Advent of the Archmage - 483: ปล่อยให้ผู้กล้าตายที่ทางเหนือ
Chapter
ป้อมโอริด้า
ทหารในป้อมปราการพร้อมแล้วในตอนพระอาทิตย์ขึ้น ทหารสองหมื่นนายจะออกเดินทางจากป้อมไปควบคุมโรคระบาดในเมืองแกลดสโตนที่อยู่ทางใต้
ในคืนก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางแม่ทัพอาเบลนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ที่มุมห้องของเขา เขาจับดาบของตัวเองแน่นและหายใจอย่างรุนแรง
เขากำลังจินตนาการถึงการฆาตกรรมหลากหลายรูปแบบที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขามันเยอะมากเหมือนกับฟองที่อยู่ในน้ำเดือด เขาไม่สามารถหยุดคิดถึงมันได้เลย เขาไม่มีกำลังมากพอที่จะคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือใช้พลังทั้งหมดของเขาในการควบคุมความคิดเอาไว้แล้วนั่งอยู่บนเก้าอี้เฉยๆ
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆอารมณ์ของเขาก็สงบลงมาก ข้ากำลังจะสูญเสียการควบคุมในอีกไม่นานนี้ ข้าอยากรู้จังว่าแอนนี่ได้ส่งจดหมายไปรึยัง แล้วถ้ามาสเตอร์ลิงค์ได้รับจดหมายแล้วหล่ะก็ เขาจะต้องรีบตรงมาทางเหนืออย่างแน่นอน และถ้าเขามา ข้าควรจะทำยังไงดีหล่ะ?
เขาเริ่มมีอาการตื่นกลัวมันคือความกลัวต่อการตัดสินที่กำลังใกล้เข้ามา ไม่มีใครสามารถรอความตายอย่างสงบได้
อาเบลเคยอ่านตำนานของผู้กล้ามามากมายและเขาก็เคยเห็นการเสียสละกับตาตัวเองมาหลายครั้งแล้วด้วย เขาคิดว่ามันดูกล้าหาญและน่ายกย่อง แต่พอมาถึงทีของเขา เขากลับรู้สึกกลัว
ความตายนั้นรู้สึกยังไงกันนะ?ข้าเคยฆ่าคนมามากมาย วิญญาณของข้าจะจมสู่ความมืดมิดและถูกฝูงปีศาจกลืนกินรึเปล่านะ?
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเขาเขาเคยอ่านตำนานของฟิรุแมน หนึ่งในนั้นคือเรื่องเกี่ยวกับปีศาจ มันคือจุดจบอันน่าเศร้าของนักฆ่าเลือดเย็นหลายคนและสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับวิญญาณของพวกเขาหลังจากความตาย และมันก็อธิบายถึงสภาพอันน่ากลัวของนรกและห้วงความมืด
อีโลนถูกปล่อยให้อยู่ในหลุมของงูพิษและถูกพวกมันกัดทุกวัน ในตอนที่เนื้อของเขาถูกกินจนหมด และกลายเป็นโครงกระดูกสีขาว เนื้อของเขาก็จะฟื้นฟูกลับมาในวันถัดไป และงูก็กลับมากินเขาต่อ และวังวนนี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาเป็นการทรมานอันไร้ที่สิ้นสุด
นี่คือวิธีการที่อีโลน เผด็จการเมื่อ 700 ปีก่อน ทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกด้วยงูพิษ อาเบลสามารถบอกได้เลยว่าเนื้อหาส่วนใหญ่นั้นมาจากจินตนาการของผู้แต่ง แต่ก็เพราะผู้แต่งคนนั้น เขาจึงจมปรักอยู่กับความหวาดกลัว
ถ้าเกิดว่ามันเป็นเรื่องจริงหล่ะ?
ร่างกายของเขาสั่นสะท้านพร้อมกับจับดาบแน่นหนังมังกรที่รอบด้ามจับเย็นมาก พลังที่ไหลอยู่ในร่างกายของเขาทำให้เขาระมัดระวังตัว
แต่ในตอนนั้นเองภาพของลิงค์ที่ฆ่ากองทัพปีศาจด้วยตัวคนเดียวก็กลับเข้ามาในหัวของเขาตอนนี้อาเบลมีพลังระดับตำนาน แต่ว่าหลังจากที่เลเวลอัพ เขาก็พบว่าเขาสามารถฆ่าปีศาจได้อย่างมากแค่ 500 ตัวในการต่อสู้ตรงๆ ทั้งกองทัพหรอ? มันคือเป้าหมายที่ไม่มีวันไปถึง
เขาแข็งแกร่งเกินไปข้าไม่มีโอกาสรอดเลย แทนที่จะรอถูกตัดสินโทษตาย ทำไมข้าถึงไม่….
เขามองไปที่ดาบของเขามันคือดาบระดับอีพิคที่ส่งต่อกันมาในตระกูลอาเบล มันมีชื่อว่าราชสีห์พิโรธ มันเป็นอาวุธระดับสูงสำหรับคนธรรมดา แต่ว่าสำหรับคนที่อยู่ระดับตำนานนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับแท่งเหล็ก
ด้วยแรงกระตุ้นจากความคิดของเขาดยุคอาเบลก็ได้ออกแรงเล็กน้อย เขายกดาบราชสีห์พิโรธขึ้นมาและชี้มันไปที่ความมืด จากนั้นปลายดาบอันเย็นเฉียบก็หันกลับมาจ่อที่คอของเขา
ถ้าเกิดว่าเขาขยับดาบอีกเล็กน้อยปีศาจ การดิ้นรน และความเจ็บปวดทั้งหมดก็จะหายไปกับสายลม
“ช่างขี้ขลาดจริงๆ!”มีใครบางคนตะโกนมาจากมุมห้อง
ดยุคอาเบลมือสั่นเสียงนั้นได้ทำลายความกล้าในหัวใจของเขาทั้งหมด ดาบตกลงมา เขาหันไปมองต้นเสียง จากนั้นเงาดำก็เดินออกมาและมันก็คือผู้หญิงที่เป็นคนล่อลวงเขา
ในครั้งนี้เขารู้สึกว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว มีผู้หญิงผมดำอีกคนอยู่กับเธอด้วย เธอจ้องมาที่เขาด้วยท่าทีดูถูกและพูดเย้ย “โมลิน่า นี่คือนักฆ่าที่เจ้าหมายถึงงั้นหรอ? ข้าว่าเขาเหมือนกับหนอนนะ”
นากาที่ชื่อโมลิน่าส่ายหัว“คาทูช่า อย่าดูถูกไป เจ้ายังรู้จักดยุคไม่ดีพอ เขาก็แค่ยังไม่เคยข้ามผ่านมันเท่านั้น ความคิดของเขายังยึดติดกับเรื่องทางโลกมากเกินไป พวกเราจะต้องช่วยเขาข้ามผ่านข้อจำกัดและเขาก็จะได้ปลดปล่อยตัวเองเข้าสู่ความเป็นไปได้อันยิ่งใหญ่”
ในตอนที่โมลิน่าพูดท่าทีอันเฉียบคมของเธอก็อ่อนลงมาก เธอเดินส่ายสะโพกมาหาดยุคอาเบลแล้วคุกเข่าลง จากนั้นก็ยืนมือออกมาลูบใบหน้าของอาเบล “ดยุค ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังเจ็บปวด เจ้ารู้สึกถูกทรมานในทุกค่ำคืน ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรพาเจ้ากลับเข้ามาในเส้นทางเปื้อนเลือดนี้ แต่ถ้าข้าคิดผิดหล่ะก็”
พอมาถึงจุดนี้มือของโมลิน่าก็ขยับลงมาจับที่ดาบของดยุค จากนั้นเธอก็ฉีกเสื้อผ้าตรงส่วนหน้าอกออก หน้าอกอันงดงามสองลูกได้เผยออกมา และสายตาของดยุคก็ถูกจุดแดงๆสองจุดดึงดูดอย่างเต็มที่
โมลิน่าดึงดาบมาจ่อที่หน้าอกของเธอดาบสีดำ ผิวอันขาวเนียนเหมือนกับหิมะ และภูเขาสองลูกได้มาซ้อนทับกัน ก่อให้เกิดเป็นภาพอันน่าสะเทือนใจ
เธอเงยหน้ามองดยุคน้ำตาใสๆได้ไหลลงมาจากดวงตาของเธอ “ถ้าเกิดว่าข้าคิดผิด ก็เชิญสังหารข้าได้เลย”
“นี่เจ้า”ดยุคอาเบลจ้องมองผู้หญิงคนนี้ด้วยสายตาไม่เชื่อ เธอเป็นคนที่ทำให้เขาหลงผิดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าเธอก็เป็นคนที่มอบพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับเขา อาเบลเกลียดเธอแต่เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถแทงดาบลงไปได้!
โมลิน่าคุกเข่ายอมแพ้ต่อหน้าดยุคอาเบลและอ้อนวอน“ดยุค มีเพียงแค่สองเส้นทางในโลกนี้ หนึ่งคือทางแห่งมนุษย์ เจ้าจะต้องคำนึงถึงความคิดของทุกคน คิดถึงการกระทำของตัวเอง เจ้าจะกังวลว่าพวกเขาต้องการพลังของเจ้า และอีกเส้นทางนึงก็คือเส้นทางแห่งเทพที่ไม่มีวันตาย ถ้าเจ้าทำตามหัวใจและก้าวไปข้างหน้า เจ้าก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และยิ่งๆขึ้นไป จนเจ้ากลายเป็นอมตะ ดยุค อย่ามัวลังเลอยู่เลย ชีวิตของมนุษย์มันก็แค่ชั่วคราว ยังไงซะตระกูลอาเบลกับอาณาจักรนอร์ตันก็จะกลายเป็นฝุ่น แต่ถ้าเกิดว่าเจ้าเลือกเส้นทางที่สอง เจ้าก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป”
ดยุคอาเบลถูกโน้มน้าวเขาเป็นคนที่แน่วแน่ ถ้าเกิดว่าคนอื่นใช้แผนการร้ายบางอย่างมาล่อลวงให้เขาติดกับ อีโก้ของเขาก็จะไม่ยอมมัน เขาจะต่อต้านมันตามธรรมชาติ แต่ว่าในตอนนี้ โมลิน่ากำลังขอร้องเขาและกำลังใช้ตรรกระแบบนั้น ซึ่งการต่อต้านภายในใจเขาก็อ่อนลงเป็นอย่างมาก
“แต่ลิงค์กำลังมานะข้าสู้เขาไม่ไหวหรอก”.ไอรีนโนเวล.
คาทูช่าที่ไม่ได้พูดอะไรเลยจนถึงตอนนี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “555 ข้าคิดอยู่แล้วว่าเจ้าต้องมีเรื่องกังวลบางอย่าง รับดาบนี่ไปสิ เอาไปแทนไอ้เศษขยะที่เจ้ามีอยู่ซะ”
เธอโยนดาบสีแดงเข้มให้
ดยุคอาเบลรับมันและศึกษาดูดาบนั้นมีความยาวประมาณ 4 ฟุตและหนัก 30 ปอนด์ มีรูนมากมายที่เขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้สลักอยู่ที่ตัวดาบ ถ้าเกิดว่าดาบเล่มนี่ถูกวางไว้กับที่ซักพักนึง หมอกสีแดงจะโผล่ขึ้นมารอบๆ ซึ่งหมอกนั้นจะหนาขึ้นเรื่อยๆและรูนจำนวนมากก็จะเปล่งแสงอ่อนๆ
เขารู้สึกได้เลยว่าดาบเล่มนี้ดีกว่าดาบราชสีห์พิโรธหลายเท่า
เขาใช้ดาบราชสีห์พิโรธสัมผัสตรงส่วนคมดาบเบาๆกิ๊ง ดาบนั้นไม่ได้มีรอยสึกเลย แต่คมดาบ(ราชสีห์พิโรธ)กลับบิ่นแทน
“ดาบดีเลยนี่”ดยุคอาเบลอดชื่นชมออกมาไม่ได้
“แน่นอนอยู่แล้ว”คาทูช่าพูด “มันมีชื่อว่าพลบค่ำของผู้กล้ามันเคยเป็นอาวุธของนักฆ่าระดับตำนานมาก่อน รับไปสิ ในตอนที่ลิงค์มาถึง โมลิน่ากับข้าจะช่วยเจ้าจัดการเขา แล้วก็ใช้ทหารในป้อมด้วยหล่ะ เขาจะได้ไม่กล้าใช้เวทย์โจมตีวงกว้าง ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่ใช่คู่มือของพวกเราหรอก”
ดยุคอาเบลลังเลอีกครั้งเขารู้สึกได้ว่าทั้งโมลิน่าและนากาผมดำนั้นต่างก็แข็งแกร่งทั้งคู่ ถ้าเกิดว่าพวกเขาทั้งสามคนร่วมมือกัน ผนวกกับการเอาชีวิตของทั้งกองทัพไปขู่ พวกเขาก็อาจจะสามารถจัดการลิงค์ได้ก็ได้?
คาทูช่าหมดความอดทนแล้ว“เจ้าจะกังวลอะไรนักหนา? นี่เจ้าเป็นไอ้ขี้ขลาดจริงๆใช่มั้ย?”
ในที่สุดดยุคอาเบลก็ตัดสินใจได้“ถ้างั้นมาลงมือกันเถอะ!”
มันแปลกมากในตอนที่เขาตัดทุกอย่างทิ้งได้และเลิกสนใจเรื่องความรุ่งโรจน์ของตระกูล, ชะตากรรมของอาณาจักร และของมีค่าอื่นๆหรือว่าความรู้สึกผิดบาปในการฆ่าคน เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาแบบที่ไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว
ความสับสนเรื่องการฆ่าได้หายไปสิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความอยากฆ่าอย่างรุนแรง เขาสามารถรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจนตราบเท่าที่เขาต้องการ ความตั้งใจของเขาเหมือนกับสัตว์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มันจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวตามความสามารถในการต่อสู้ของเขา แต่ว่าในตอนที่เขาใจเย็น มันก็จะหดกลับไป และไม่ไปรบกวนกับการตัดสินใจตามหลักเหตุผลของเขา
โมลิน่ากับคาทูช่าเองก็สัมผัสถึงมันได้พวกเธอส่งสายตาให้กันและยิ้มออกมา
“ยินดีด้วย”โมลิน่าพูด “เจ้าได้ก้าวสู่เส้นทางแห่งความเป็นอมตะเรียบร้อยแล้ว”
คาทูช่าเองก็ยิ้มเช่นกัน“นี่แหล่ะคือสิ่งที่แม่ทัพควรจะเป็น”
ดยุคอาเบลสูดหายใจเข้าลึกๆและจับดาบระดับตำนานขึ้นมา“ลิงค์เป็นผู้กล้า เขาเป็นผู้กอบกู้แห่งแสง ตัวเขาเต็มไปด้วยแสงสว่างจนทำให้ผู้คนตาบอด เขาไม่ควรมีชีวิตอยู่! ในเมื่อดาบนี้มีชื่อว่าพลบค่ำของผู้กล้า งั้นก็มาปล่อยให้ผู้กล้าคนนี้ตายที่แดนเหนือกันเถอะ!”
ในวันต่อมาทหารก็ถูกส่งออกไปจากป้อมโอริด้า ตอนแรกผู้คนต่างก็คิดว่าจะมีทหาร 20,000 คน แต่ว่ามันกลับเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า กลายเป็น 40,000 คน พวกระดับสูงออกมาทุกคน เหลือทหารใหม่ที่ยู่ในป้อมปราการแค่ 10,000 คนเท่านั้น
ก่อนที่จะออกเดินทางดยุคอาเบลได้ตะโกนขึ้น “ทุกคน โรคระบาดได้เริ่มแพร่ที่เมืองแกลดสโตนแล้ว พวกเราไม่มีนักบวชที่จะรักษาหรือนักเวทย์ที่มีความคิดอัศจรรย์ พวกเรามีแค่ดาบอยู่ในมือ! พวกนักบวชกับนักเวทย์ไม่สามารถรักษาโรคระบาดพวกนี้ได้ แต่ว่าพวกเราสามารถรักษามันได้ด้วยดาบของพวกเรา!”
ทั้งกองทัพได้ส่งเสียงโห่ร้องตอบรับแม่ทัพของพวกเขา
“เดินหน้า!”ดยุคอาเบลชี้ดาบไปทางเมืองแกลดสโตนและขี่ม้าไปด้านหน้า
ที่แกลดสโตน
ในตอนรุ่งสางลิงค์ได้พานักบวชกว่า 30 คนจากแฮปเบิร์กมาที่แกลดสโตน เขาทำงานทั้งคืนและในที่สุดก็สร้างคริสตัลรวบรวมพลังงานศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ เขาเร่งมือสร้างเวทมนตร์ที่จะขจัดโรคระบาดร่วมกับพวกบาทหลวง
ในตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ว่าเวทย์จะได้ผลหรือเปล่า หลังจากที่มาถึงแกลดสโตน พวกเขาก็ตรงไปที่โบสถ์ในทันที
ในตอนที่หัวหน้าบาทหลวงเห็นศพที่นอนกองอยู่เต็มพื้นเขาก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “โถ่ ไม่นะ ไอ้พวกปีศาจ!”
ความรู้สึกอันซับซ้อนได้เติมเต็มดวงตาของนักบวชคนอื่นๆมันมีทั้งความกลัว และความสยองขวัญ
ในระหว่างนี้เองลิงค์ก็จับคนกลุ่มนึงมาจากถนน พวกเขามีสีผิวซีด และดวงตาของพวกเขาก็มีสีแดงอ่อนๆ ในตอนที่พวกเขาเดินมา พวกเขาก็ตัวสั่นและหายใจอย่างรุนแรง นี่คืออาการของคนที่ติดเชื้อเข้าไปเยอะแล้ว
“หลวงพ่อเวลาไม่ค่อยมีแล้ว โรคกำลังจะเริ่มระบาด” ลิงค์เร่ง “รีบทดสอบผลลัพธ์ของเวทย์นี้กันเถอะ!”
9ใน 10 ของผู้คนตามท้องถนนของเมืองแกลดสโตนนั้นจะอยู่ในสภาพนี้ ลิงค์สามารถสัมผัสได้ถึงความวุ่นวายตามซอกซอย เขาคิดว่าโรคระบาดกำลังจะแพร่กระจายใน 2 ชั่วโมง!