหญ่พวกนั้นได้ใช่มั้ย? หนูโกรธมาก!” เอมี่ปีนขึ้นมาบนโต๊ะของครัสซูและมองเขาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง