Advent of the Archmage - 464: ปีศาจอาเบล
Chapter
“เจ้าโง่!ไอ้คนเสียสติ! แกมันคนใจโหด!”
แอนโทนี่เดินไปทางหนามแห่งสวรรค์ด้วยการก้าวยาวๆเขาใช้ขาเทียมเวทมนตร์อยู่, และการเดินของเขาก็ไม่มั่นคงเอาซะเลย ด้วยความที่เดินเร็วเกินไป, เขาจึงสะดุดล้ม ในตอนนั้นเขารีบใช้มือแห่งนักเวทย์พยุ่งร่างของตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองล้มลงกับพื้น
พอแอนโทนี่รักษาสมดุลของตัวเองได้,เขาก็เดินไปข้างหน้าต่อ, และด้วยความรีบร้อน, ในที่สุดเขาก็มาถึงหนามแห่งสวรรค์ พอเข้าไปในหอคอยเวทมนตร์, เขาก็เข้าไปนั่งที่ห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่เขาก็ถอนหายใจออกมา, แล้วจากนั้นก็นั่งอยู่คนเดียวเงียบๆเป็นเวลาพักใหญ่ๆ
เขาเกลียดความจริงที่ว่าถึงแม้ในที่สุดอาณาจักรจะกลับมาตั้งตัวได้แล้ว,แต่เขาก็ต้องจัดการกับจอมเผด็จการผู้ไม่รู้จักผิดและปัญหาอีกเป็นกระบุง นอกจากนี้, ตัวเขาเองก็ไม่มีพลังที่จัดการเรื่องพวกนี้เลยซักนิด
ในขณะที่แอนโทนี่กำลังเดือดดาล,ก็มีเสียงอันอ่อนโยนเข้ามาพูดกับเขา “มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ, ผู้อาวุโส?”
“จะอะไรอีกหล่ะ?ก็ไอ้คนเสียสติอาเบลนั่นไง…เดี๋ยวนะ, เจ้าคือ…ลิงค์, ไหงเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้หล่ะเนี่ย?” แอนโทนี่หยุดพูดไปชั่วขณะนึง, ในตอนที่สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเพื่อดูให้ดีว่าใครเป็นเจ้าของเสียง, และในที่สุดเขาก็มั่นใจว่าเสียงนั้นเป็นของศิษย์เก่าของเขา, ลิงค์, ที่ยืนอยู่ข้างๆเอร์เรร่า
ทั้งสองคนนี้คือความภาคภูมิใจของสถาบันเวทมนตร์อีสโควฟเอร์เรร่าเป็นนักเวทย์เลเวล 8, ซึ่งตอนนี้มีทักษะการใช้เวทมนตร์สูสีกับเขา, ในขณะเดียวกันความสามารถทางด้านเวทมนตร์ของลิงค์เองก็ไปถึงระดับตำนานแล้ว พอเห็นพวกเขา, แอนโทนี่ก็สามารถผ่อนคลายได้เล็กน้อย
“มานั่งสิ,อย่ายืนให้เมื่อยเลย” เขาพูดกับทั้งคู่
ลิงค์กับเอร์เรร่าจับจองที่นั่งของตัวเอง,แล้วจากนั้นลิงค์ก็ถามขึ้น “ท่านกำลังพูดถึงดยุคอาเบลจากป้อมโอริด้าอยู่ใช่ไหม?”
สีหน้าของแอนโทนี่สลดในตอนที่ได้ยินชื่อนี้เขาพยักหน้า “ข้าไม่รู้จักอาเบลคนอื่นหรอกนะ แล้วเจ้ารู้รึเปล่าว่าเขาทำอะไร?”
ลิงค์กับเอร์เรร่ามองหน้ากันจากนั้นก็รอฟังคำตอบจากผู้อาวุโส
ด้วยการสูดหายใจเข้าลึกๆ,รอยย่นบนใบหน้าของแอนโทนี่ก็ย่นหนักกว่าเดิม น้ำเสียงของเขากระแทกกระทั้นอย่างเห็นได้ชัดในตอนที่พูด “อาเบลส่งนักรบ 5,000 คนไปควบคุมสถานการณ์ที่เมืองการาซอนทางตอนเหนือ, จุดกำเนิดของการแพร่ระบาดที่พวกเจ้าทั้งคู่น่าจะรู้กันแล้ว สถานการณ์รุนแรงขึ้น, ตอนนี้ผู้ติดเชื้อได้กระจายไปนอกเมืองชายแดนแล้ว แผนของพวกเราคือกักตัวผู้ติดเชื้อเอาไว้, จากนั้นก็จะพยายามหาทางรักษาโดยการเก็บตัวอย่างจากพวกเขา, แต่ว่าอาเบลมองว่าคนพวกนี้มีมลทินและฆ่าผู้ติดเชื้อทุกคนตายคาที่เลย มีคนอย่างน้อย 30,000 คนในเมืองการาซอน, มีเกือบครึ่งที่แสดงอาการของโรคออกมา, ส่วนคนที่เหลือยังมีสติดีอยู่, แต่ถึงอย่างนั้นอาเบลกลับกวาดล้างพวกเขาทุกคน เขาถึงกับสั่งเผาเมืองและรื้อถอนทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองด้วย และในท้ายที่สุด, ก็มีแค่ประมาณ 800 คนที่รอดชีวิตจากไอ้ชั่วใจโหดนั่น!”
ในตอนที่เขาพูดจบ,เอร์เรร่าก็ถามขึ้น “อาจารย์, แล้วควบคุมการแพร่ระบาดได้รึยังคะ?”
“ได้แล้ว,สำหรับตอนนี้นะ, ดูเหมือนว่าจะไม่มีคดีผู้ติดเชื้อใหม่ๆเกิดขึ้นเลย, ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องดีเพียงเรื่องเดียวที่มาจากฝันร้ายนี้ แต่เลือดของข้ายังครุกรุ่นอยู่เลยพอคิดถึงสิ่งที่อาเบลทำ เขาเสพติดการสังหารไปแล้ว, และข้าก็ไม่เคยลืมความกระหายเลือดในดวงตาของเขาเลย เจ้ารู้ไหม? เขาไม่ได้สั่งให้คนของเขาทำการกำจัดผู้ติดเชื้ออย่างเดียวนะ, ตัวเขาเองก็มาร่วมกวาดล้างด้วย ข้าเห็นกับตาเลยหล่ะว่าเขาใช้ดาบผ่าเด็กสาวที่กำลังร้องไห้เป็นสองส่วน แล้วก็มีนักเวทย์อีกหลายคนที่เข้าร่วมในเหตุการณ์ชั่วร้ายนี้ด้วย ในตอนนั้น, ข้าคิดว่าพวกเขาทุกคนกลายเป็นปีศาจไปหมดแล้ว!”
แอนโทนีอายุเกือบจะ70 ปีแล้ว, และทั้งลิงค์กับเอร์เรร่าก็ภาคภูมิใจที่ได้เป็นลูกศิษย์ของเขา ชายแก่คนนี้เก็บความเดือดดาลนี้เอาไว้กับตัวเองมาเป็นเวลาพักใหญ่ๆแล้ว, และพอได้ระบายออกมา, เขาก็ไม่สามารถหยุดพูดได้
จากการอธิบายของผู้อาวุโส,ลิงค์ก็พอเข้าใจสภาพในปัจจุบันของเมืองการาซอน
เมืองการาซอนนั้นตั้งอยู่ทางเหนือของป้อมโอริด้า100 ไมล์, และแน่นอนว่าอยู่ในขอบเขตอำนาจของดยุคอาเบลในการจัดการการแพร่ระบาดด้วยวิธีใดก็ตามที่เขาเห็นว่าเหมาะสม
ผ่านเรื่องทั้งหมดนี้,ดยุค อาเบล แค่ทำตามหน้าที่ของเขาเท่านั้น, แต่การกระทำของเขามันรุนแรงเกินไปหน่อย แม้ว่าแอนโทนี่จะไม่ได้เห็นด้วยกับการสังหารหมู่เป็นวงกว้างเช่นนี้, แต่ก็มีนักเวทย์บางส่วนที่เข้าร่วมการสังหารหมู่กับดยุคโดยมองว่ามันเป็นความชั่วร้ายที่จำเป็นเพื่อทำความสะอาดต้นตอของโรค
ความจริงที่ว่ามีนักเวทย์ที่ไม่รู้สึกผิดปกติกับคำสั่งของดยุคอาเบลนั้นถึงกับทำให้แอนโทนีรู้สึกหนาวไปจนถึงสันหลัง
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี้,ลิงค์กับเอร์เรร่าก็ตัวสั่นโดยไม่รู้ตัวเมื่อคิดถึงความเหี้ยมโหดของดยุคอาเบลและความสุขที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดในตอนที่เขาสังหารผู้คนตามอำเภอใจ, ถึงแม้ในความเป็นจริงการกระทำของเขาอาจจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่, พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์, พวกเขาไม่สามารถตัดสินดยุคจากเรื่องราวของแอนโทนี่เพียงคนเดียวได้
ณจุดนี้ เอร์เรร่าทำได้แค่ปลอบโยนชายแก่ “ตอนนี้เรื่องทั้งหมดมันเป็นอดีตไปแล้ว, อาจารย์คะ เรื่องทุกอย่างจะต้องกลับมาดีแน่นอนค่ะ”
แอนโทนี่ถอนหายใจออกมายาวๆแล้วเอามือกุมขมับด้วยความเศร้า“แม้ว่าคนของข้า, จะไม่ได้ไปตกอยู่ในเงื้อมมือของกองกำลังแห่งความมืด, แต่พวกเขากลับต้องมาตกอยู่ภายใต้คมดาบสังหารของญาติข้าเอง…โถ่, ช่างน่าอับอายจริงๆ!”
พอเห็นอาจารย์ของพวกเขารู้สึกสับสนอย่างเต็มที่,เอร์เรร่าก็ส่งสายตามาให้ลิงค์, เป็นการบอกใบ้ขอให้เขาช่วยทำอะไรสักอย่าง
ลิงค์กำลังจะพูดในตอนที่แอนโทนีเงยหน้าขึ้นมาอย่างกระทันหันแล้วมองตรงมาที่เขา“ลิงค์, ความบ้าคลั่งของอาเบลกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และที่แย่ยิ่งกว่าคือเขาทำเรื่องทั้งหมดนี้โดยอ้างถึงความยุติธรรมและภายใต้เปลือกนอกที่ว่าการกำจัดปีศาจ”
ลิงค์รู้ว่าแอนโทนี่ต้องการจะสื่ออะไรเขาอยากให้ลิงค์เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ด้วยการมองตาของผู้อาวุโสอันแสนห่อเหี่ยว, ลิงค์ก็พูดขึ้น “เอางี้เป็นไงครับ, ผมจะไปทางเหนือสักหน่อยแล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับดยุคอาเบล”
แม้ว่าแอนโทนี่จะพูดในเชิงที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของดยุค,แต่เขาก็สามารถหยุดการแพร่ระบาดได้, และการกระทำของเขาก็ยังสอดคล้องกับข้อควรปฏิบัติของกองทัพ
กองทัพนั้นไม่ได้มีหมอมาตั้งแต่แรกแล้ว;พวกเขาแค่ทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด—การฆ่าทุกคนที่เห็นอย่างโหดเหี้ยมเพื่อพยายามยุติการแพร่ระบาดตั้งแต่แรก สิ่งที่อาเบลทำนั้นอาจจะโหดร้ายเกินกว่าที่จะทำใจเชื่อได้, แต่จากจุดยืนของเขา, จะพิจารณาว่าการกระทำของเขาล้ำเส้นเกินไปก็คงจะไม่ถูก
แต่อย่างไรก็ตาม,ตอนนี้แอนโทนีเป็นคนที่สองแล้วที่เข้ามาหาลิงค์แล้วแสดงความไม่พอใจต่อดยุคอาเบล, โดยที่คนแรกนั้นก็คือสคินอร์ส, และทั้งสองก็เป็นคนฉลาดกันทั้งคู่ ซึ่งนี่ก็น่าจะเพียงพอแล้วในการที่ลิงค์จะเข้าไปแทรกแซง; บางทีเขาน่าจะต้องไปทางเหนือเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้สักหน่อย
“เจ้าควรไปอย่างเงียบๆอย่าให้เขารู้นะ,ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะไม่ได้เห็นอะไรเลย ดยุคอาเบลเป็นคนเหลี่ยมจัด, ส่วนข้าหน่ะแก่แล้วและไม่คู่ควรกับความสนใจของเขา, ดังนั้นเขาจึงไม่ปกปิดความชั่วร้ายของตัวเองจากข้า แต่ว่านะ, เขาจะซุกทุกอย่างเอาไว้ใต้พรมในทันทีถ้าเขารู้ว่าเจ้าจะไปเยี่ยม”
ลิงค์พยักหน้า“ผมจะลองไปดูเรื่องนี้ด้วยตัวเองนะครับ”
แอนโทนีรู้สึกพอใจกับการตอบสนองของเขาจากนั้นเขาก็ถามขึ้น “ข้ารู้ว่าช่วงนี้เจ้าค่อนข้างยุ่ง, และเจ้าก็คงจะไม่ได้มาที่นี่โดยไม่มีเหตุผล มีเรื่องอะไรที่สถาบันสามารถช่วยเจ้าได้รึเปล่า?”
ลิงค์มองเอร์เรร่า,เป็นการบอกให้เธอส่งหนังสือที่เขาพกมาด้วยให้กับแอนโทนี่ “หนังสือพวกนี้คือหนังสือเสริมพลังที่ลิงค์เป็นคนเขียนค่ะ ลองดูสิคะ”
แอนโทนี่ลองเปิดอ่านดูหลังจากผ่านไปสิบนาทีเขาก็เอามือทุบโต๊ะ “ช่างเป็นหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านจริงๆ!”
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ“ช่างน่าเศร้าที่เจ้าเขียนมาแค่สองเล่ม มันยังมีอีกไหม?”
เอร์เรร่าตอบคำถามแทนลิงค์“ลิงค์ยังไม่ได้เขียนส่วนที่เหลือค่ะ แต่ลิงค์วางแผนจะสร้างโรงงานเสริมพลังของตัวเองขึ้นเพื่อแข่งขันกับไฮเอลฟ์ในด้านธุรกิจอุปกรณ์เวทมนตร์ เพื่อที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ, เขาอยากจะเกณฑ์นักเสริมพลังที่มีพรสวรรค์ค่ะ…”
ก่อนที่เอร์เรร่าจะพูดจบ,แอนโทนี่ก็ตบมือพร้อมกับตะโกนออกมา “ถ้างั้นก็จัดเลย! ไอ้พวกไฮเอลฟ์มันแทบจะผูกขาดธุรกิจอุปกรณ์เวทมนตร์เอาไว้ทั้งหมด พวกมันดึงเม็ดเงินออกจากกระเป๋าของพวกเรามาหลายปี, และขูดรีดพวกเราจนแทบจะแห้งแล้ว… เจ้าเชิญเลือกพวกคนเก่งๆไปได้เลย แต่อย่าให้ข้ารู้นะว่าเจ้าทรมานพวกเขา, ไม่อย่างนั้นเจ้าคงต้องมาคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวแล้วหล่ะ”
ลิงค์ยิ้ม“มันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอนครับ”
ลิงค์วางแผนจะทำให้นี่เป็นโครงการระยะยาวด้วยการครอบครองความลับสุดหยั่งถึงทางการช่างเอาไว้, ไฮเอลฟ์จึงสามารถผลิตอุปกรณ์เวทมนตร์คุณภาพที่เอาชนะใจทุกคนจากทุกเผ่าพันธุ์ด้ แต่แทนที่จะกลืนธุรกิจของไฮเอลฟ์คำใหญ่เลย, ลิงค์กลับวางแผนที่จะค่อยๆเล็มไปทีละนิดก่อน
หลังจากนั้น,พวกเขาก็เริ่มคุยกันถึงรายละเอียดปลีกย่อยในการร่วมมือกับลิงค์ การสนทนาดำเนินไปสองสามชั่วโมง, และในตอนนั้นเอง, แอนโทนี่ก็อารมณ์ดีขึ้น
ลิงค์กับเอร์เรร่าอยู่ที่หนามแห่งสวรรค์จนถึงเวลาทานข้าว,พวกเขาทั้งสามแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่น่าสนใจให้แก่กัน
ด้วยความที่อายุใกล้จะ70 แล้ว, ร่างกายของชายแก่คนนี้จึงห่อเหี่ยวลงมาก เวลาส่วนใหญ่ของเขาใช้ไปกับการอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีภรรยาหรือลูกเลย, เขารู้สึกตื่นเต้นมากที่ศิษย์เก่าทั้งสองคนมาเยี่ยม ในตอนที่ช่วงเวลาอาหารค่ำจบลง, แอนโทนีก็อิ่มเอมไปด้วยความสุข
หลังจากพาชายแก่ที่ตอนนี้เริ่มพูดไร้สาระกลับไปที่เตียง,ลิงค์ก็เดินเป็นเพื่อนเอร์เรร่าออกจากหนามแห่งสวรรค์ไป
ท้องฟ้าข้างนอกมืดแล้วด้วยเสาไฟที่เรียงรายอยู่ตามถนน, นักเวทย์ทั้งสองก็เดินไปด้วยกันจนถึงหอคอยเวทมนตร์ของเอร์เรร่า
“อาจารย์,ผมขอฝากไรไลด้วยนะครับ”
เอร์เรร่ายิ้มให้เขา“โอเค, ไม่ต้องห่วงเธอหรอก, ข้ามั่นใจว่าเธอจะต้องกลายเป็นนักเวทย์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน”
“ผมไม่เข้าไปนะส่งหนังสือเล่มนี้ให้เธอ, ทำให้มั่นใจว่าเธอจะอ่านมัน แล้วบอกผู้อาวุโสด้วยว่าผมจะมุ่งหน้าไปทางเหนือในเร็วๆนี้”
“ได้,ไปที่นั่นก็ระวังตัวด้วยหล่ะ, ข้าไม่คิดว่าสภาพจิตใจของดยุคอาเบลจะปกติดีหรอกนะ”
“เข้าใจแล้ว”
แล้วลิงค์ก็จากไป,เอร์เรร่ายืนอยู่ที่ทางเข้าหอคอยเวทมนตร์ของเธอเพื่อเฝ้าดูเขาจนพ้นสายตาไปในที่สุด จากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมา เด็กหนุ่มที่เคยปรึกษาปัญหาเวทมนตร์กับเธอในสถาบันแห่งนี้, ตอนนี้ได้กลายเป็นลอร์ดปกครองดินแดนไปแล้ว ช่วงเวลาที่เขาเคยอยู่ในหอคอยเวทมนตร์ของเธอนั้นมันช่างผ่านมานานเสียเหลือเกิน
ในขณะที่เหม่อมองทางเดินอันว่างเปล่าที่อยู่หน้าหอคอยเวทมนตร์,เอเรร์ร่าก็นึกถึงคืนที่ลิงค์กับเอเลียร์ดต่อสู้กันจนฟกช้ำไปทั้งตัวขึ้นมาได้อย่างกระทันหัน
เธอจำรายละเอียดทุกอย่างในเหตุการณ์นั้นได้ราวกับว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานเธออดยิ้มให้กับความทรงจำนั้นไม่ได้
ในอีกด้านนึง,ลิงค์ได้ออกจากสถาบันมาไกลแล้วและไปถึงเรือเหาะที่อยู่ในป่า ด้วยความเร็วสูงสุด, เรือเหาะได้พาลิงค์บินกลับไปที่เฟิร์ด มันใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก่อนที่ลิงค์จะไปถึงเฟิร์ดในที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว, และเมืองมอดไหม้ก็ยังคึกคักเหมือนเช่นเคย
ในตอนที่เขาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ชั้นแรกของหอคอยเวทมนตร์,ลิงค์ก็เจอกับคนที่คุ้นเคย, ซึ่งนั่นก็คือไฮเอลฟ์ที่ชื่อว่าไบรอันท์
ลิงค์ตกตะลึงเล็กน้อยกับการปรากฎตัวของเขา,แต่เขาก็รู้ดีว่าทำไมไบรอันท์ถึงโผล่หน้ามา
ไบรอันท์นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องโถงใหญ่อย่างสบายใจเฉิบ,โดยมีนักเวทย์ฝึกหัดของลิงค์ที่กลัวการเข้าใกล้เข้าอยู่ล้อมรอบ เซลีน, ผู้อาวุโสมังกรแดงเพทตาลอง, เฟลิน่า, แวนซ์, แจ็คเกอร์, และกำลังสำคัญคนอื่นๆต่างก็จ้องไปที่ไฮเอลฟ์คนนี้อย่างกินเลือดกินเนื้อ
พอเห็นว่าลิงค์กลับมาแล้ว,ไบรอันท์ก็ลุกขึ้น, แล้วเผยรอยยิ้มออกมา “ลอร์ดเฟิร์ด, ท่านดูยุ่งตลอดเวลาเลยนะ”
แม้ว่ารอยยิ้มจะอยู่บนใบหน้าของเขา,แต่ดวงตาไม่ได้แสดงเจตนาที่ดีออกมาเลย, และลิงค์ก็รู้ในทันทีว่าไฮเอลฟ์คนนี้มาได้มาด้วยจุดประสงค์ที่ดี