Advent of the Archmage - 470: ดยุคทางเหนือ
Chapter
ป้อมโอริด้า
ดยุคอาเบลฉีกกระดาษออกเป็นชิ้นๆด้วยความโกรธ“ช่างน่าเศร้าจริงๆ ไอ้ข้ออ้างน่าสมเพชพวกนี้ ดูเหมือนว่าข้าจะอ่อนข้อกับพวกเจ้ามากเกินไปสินะ!”
เอกสารนั้นคือรายงานผลการเกณฑ์ทหารที่เขาได้ทำการอนุมัติที่เมืองเล็กๆทางตอนเหนือเขาคาดว่าจะได้ทหารจากที่นั่น 3,000 นาย แต่ว่ามีทหารเพียง 2,000 นายเท่านั้นที่ถูกส่งมายังป้อมปราการแห่งนี้ ซึ่งมันได้มาแค่ 2 ใน 3 จากที่เขาต้องการ ดยุคอาเบลนั้นรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้มากๆ
ในตอนนั้นเองอาเบลก็รู้สึกได้ถึงความกระหายเลือดที่ปะทุขึ้นในตัวเขา จมูกของเขากระตุกโดยที่ไม่รู้ตัว และเขาก็ยื่นมือไปจับด้ามดาบโดยอัตโนมัติ มันเป็นความกระหายอันไม่รู้จักพอที่กำลังเติบโตอยู่ในตัวเขา
เขากระหายกลิ่นเลือดสดๆเขาอยากเห็นหมอกเลือดพุ่งออกมาจากร่างของคนที่เขาผ่า สิ่งที่เขาต้องการได้ยินก็คือเสียงดาบตอนที่ผ่าเนื้อของคนเป็นๆ รวมไปถึงเสียงร้องทรมานของเหยื่อ เขาชอบที่จะฆ่าเด็กตัวเล็กๆมาก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง ร่างกายอันอ่อนนุ่มของพวกเธอนั้นนิ่มเหมือนกับเต้าหู้ การใช้ดาบผ่าเบาๆก็ทะลวงผิวหนังบางๆของพวกเธอได้แล้ว ซึ่งมันไม่มีเสียงที่เกิดจากการต้านคมดาบเลย
ไม่นะเขาจะต้องไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ เขาจะปล่อยให้ตัวเองหมกมุ่นอยู่กับเรื่องพวกนี้ต่อไปไม่ได้ เขากลัวว่าเขาอาจจะหยุดการฆ่าอย่างบ้าคลั่งของตัวเองไม่ได้จนเรื่องหลุดออกไปข้างนอกกำแพงปราสาทอีก
มือของเขาจับด้ามดาบแน่นหลังจากนั้นสักพักเขาก็คลายมือออก และนั่นก็ทำให้ มือของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ หลังจากผ่านไปประมาณ 10 นาที ในที่สุดดยุคอาเบลก็หยุดความกระหายเลือดของตัวเองได้เขาลงได้
เขาปล่อยด้ามดาบและเริ่มอ่านเอกสารฉบับอื่นต่อ
ในตอนนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างกระพริบที่มุมกำแพง เขาหยิบดาบออกมาในทันที และพอเขาเงยหน้าขึ้นมาดู เขาก็เห็นเงาสีดำยืนอยู่ที่เงามืดตรงมุมกำแพง
“เจ้าเป็นใคร?”อาเบลถาม
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญหรอกสิ่งที่สำคัญก็คือตอนนี้ท่านกำลังตกอยู่ในอันตราย ท่านจอมพลที่รักของข้า” เงาดำพูดขึ้น เสียงของมันฟังดูยินดีกับเรื่องนี้มาก
อาเบลหัวเราะเสียงดังลั่น“555 ข้าได้พลังระดับตำนานมาแล้วนะ มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยหากจะบอกว่าข้าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในป้อมปราการแห่งนี้ และยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังมีทหารอยู่ในป้อมแห่งนี้อีกกว่า 50,000 นาย แล้วใครกันหล่ะที่จะกล้ามาโจมตีข้า?”
เงาดำพูดชื่อออกมา“ลอร์ดเฟิร์ด ดยุคโมรานี่”
พอได้ยินชื่อนี้สีหน้าของอาเบลก็ซีดเผือด ในชั่วพริบตา เขาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน เขามีเหตุผลมากมายที่จะกลัวลิงค์, นักเวทย์ระดับตำนาน ไม่เพียงแค่เขาจะมีเวทมนตร์อันแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ว่าเฟิร์ดยังเป็นแหล่งเสบียงอันดับต้นๆของป้อมปราการแห่งนี้ด้วย การต่อสู้กับลิงค์ก็หมายถึงการตัดขาดแหล่งทรัพยากรณ์หลัก และทั่วทั้งป้อมปราการก็จะถูกบังคับให้ต้องเอาตัวรอดด้วยเสบียงที่สามารถอยู่ได้แค่อย่างน้อย 2 เดือน
หลังจากผ่าน2 เดือนนั้นไป พวกนักรบก็จะไม่มีอะไรกิน และป้อมปราการก็จะเริ่มพังทลายลงมาเอง
“แล้วทำไมลอร์ดเฟิร์ดถึงต้องมาหาเรื่องข้าโดยไม่มีเหตุผลด้วยหล่ะ?”อาเบลพูดด้วยความกังวล
เงาดำหัวเราะมันเป็นเสียงหัวเราะที่แหลมเหมือนกับนกหวีด ซึ่งนั่นทำให้อาเบลรู้สึกไม่สบายใจ เขาอยากจะพุ่งเข้าไปหาผู้บุกรุกคนนี้และผ่าทิ้งเป็นสองส่วน แต่สำหรับตอนนี้ เขาอยากจะฟังสิ่งที่มันจะพูดต่อก่อน ดังนั้นเขาจึงเก็บจิตสังหารเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
เงาดำพูดขึ้นมาอีกครั้ง“เพราะพลังที่เจ้าได้รับมายังไงหล่ะ เจ้าแข็งแกร่งขึ้นผ่านการฆ่าฟันผู้คน เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ ตอนนี้ตัวเจ้ากำลังกระหายเลือดสดๆและการฆ่าฟันอยู่ตลอดใช่มั้ยล่ะ?”
แม้ว่าเสียงที่เข้ามาในหูของอาเบลจะแผ่วเบาแต่มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับโดนฟ้าผ่า “นั่นสินะ, แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แล้วมันมีพลังแบบไหนกันหล่ะที่ไม่ได้มาจากการฆ่าฟัน? แม้กระทั่งพวกปีศาจก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ช่วงนี้ตัวข้ารู้สึกกระหายเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ และถ้าเกิดว่าวันไหนข้าไม่ได้ฆ่าใครเลย ข้าก็จะรู้สึกอึดอัดใจจนไม่สามารถข่มตานอนในตอนกลางคืนได้ แถมเมื่อสักครู่นี้ข้ายังพบว่าตัวเองกำลังนึกถึงความรู้สึกในตอนที่ฆ่าเด็กสาวด้วย…แล้วนี่มันต่างอะไรกับพวกปีศาจล่ะ?”
เขาสัมผัสถึงความผิดปกติของตัวเองได้แล้วแต่เขาก็ไม่กล้าถลำลึกไปกว่านี้ ตอนนี้พอเขามาไตร่ตรองถึงการกระทำในอดีต เขาก็เหงื่อไหลออกมา.ไอรีนโนเวล.
ดยุคอาเบลไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่นิดเดียวในตอนที่เขากำลังดื่มด่ำกับการฆ่าฟันหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่คนอื่นพูดถึงเขา เขาก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาสามารถทำเรื่องพวกนี้ลงไปได้
ว่าแต่ใครกันนะที่อยู่ข้างหลังเงานี้?
“เจ้าคนที่ซ่อนอยู่ในเงาเปิดเผยออกมาซะ!” อาเบลชักดาบออกมา ถ้าเกิดว่าผู้บุกรุกเลือกที่จะไม่เปิดเผยตัวตน เขาก็ไม่ลังเลที่จะเข้าไปฆ่าอีกฝ่ายให้ตายคาที่
เงาดำหัวเราะอีกครั้งและก้าวออกมาจากเงามืดเธอคือเด็กสาวที่สวมชุดเดรสผ้าฝ้ายสีดำ ร่างกายของเธอนั้นคดเคี้ยวเหมือนกับงู และรูปร่างของเธอก็สวยงามและแข็งแรงมาก เธอนั้นมองมาที่อาเบลด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
“อา…เจ้าคือ…เจ้านี่เอง!”
ดยุคอาเบลก้าวถอยหลังจิตใจของเขาปั่นป่วนไปหมด หญิงสาวคนนี้เหมือนกับนางฟ้าแห่งแสงที่มอบพลังนี้ให้กับเขา สิ่งที่แตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือการแต่งตัวของเธอ
“ใช่ข้าเอง ข้าคือคนที่มอบพลังของฆาตกรให้กับเจ้า เอาจริงๆ, การที่เจ้าขึ้นมาเป็นนักรบระดับตำนานได้แบบนี้ เจ้าควรจะขอบคุณข้าสักหน่อยไหม?”
“จะ…เจ้ามันคือปีศาจ!”ดยุคอาเบลรู้ตัวแล้วว่าเขาโดนหลอก
หญิงสาวในชุดดำสบัดมืออย่างรุนแรงพร้อมกับมองด้วยสายตาดูถูก“อย่าเอาข้าไปรวมกับพวกปีศาจสิ เจ้าพวกบ้าพลังสมองถั่วนั่นเป็นแค่ทาสของข้า โถ่ จอมพลที่รักของข้า เลิกพยายามค้นหาซักทีเถอะว่าข้าเป็นใครแล้วมากังวลกับสภาพของตัวเองในตอนนี้จะดีกว่า เท่าที่ข้ารู้ ลิงค์กำลังมุ่งหน้ามาทางเหนือ และเขาก็รู้ความลับของเจ้าแล้วด้วย ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะเริ่มคิดหาวิธีการป้องกันตัวเองจากความเกรี้ยวโกรธของนักเวทย์คนนี้นะ”
อาเบลถอยกลับไปที่เก้าอี้และเริ่มพึมพำออกมา “ไม่มีประโยชน์หรอก ข้าไม่สามารถสู้กับคนที่สามารถฆ่าปีศาจ 1,000 ตัวด้วยตัวคนเดียวได้ แล้วข้าจะขึ้นมาถึงระดับตำนานเพื่ออะไรกันหากต้องมาเจอกับพลังระดับนี้? ข้าจบแล้ว มือของข้าเปื้อนเลือดแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะอภัยให้กับสิ่งที่ข้าทำหรอก…ข้าจบแล้ว ข้าจบสิ้นแล้ว!”
ดยุคอาเบลเริ่มกุมหัวและพึมพำอยู่กับตัวเองด้วยความกลัวความอับอายและควมโกรธทุกอย่างต่างผสมกันอยู่ในจิตใจของเขา
หญิงสาวหัวเราะออกมาอีกครั้ง“เจ้ากลายเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้ได้ยังไงกันเนี่ย เจ้าคือดยุคอาเบลไม่ใช่หรอ เป็นถึงแม่ทัพของกองทัพทางเหนือเลยนะ แถมด้วยจำนวนนักรบและนักเวทย์มากมายที่สาบานว่าจะภัคดีกับเจ้าอีกหล่ะ? นี่เจ้าจะไปกลัวอะไรกับลิงค์ที่มีผู้ติดตามไม่ถึง 10 คนกัน?”
“เขามีพลังมากพอที่จะทำลายทั้งกองทัพด้วยตัวคนเดียวเลยนะ!”
“นั่นเป็นเพราะว่าไม่เคยมีนักรบคนไหนสูสีกับเขาต่างหากหล่ะแต่ว่าตอนนี้ เจ้าเป็นระดับตำนานเหมือนกับเขานะ แถมนี่ยังไม่รวมถึงความจริงที่ว่านักรบที่อยู่ในป้อมปราการแห่งนี้มีแต่คนธรรมดาเลย เจ้าคิดจริงๆหรอว่าเขาจะกล้าใช้เวทย์ระยะกว้างใส่คนพวกนี้? ใช่แล้ว เขาไม่ทำหรอก นักรบพวกนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากโล่เนื้อที่ไว้ใช้ป้องกันนักเวทย์คนนั้น เจ้าเข้าใจใช่มั้ย?”
เขาอึ้งกับคำพูดนี้ไปชั่วขณะและในที่สุดความโกรธของดยุคอาเบลก็เอาชนะความกลัวและความอับอายของเขาได้ “นั่นสินะ ข้าคือแม่ทัพของที่นี่ ลิงค์ไม่มีสิทธิอะไรมาตัดสินข้า เขาก็เป็นแค่ลูกหลานของไวส์เคานท์ ใช่แล้ว ข้าจะไม่ยอมแพ้ ข้าจะสู้ ข้าจะต้อง….ข้าจะต้องจัดการเขาให้ได้!”
ในที่สุดความกระหายเลือดที่ดยุคอาเบลอดกลั้นมาโดยตลอดก็ปะทุออกมามีออร่าอ่อนๆเปล่งออกมาจากร่างกายของเขา ตอนนี้ดวงตาของเขาได้กลายเป็นสีแดงเลือด
“ใช่แบบนั้นแหละ” หญิงสาวในชุดดำพูดออกมาเบาๆ “มีเมืองเล็กๆที่ชื่อว่าแกลดสโตนอยู่ทางเหนือ 100 ไมล์จากที่นี่ซึ่งมีโรคระบาดกำลังแพร่อยู่ในขณะนี้ เจ้าควรพาคนของเจ้าไปที่นั่นและควบคุมที่นั่นให้อยู่นะ ยังไงซะ ที่นั่นก็มีคนอาศัยอยู่ประมาณ 10,000 คน”
จู่ๆอาเบลก็รู้สึกหนาวขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้เขาตะโกนใส่เธอ“ขอข้าอยู่คนเดียวซักพักนึงเถอะ!”
“ตามสบายเลยข้าได้พูดในสิ่งที่อยากพูดไปหมดแล้ว เจ้าจะทำอะไรต่อไปมันก็ขึ้นอยู่กับเจ้า” หญิงสาวในชุดดำถอยกลับเข้าไปที่มุมกำแพงและหายเข้าไปในเงา
ดยุคอาเบลสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติการ์ดที่อยู่ข้างนอกน่าจะต้องรีบวิ่งเข้ามาในทันทีเพื่อตรวจดูเขาในตอนที่เขาตะโกนลั่นห้อง ยังไงก็ตาม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยในตอนที่หญิงสาวหายไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างไร้ร่องรอย
ดยุคอาเบลทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เขาไม่ได้ไปตรวจดูการ์ดที่เฝ้าอยู่ข้างนอก ดวงตาสีแดงเลือดของเขานั้นจับจ้องไปบนเพดานห้องอย่างเหม่อลอย พร้อมกับเสียงของหญิงสาวชุดดำที่ยังคงสะท้อนอยู่ในหัวของเขา
แกลดสโตนโรคระบาด ปีศาจฆ่าคน การลงทัณฑ์จากลิงค์…สิ่งเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของเขาเหมือนกับคำสาป
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆในที่สุดดยุคอาเบลก็ตะโกนออกมา “การ์ด! การ์ด!”
ประตูห้องของเขาเปิดออกนักรบหนุ่มวิ่งเข้ามาพร้อมกับมองดยุคที่อยู่ข้างหน้าเขาด้วยความเคารพ “มีอะไรให้ข้ารับใช้ครับ ท่านแม่ทัพ?”
“ไปพาตัวแอนนี่ลูกสาวของข้ามา!”
“รับทราบครับ”จากนั้นนักรบหนุ่มก็ถอยออกไปจากห้อง
อาเบลเอาปากกากับกระดาษออกมาและเริ่มเขียนจดหมายในขณะที่เขาเขียน, คำพูดของเขาก็ยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้น เขาหยุดเขียนไปครั้งสองครั้งแล้วก็นั่งจ้องมันราวกับว่าเขากำลังคิดอยู่ว่าเขาจะฉีกมันทิ้งดีไหม
และในท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้
ไม่กี่นาทีต่อมาในที่สุดเขาก็เขียนจดหมายเสร็จและบรรจุใส่ซอง จากนั้นเขาก็ใส่มันไว้ในแขนเสื้อของเขา และในตอนนั้นเองประตูก็เปิดออกมาอีกครั้ง แอนนี่ ที่สวมชุดเกราะหนังสีเขียวเดินเข้ามาในห้อง สีหน้าของเธอนั้นทั้งเย็นชาและนิ่งเฉย ในตอนที่เห็นพ่อของเธอ เธอก็พูดออกมาอย่างเย็นชา “มีรับสั่งอะไรคะ ท่านแม่ทัพ?”
“นำจดหมายฉบับนี้ไปทางเหนือและส่งมันให้กับมาสเตอร์ลิงค์ตอนนี้เขากำลังมาที่นี่ พาคาร์โนสไปกับเจ้าด้วย”
“รับทราบค่ะท่านแม่ทัพ” แอนนี่รับจดหมายจากเขาและถามต่อ “มีอะไรอีกไหมคะ ท่านแม่ทัพ?”
ดยุคอาเบลรู้ว่าลูกสาวกำลังทำตัวห่างเหินกับเขาเธอคัดค้านการสังหารหมู่ชาวบ้านในเมืองการาซอน แต่ว่าเขาก็ไม่ฟังเสียงของเธอเลย
“แค่นั่นแหละเจ้าไปได้แล้ว ยิ่งเจ้าออกไปเร็วก็ยิ่งดี! จำเอาไว้ อย่าเอาจดหมายนี้ไปให้คนอื่นเห็นหล่ะ ต่อให้คนๆนั้นอ้างว่าทำภายใต้คำสั่งของข้าก็ตาม เข้าใจนะ?”
“เข้าใจแล้วค่ะ”นี่ทำให้แอนนี่มองแปลกๆ แต่ว่าเธอก็ออกไปทำตามคำสั่งอยู่ดี
หลังจากนั้นไม่นานดยุคอาเบลก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังมาจากข้างนอก เขารีบมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นแอนนี่กับคาร์โนสออกไปจากป้อมโอริด้าพร้อมกับม้าของพวกเขา
เหมือนกับสัตว์ร้ายที่โดนคุมขังเขาเดินวนอยู่ในห้องเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง คิดว่าจะทำอะไรต่อไปดี และจู่ๆเขาก็ตะโกนออกมา “การ์ด! การ์ด! มานี่เร็ว!”
การ์ดที่อยู่ข้างนอกรีบเข้ามาในทันที“มีเรื่องอะไรหรอครับท่านแม่ทัพ?”
“เจ้าหญิงแอนนี่กับคาร์โนสทรยศข้าติดต่อ MI3 เดี๋ยวนี้! บอกให้ผู้บัญชาการส่งคนไปตามจับพวกเขา! เร็วเข้า เวลาเป็นสิ่งสำคัญ จะให้พวกเขาหนีไปจากพวกเราในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้!” ดยุคอาเบลตะโกนก้อง
“เข้าใจแล้วครับ”ทหารรีบออกไปจากห้องและทำตามคำสั่งของแม่ทัพ