A Wizard’s Secret ความลับของพ่อมด - ตอนที่ 73
เมอร์ลินได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืด ทันทีที่เขาตื่นเขารู้สึกได้ถึงความเหนียวเหนอะหนะทั่วร่างกายและดูเหมือนจะส่งกลิ่นแรงออกมาจากตัวเขา
“เหงื่อแตกอีกแล้วเหรอ?”
ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูหนาวที่ลมหนาวได้พัดโชยหิมะไปมา ด้วยสภาพอากาศเช่นนี้ไม่น่าจะทำให้ใครเหงื่อออกได้
เมอร์ลินได้กางมือออก รอยยิ้มค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้รู้สึกมาสักพักแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาได้บรรลุกระบวนท่าของประติมากรรมนูนไปแล้วแม้เขาจะฝึกฝนเท่าไหร่เหงื่อมันก็ไม่ออกมาในตอนเช้า
แต่พวกเขาฝึกรูปแกะสลักที่ได้รับมา มันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อตัวเขาทันที หากเขาหมั่นเพียรฝึกฝนต่อไปเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมแน่นอน
จากนั้นเมอร์ลินก็สั่งให้สาวใช้เตรียมอ่างน้ำร้อนให้เขา เขาได้ล้างตัวให้สะอาด ก่อนจะแต่งตัวออกไปข้างนอก
*ฟิ้ววว*
ลมหนาวไปพัดผ่าน บนพื้นได้มี่ชั้นน้ำแข็งบาง ๆ หากเดินอย่างไม่ระวังอาจทำให้ลื่นลั้มได้
*ตึง! ตึง! ตึง!*
“ฮ่า!!!”
เมอร์ลินได้หันไปมองทางต้นเสียง เขาเดินไปข้างหน้าและพบกับลานกว้าง เขาเห็นเลห์แมนสวมชุดเกราะสีดำและถือดาบใหญ่ ตัวดาบได้ส่องประกายเพลิงที่น่ากลัวออกมา
ตอนนี้เลห์แมนกำลังฝึกดาบของเขา ตอนนี้เขามาถึงจุดสูงสุดของนักดาบเพลิงระดับสองแล้ว เขาต้องการพลังอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็จะทำเขาก้าวสู่นักดาบธาตุระดับสาม
เมอร์ลินหรี่ตามองร่างกายของเลห์แมน เขาเห็นกล้ามเนื้อที่บวมปูดราวกับลูกโป่ง มันเกือบจะทำให้ชุดเกราะปริแตกออกมา
*ฉัวะ*
เลห์แมนหวดไปข้างหน้าอย่างรุนแรง เมอร์ลินได้ยินเสียงหวีดดังขึ้นมาอย่างชัดเจน ตัวเขาใช้เพียงพลังกายล้วน ๆ แทบจะไม่ได้อาศัยพลังธาตุเลย
“ท่านพ่อแข็งแกร่งขึ้นมาก…” เมอร์ลินพึมพำเบา ๆ เมื่อเขาเห็นว่าเลห์แมนหยุดพักชั่วคราว เขาจึงเดินไปข้างหน้า
“เมอร์ลินกระบวนท่าทั้งสามที่ลูกมอบให้มา มันช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ พ่อเพิ่มฝึกได้ไม่นานแต่กลับรู้สึกได้ถึงพลังกายที่เพิ่มขึ้นถึงสองเท่า! แม้ว่าพ่อจะไม่ใช้พลังธาตุเลยก็สามารถสู้กับนักดาบธาตุระดับสามได้อย่างสบาย ๆ”
เมอร์ลินได้มองเลห์แมนอย่างเงียบ ๆ เขารู้สึกได้ถึงออร่าที่แพร่ออกมาจากเลห์แมนได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
เขารู้สึกประหลาดใจที่ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นสองเท่า ตัวเขาทีฝึกฝนในระยะเวลาที่พอ ๆ กับเลห์แมนแต่ความคืบหน้ายังไม่เท่าเขาเลย
‘บางทีคุณสมบัติทางร่างกายของท่านพ่อนั้นดีเยี่ยมอยู่แล้ว ยิ่งคุณสมบัติดีมากเท่าไหร่ประสิทธิภาพในการฝึกก็จะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น’
ด้วยพัฒนาการที่ก้าวกระโดดเช่นนี้ อาจทำให้เลห์มีความแข็งแกร่งเทียบเท่านักดาบธาตุระดับสี่ในไม่ช้า
ผ่านไปสักพักแพรตต์ก็ได้เดินเข้ามารายงานให้เลห์แมนฟังว่า
“ท่านบารอนตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้วครับ เราสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”
เลห์แมนพยักหน้าและพูดกับเมอร์ลินว่า “เรารีบออกเดินทางกันเถอะ ยิ่งพวกเราไปถึงเมืองปรากาซไว้เท่าไหร่ พวกเขาก็จะสามารถปักหลักได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น”
จากนั้นเมอร์ลินก็กลับไปที่ปราสาทของเคานท์โฟแมนเพื่อไปอำลาเขา
เคานท์โฟแมนได้นำบัตรประจำตัวกับจดหมายให้เมอร์ลิน
ด้วยบัตรประจำตัวอันนี้ มันจะช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดในระกว่างการเดินทางของพวกเขา
หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อย เมอร์ลินก็ออกจากปราสาทและเดินทางไปกับกองอัศวิน กำลังพลขนาดใหญ่ได้ค่อย ๆ หายลับจากป้อมปราการเรเวนอย่างช้า ๆ…
ผ่านไปสามพวกเขาก็มาถึงเมือง ๆ หนึ่ง กำแพงเมือนดูโบราณมาก อิฐบางส่วนสึกกร่อนอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่สายลมพัดเศษซากก็พลิ้วลอยไปตามสายลม
“ทะที่นี่คือเมืองปรากาซงั้นเหรอ?”
เมอร์ลินเงยหน้ามองข้อความบนผนัง คำเหล่านี้ถูกเขียนด้วยภาษามอลต้า ที่พวกเขาใช้ภาษามอลต้าก็เพราะว่าอาณาจักรแบล็กมูนอ้างว่าพวกเขาได้รับสืบเชื้อสายมาจากจักรวรรดิมอลต้าเมื่อ 3600ปีก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงสืบสานวัฒนธรรมและใช้ภาษามอลต้าเป็นภาษาของพวกเขาเอง
อย่างไรก็ตามจักรวรรดิมอลต้าได้สูญสลายไปเมื่อ 3600ปีก่อนและอาณาจักรแบล็กมูนได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 800ปีก่อน ด้วยระยะเวลาที่ห่างแบบนี้ มันไม่น่าจะเป็นการสืบเชื้อสายจากมอลต้าแต่เป็นการอวดอ้างเอาเองซะมากกว่า
“ในที่สุดพวกเราก็มาถึง…”
เลห์แมน บารอนเพอร์แมนและคนอื่น ๆ ได้แสดงสีหน้าที่สดใสขึ้นมา พวกเขาผ่านการเดินทางที่โหดร้าย พวกเขาต้องหนีออกมาจากอาณาจักรแห่งแสง ตลอดการเดินทางพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหวาดระแวงตลอดเวลา หลังจากที่พวกเขาก้าวผ่านการเดินที่ยากลำบากนั้น ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมายแล้ว
หากทุกอย่างเป็นไปราบรื่น เมืองปรากาซแห่งนี้จะเป็นบ้านใหม่ของตระกูลวิลสันและเพอร์แมน
ขบวนเดินทางได้เคลื่อนกำลังพลมาอย่างช้า ๆ จนถึงหน้าประตูเมือง เมื่อมาถึงทหารยามที่มีหน้าตาดุร้ายสองสามคน พวกเขาได้เดินทางมาและพูดกับเลห์แมนว่า
“พวกเราได้รับคำสั่งมาจากท่านเคานต์เซลินให้ปิดประตูเมือง หากไม่มีบัตรประจำตัวก็ไม่สามารถเข้ามาในเมืองปรากาซได้”
“เกิดอะไรขึ้น เมื่อวานยังเข้าไปปกติเลยนี่”
“ฉันพอจะได้ยินมาว่ามีภายในเมืองได้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น”
เหล่าพ่อค้ากับผู้คนหลายคนต่างสงสันกับคำสั่งที่ประกาศมานี้ โดยปกติประตูเมืองจะตลอดและสามารถเข้าเมืองได้ตลอดเวลา
แต่วันนี้กลับปิดตายโดยไม่บอกกล่าวแลัวยังต้องใช้บัตรประจำตัวถึงจะเข้าเมืองได้
พวกเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาจะไปมีของพรรค์นั้นได้อย่างไร เนื่องจากบัตรประจำตัวเป็นสิ่งที่พวกขุนนางและกิลด์พ่อค้าขนาดใหญ่ถึงจะมีกัน
ทางด้านเลห์แมนตัวเขาอยู่ที่หน้าประตูเช่นกัน เขาส่งสัญญาณให้กองอัศวินหยุด จากนั้นเขาก็พูดกับแพรตต์ว่า
“พาตัวเมอร์ลินมาที่นี่”
จากนั้นไม่นานเมอร์ลินก็มาที่ประตูเมือง เมื่อเขาได้เห็นการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา มันทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้
“ท่านพ่อไม่ต้องกังวลไปเคานต์โฟแมนได้มอบบัตรประจำตัวมาให้ผม เดี๋ยวผมจะคุยกับพวกเขาเอง”
จากเมร์ลินเดินไปหาทหารยามและหยิบบัตรประจำตัวออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
ทหารยามได้ตรวจสอบบัตรประจำตัว เขาก็ถามขึ้นมาอย่างสงสัย “นี่มันบัตรประจำตัวของป้อมปรการเรเวน ทำไมพวกท่านถึงมากันที่ปรากาซแห่งนี้”
“พอดี พวกเราได้รับการแนะนำจากเคานต์โฟแมน ผมได้รับมากับมือ มันจึงเป็นของแท้แน่นอน”
เมื่อทหารยามได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเคานต์โฟแมน เขาจึงตรวจสอบให้ละเอียดอีกรอบ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาจึงยื่นบัตรคืนให้เมอร์ลินและพูดเบา ๆ ว่า
“นี่เป็นคำสั่งของเคานต์เซลิน เราจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นี่บัตรของคุณ ตอนนี้บัตรได้รับการยืนยันแล้ว คุณสามารถเขาไปในเมืองได้”
ทหารยามได้โบกมือส่งสัญญาณ จากนั้นประตูก็ค่อย ๆ เปิดออก เลห์แมนได้นำหน้าเข้าไปพร้อมกับขบวนอัศวินอย่างช้า ๆ
ตอนนี้เลห์แมนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากแต่ผิดกับเมอร์ลิน ตัวเขารู้สึกกังวลเล็กน้อย เขามองกลับไปที่ประตูและพึมพำออกมาเบา ๆ
“รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร่แฮะ หวังว่าปัญหาของเคานต์เซลินจะไม่ร้ายแรงกว่าที่ฉันคาดคิดไว้นะ”