Advent of the Archmage - 532:เธอเป็นผู้หญิงที่น่าเหลือเชื่อ
Chapter
มันเป็นเวลากลางคืนและท้องฟ้าที่มืดมิดก็เต็มไปด้วยดวงดาว
สายลมพัดผ่านเอวิเลน่าที่กำลังพุ่งทะยานผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนพร้อมกับลากเอเลียร์ดไปด้วย
เธอได้ใช้เวทย์น้ำแข็งปิดบาดแผลทั้งสองจุดบนร่างกายเพื่อห้ามเลือดไปแล้วแต่ว่าบาดแผลภายในก็ยังคงอยู่ และหนามจากเถาวัลย์ที่ฝังอยู่ในร่างของเธอนั้นก็มีพิษด้วย หนามพิษนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ในตัวเธอ
เธอได้กินน้ำทิพย์เอลฟ์ที่เป็นยาพิเศษของไฮเอลฟ์ไปแล้วแต่ว่ายาแก้พิษก็ช่วยได้แค่ห้ามไม่ให้พิษกระจายเข้าไปตรงส่วนที่ไม่ได้รับความเสียหายเท่านั้น ฤทธิ์ของยาไม่ได้ครอบคลุมถึงส่วนที่โดนพิษไปแล้ว ซึ่งผลก็คือ มันไม่สามารถถอนพิษออกได้ และหนามพิษก็ยังส่งผลกับความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของเธอด้วย
ในตอนนี้พลังมังกรธรรมชาติของเธอได้หมุนเวียนอยู่ในร่างกายอย่างรวดเร็ว และเนื่องจากบาดแผลของเธอ เธอจึงต้องอดทนกับความเจ็บปวดมหาศาลอยู่ตลอดเวลา
เธอจับเอเลียร์ดเอาไว้ด้วยมือข้างนึงในตอนแรก เอเลียร์ดไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที เขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นที่หลังคอของเธอ เขายื่นมือไปจับมันและรู้ว่ามันคือน้ำ
แล้วมันมาจากไหนหล่ะ?เขาหันไปมองรอบๆอย่างแปลกใจ ด้วยแสงเวทมนตร์ที่ลอยอยู่รอบตัวพวกเขา เขามองเห็นเอวิเลน่าอย่างชัดเจน
ใบหน้าของเธอซีดเผือดเม็ดเหงื่อเย็นๆไหลท่วมหน้าผากของเธอ และสิ่งที่ทำให้เขาตกใจที่สุดก็คือบริเวณหน้าอกของเธอ ที่ซึ่งมีรูใหญ่ๆสองรูอยู่ตรงเสื้อผ้าที่ถูกฉีก ผ้าที่อยู่บริเวณนั้นชุ่มไปด้วยเลือดของเธอ
เอเลียร์ดตกใจกับสภาพของเธอแล้วตะโกนออกมา “นี่ เธอไปได้แผลพวกนี้มาจากไหนกัน? พวกเขาเป็นพรรคพวกของเธอไม่ใช่รึไง?”
ก่อนหน้านี้,เขาได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอกและรู้ว่าพวกเขาต่อสู้กัน และเมื่อตัดสินจากการเคลื่อนไหวของเธอ เขาจึงคิดว่าเธอน่าจะไม่เป็นอะไร เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้
เอวิเลน่าฝืนยิ้มออกมา“ก่อนหน้านี้อะใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว พวกเขาจะมาฆ่าข้าในอีกไม่นานนี้”
ในตอนที่เธอพูดจบเธอก็ไอออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เอเลียร์ดได้กลิ่นธาตุเหล็กจากเลือด และเขาก็เห็นรอยเลือดที่มุมปากของเธอด้วย
เอเลียร์ดตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เขาเคยฟังแวนซ์เล่าเรื่องเกี่ยวกับไฮเอลฟ์อยู่บ้างเป็นครั้งคราวและเข้าใจรูปแบบความคิดของพวกเขาดีพวกไฮเอลฟ์นั้นให้ความสำคัญกับประเพณีและขนบธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาหลายพันปีเป็นหลัก และพวกเขาก็มักจะดัดนิสัยพวกที่ไม่ยอมยึดถือตามพวกเขา
ยกตัวอย่างเช่นครึ่งเอลฟ์ที่เกิดมาจากไฮเอลฟ์กับคนที่ไม่ใช่ไฮเอลฟ์นั้นจะถูกขับไล่ออกจากเกาะรุ่งอรุณ และตัวอย่างนอกจากนี้ก็มีความเป็นอนุรักษ์นิยมของพวกเขารวมทั้งความจริงที่ว่าไฮเอลฟ์จะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดความเป็นไปได้ทั้งหมดที่สามารถทำให้ความสมดุลย์ของกลยุทธ์ในการค้ำจุนทวีปที่พวกเขาคิดกันมาอย่างยากลำบากต้องปั่นป่วนอย่างเช่นลิงค์เป็นต้น นอกจากนี้พวกเขาจะไม่ยกโทษให้กับคนทรยศและผู้ที่ก่อกบฏในหมู่พวกเขาอย่างเด็ดขาดเลยด้วย
การยึดมั่นในประเพณีของพวกเขานั้นสุดโต่งเกินไปหากพวกเขาไม่สามารถแก้ไขความผิดปกติได้ด้วยวิธีปกติพวกเขาก็จะหันไปใช้มาตรการรุนแรงโดยไร้ซึ่งความเมตตา
ดูเหมือนว่าเอวิเลน่าจะไม่มีทางกลับมาคืนดีกับเกาะรุ่งอรุณได้อีกแล้ว
“มีคนตามพวกเรามากี่คน?”เอเลียร์ดถาม เขารู้สึกว่าเหตุการณ์ต่างๆมันผิดเพี้ยนมากเกินไป ในช่วงนี้, เฟิร์ดกับเกาะรุ่งอรุณนั้นไม่ค่อยจะลงรอยกันซักเท่าไหร่ พวกเขามีการปะทะกันในด้านธุรกิจการค้าขายอุปกรณ์เวทมนตร์ เอเลียร์ดคิดว่าถ้าพวกเขาโดนไล่ทัน พวกเขาก็คงหนีจากการเผชิญหน้าไม่ได้
“พวกนั้นมีกันทั้งหมดสามคน”เอวิเลน่าหันไปมองข้างหลังบ้างเป็นครั้งคราว ตอนนี้เธอสามารถสัมผัสถึงออร่าของคนที่ไล่ตามมาได้ พวกเขากำลังไล่ตามมา รวมทั้งอีโลแวนด้วย
แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่อีโลแวนเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานเหมือนกัน ด้วยยาที่เขามีและความช่วยเหลือจากพรรคพวก อีโลแวนจึงสามารถฟื้นฟูความสามารถในการต่อสู้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว
เอเลียร์ดตัวสั่นและถามต่อ“การที่พวกนั้นสามารถจัดการเธอได้ขนาดนี้…ก็แสดงว่าทุกคนอยู่ระดับตำนานหมดเลยสินะ?”
”ใช่แล้ว”
“เธอคิดว่าเธอจะสลัดพวกนั้นพ้นไหม?”เอเลียร์ดพูดออกมาด้วยความใจเย็น
“ข้าก็ไม่มั่นใจเหมือนกันแต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หล่ะนะ…” ก่อนที่เธอจะพูดจบ อยู่ๆร่างของเอวิเลน่าก็เสียสมดุล เธอส่ายไปมาอยู่กลางอากาศเป็นเวลาพักนึงก่อนที่จะกลับมาตั้งตัวได้ เธอเกือบจะชนต้นไม้ที่อยู่ด้านหน้าพวกเขาแล้ว
ด้วยความที่พวกเขาเพิ่งจะเฉียดตายมาเขาจึงถามขึ้นในทันที “เธอบาดเจ็บหนักเอาเรื่องอยู่นะเนี่ย จะไปต่อไหวแน่นะ?”
“ต่อให้ไม่ไหวข้าก็ยังต้องบินต่อไปอยู่ดี ถ้าเกิดว่าพวกนั้นจับเราได้ พวกเราก็จะตาย” เอวิเลน่ากัดฟันพูด
ในตอนนี้เอเลียร์ดสัมผัสได้ถึงออร่าอันแข็งแกร่งที่กำลังใกล้เข้ามาจากด้านหลังพวกเขาเขาพูดอย่างตื่นตระหนก “เธอดูไม่มั่นใจเลยนะว่าเธอจะสลัดพวกนั้นพ้น ทำไมเธอไม่ไปหาที่ซ่อนตัวหล่ะ? บางทีฉันน่าจะสามารถช่วยเธอในเรื่องนี้ได้นะ”
“อย่างเจ้าเนี่ยนะ?”เอวิเลน่าเหลียวมองเอเลียร์ด “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่สามารถหนีข้าได้ด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้เจ้าจะมาช่วยข้าหนีได้ยังไง?”
“มันคนละสถานการณ์กัน”เอเลียร์ดตอบอย่างรวดเร็วและพยายามอธิบาย “ตอนนั้นฉันคิดไม่ถึงนี่ว่าจะเจอกับบุคคลระดับตำนานอย่างเธอ ฉันโดนจับได้ในตอนที่ไม่ทันระวังตัว ถ้าเกิดว่าฉันมีโอกาสเตรียมตัวล่วงหน้า ตอนนั้นเธอคงไม่เจอฉันหรอก”
“ถ้างั้นเจ้ามีแผนยังไงหล่ะ?”เอวิเลน่าเริ่มเชื่อในตัวเขาแล้ว
หน้าผากของเอเลียร์ดเต็มไปด้วยเหงื่อเขาหันไปมองรอบๆและเห็นจุดเขียวเล็กๆสามแห่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขาและมันก็กำลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“ลิงค์ให้รูนสื่อสารกับฉันมาปล่อยฉันออกจากพันธนาการของเธอสิ ด้วยหินรูนนี้ พวกเราจะสามารถหนีจากพวกไฮเอลฟ์ได้”
เอวิเลน่าเงียบไปพักนึงจากนั้นเธอก็ปล่อยเขา “ถ้างั้นเจ้าก็หนีไปเถอะ ข้าไม่อยากให้เจ้าตายไปกับข้าด้วย”
เอเลียร์ดอึ้งไปพักนึง“เธอจะไม่ไปกับฉันหรอ?”
เอวิเลน่าหัวเราะและมองมาที่เขา“เจ้านี่มันโลภมากชะมัด แค่ช่วยตัวเองก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว ตอนนี้เจ้ายังอยากจะพาข้าไปด้วยอย่างงั้นหรอ? อีกอย่างนึง พวกเรายังเป็นศัตรูกันอยู่ นี่มันเป็นโอกาสหนีที่ดีมากเลยนะ”
หลังจากที่พูดจบเธอก็ไอออกมาอีกครั้งอย่างไม่สามารถควบคุมได้และพ่นเลือดออกมาจากปาก เอเลียร์ดตกใจกับภาพที่เห็น อย่างไรก็ตาม, เขารู้ว่าเอวิเลน่านั้นพูดถูก เขาถูกปล่อยจากพันธนาการแล้ว และมันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพาเธอไปกับเขาด้วย
แต่ว่าเอเลียร์ดรู้สึกไม่สบายใจถ้าต้องทิ้งให้เธอเผชิญกับชะตากรรมของตัวเองอยู่ที่นี่
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาไม่มีเวลาคิดซักเท่าไหร่ เขาหยิบหินรูนออกมา โอบเอวิเลน่าเอาไว้และใส่พลังของเขาเข้าไปในหินรูน
พรึ่บ…มีแสงสีขาวอ่อนปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขาและพวกเขาทั้งคู่ก็หายไปในทันที ไม่กี่วินาทีต่อมา พวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในสถานที่ที่ไกลออกไปจากจุดที่พวกเขาอยู่ก่อนหน้านี้ 1,000 ฟุต พวกเขาปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางป่าเขตร้อน
ในตอนที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแสงสีแดงอ่อนก็เปล่งออกมาจากหินรูน มันส่องแสงออกมาปกคลุมต้นไม้และหินที่อยู่รอบตัวของพวกเขาด้วยรูนเวทมนตร์มากมาย รูนกระพริบอยู่พักนึงจากนั้นมันก็หายไป
หลังจากนั้นไม่นานเอวิเลน่าก็สัมผัสได้ว่าคลื่นพลังงานรอบตัวเธอนั้นได้สงบลงแล้ว มันเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่เลย
“มันเกิดอะไรขึ้น?”เอวิเลน่าถามด้วยความตกใจ
หินรูนได้พาพวกเขาหนีมาหนึ่งพันฟุตและสลายคลื่นพลังงานออกไปด้วยในเวลาเดียวกันนอกจากนี้มันยังมีบาเรียโปร่งใสอยู่รอบตัวพวกเขาด้วย หินรูนนี้เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับหนีในอุดมคติจริงๆ
เอเลียร์ดรู้สึกดีใจเล็กน้อย“มันเป็นหินรูนป้องกันที่ลิงค์ให้ฉันมา ฉันกล้าพนันเลยว่าสามคนนั้นไม่มีทางหาที่นี่เจอหรอก”
เอวิเลน่ายังคงทึ่งกับสิ่งนี้อยู่เธอเดินวนรอบรูนบาเรีย และสัมผัสมันอย่างระมัดระวัง ใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจและในที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมา
“ข้าเคยได้ยินมาจากพวกผู้อาวุโสไฮเอลฟ์ว่าลิงค์นั้นเป็นอัจฉริยะในด้านเวทมนตร์อย่างแท้จริงซึ่งข้าไม่เคยเชื่อเรื่องนั้นมาก่อนเลย แต่พอได้เห็นสิ่งนี้ข้าก็กระจ่างแล้วว่าความสำเร็จทางด้านเวทมนตร์ของเขานั้นเหนือกว่าคนอื่นจริงๆ ความสามารถของข้าเทียบกับเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ สามคนนั้นไม่มีทางหาพวกเราเจออย่างแน่นอน”
รูนบาเรียนี้สร้างขึ้นมาจากเวทย์กฎซึ่งรวมไปถึงพลังของกาลเวลาด้วย เธอได้มองดูรูนทุกจุดแล้วและสามารถเข้าใจได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เธอน่าจะต้องใช้เวลาทั้งปีถ้าอยากทำความเข้าใจรูนบาเรียทั้งหมด
เอวิเลน่าคิดว่าไม่ว่าจะเป็นไบรอันหรือว่าพวกเอลฟ์สามคนที่กำลังไล่ตามพวกเธอมาก็คงไม่มีใครสามารถถอดรหัสบาเรียนี้ได้ หรือให้พูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้เอวิเลน่ากับเอลียร์ดปลอดภัยแล้ว
เธอผ่อนคลายช่วงไหล่ด้วยความโล่งอกและนั่นก็ทำให้ความเจ็บปวดแล่นมาจากบาดแผลของเธอ วิสัยทัศน์ของเธอพล่ามัว และโลกรอบตัวเธอก็เริ่มหมุน Aileen-novel
ก่อนที่เธอจะกระแทกกับพื้นเธอเห็นเอเลียร์ดวิ่งมาหาเธอ เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมา แม้ว่าพวกเธอจะเป็นศัตรูกัน แต่เธอก็ไม่รู้สึกกังวลเลยซักนิดในตอนที่เห็นเขาวิ่งเข้ามา ด้วยเหตุผลบางประการ เธอเชื่อมั่นว่าเอเลียร์ดจะไม่ทำร้ายเธอ
ซึ่งมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆก่อนที่เธอจะล้มลง เอเลียร์ดก็มารับตัวเธอเอาไว้ได้ทันเวลา
“ไหวไหม…นี่จะทำอะไรของเธอหน่ะ?” ความเป็นห่วงในน้ำเสียงของเอเลียร์ดได้แปรเปลี่ยนเป็นความสับสนและความโกรธ
สิ่งที่เขาได้รับกลับมาจากเธอไม่ใช่การตอบสนองแต่เป็นคลื่นพลังของเอวิเลน่าที่อยู่ๆก็พุ่งออกมา และมันก็ได้ผนึกพลังของเขาเอาไว้อีกครั้ง
“หึหึ”เอวิเลน่าหัวเราะอย่างชั่วร้ายภายในอ้อมกอดของเอเลียร์ด “เจ้าหนู นี่เป็นบทเรียนสำหรับเจ้า อย่ารู้สึกสงสารศัตรูของตัวเองสิ เอาหล่ะตอนนี้พาข้าไปที่ต้นไม้ตรงนั้นซะ อย่าคิดจะหนีหล่ะ ไม่อย่างนั้นข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง!”
เอเลียร์ดตกตะลึง“นี่เธอยังไม่ยอมล้มเลิกภารกิจอีกหรอ?”
“ไม่อยู่แล้วข้าสัญญากับมอเฟียสเอาไว้ว่าจะพาเจ้าไปทางใต้ ตอนนี้ข้าหันหลังกลับไม่ได้แล้ว ข้าแค่เห็นโอกาส และข้าก็คว้ามันเอาไว้ แถมข้ายังไม่ได้รางวัลของข้าเลย”
ในตอนที่เอวิเลน่ามาถึงต้นไม้เธอก็เอนตัวไปพิง และโดยที่ไม่สนว่ามีเอเลียร์ดอยู่ข้างๆ เธอก็ถอดเสื้อผ้าออกและเผยให้เห็นผิวที่ขาวเนียนราวกับหิมะของเธอ จากนั้นเธอก็เริ่มทำการรักษาแผลที่หน้าอก
เอเลียร์ดหน้าแดงและหันหน้าหนีในทันที
“นี่อย่ามัวยืนนิ่งอยู่สิ มาช่วยข้าซะ ยังมีหนามพิษตกค้างอยู่ที่แผลของข้าอีกหลายจุด ข้าอยากให้เจ้าช่วยเอามันออกให้หน่อย”
ตอนนี้เอเลียร์ดไม่ได้หวังดีกับเธอแล้วหลังจากสิ่งที่เธอได้ทำกับเขาเขาตอบอย่างเย็นชา “ไหนบอกว่าเป็นนักเวทย์ที่เก่งกาจไง? จัดการเองสิ”
“มาช่วยข้าเร็วๆเถอะหน่าไม่อย่างนั้นข้าจะตายจริงๆนะ แถมข้าก็ไม่คิดจะตายคนเดียวด้วย” เอวิเลน่าพูด
เอเลียร์ดไม่มีทางเลือกเขาหันมาและพยายามตั้งสติไม่ให้เคลิ้มไปกับเรือนร่างขาวบริสุทธิ์ของเธอ จากนั้นเขาก็เดินเข้ามา “ฉันต้องทำอะไรบ้าง?”
“ก่อนอื่นก็ทำมือเจ้าให้สะอาดก่อนจากนั้นก็สอดมือเข้าไปในบาดแผลของข้าและดึงหนามออกมา”
เอเลียร์ดก้มลงมามองบาดแผลและตกใจกับรูที่เต็มไปด้วยเลือดทั้งสองจุดนี้มันใหญ่พอๆกับกำปั้น เขาตกตะลึงในทันที “นี่เธอบ้าไปแล้วรึไง? ถ้าฉันทำตามที่บอกเธอได้ตายจริงๆแน่ ให้ฉันใช้มือแห่งนักเวทย์ไม่ดีกว่าหรอ?”
“ไม่ได้ผลหรอกหน่าหนามพวกนี้ต้านทานเวทย์ทั้งหมดที่ต่ำกว่าเลเวล 10 เร็วๆเข้าสิ ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ”
เอเลียร์ดไม่เหลือทางเลือกอื่นและทำตามคำสั่ง
ในตอนที่เขาสอดมือเข้าไปในบาดแผลเอวิเลน่าก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เธอดึงรากไม้ที่อยู่ใกล้ๆออกมากัด เหงื่อที่หน้าผากของเธอไหลพรากเหมือนกับน้ำตก และร่างกายของเธอก็สั่นเล็กน้อยจากความเจ็บปวด
เอเลียร์ดเองก็ตัวสั่นเหมือนกันนี่มันหนักเกินไปสำหรับเขา เขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน
“เลิกอืดอาดและรีบๆทำให้เสร็จซะ!ข้าทนไปมากกว่านี้ไม่ไหวแล้วนะ” เอวิเลน่าเร่ง
เอเลียร์ดรีบสงบสติอารมณ์ของตัวเองและดึงหนามออกมาทีละชิ้นหนามแต่ละชิ้นนั้นยาวอย่างน้อย 5 นิ้ว และมันก็มีเงี่ยงด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้เลือดกับเนื้อของเธอถูกเฉือนออกมาในตอนที่เขาดึงออก มันเป็นภาพที่น่ากลัวมาก
เขามองไปที่เอวิเลน่าและเห็นว่าเธอกัดรากไม้เอาไว้อย่างรุนแรงตลอดกระบวนการนี้ดวงตาของเธอนั้นเหลือกขึ้นไปด้านบน
ในตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าควรรู้สึกยังไงดี ความเคียดแค้นของเขาที่มีต่อเธอค่อยๆจางหายไปและมันก็ถูกแทนที่ด้วยความเคารพและชื่นชมในความอดทนของเธอ
เธอนั้นเป็นผู้หญิงที่น่าเหลือเชื่อจริงๆถ้าเกิดว่าเธออยู่ฝั่งเฟิร์ดไม่ใช่ฝั่งสมาคมหล่ะก็นะ….เอเลียร์ดถอนหายใจและกลับมาดึงหนามต่อ
หลังจากที่พยายามมาอย่างเนิ่นนานในที่สุดเอเลียร์ดก็ดึงหนามออกจากร่างของเอวิเลน่าจนหมด
“เธอไหวมั้ย?”เขาถาม
ไม่มีการตอบสนองกลับมาเอเลียร์ดเงยขึ้นไปมองหน้าเธอและเห็นว่าเธอหมดสติไปแล้ว เขาตกใจ และพยายามที่จะดูว่าเธอหายใจรึเปล่าด้วยการเอามือไปอังที่จมูก ลมหายใจอ่อนมาก จากนั้นเขาก็เอาหูไปแนบที่หน้าอกของเธอเพื่อฟังเสียงเต้นของหัวใจ ซึ่งมันก็อ่อนมากเหมือนกัน เธอน่าจะหมดสติไปเพราะว่าความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
เอเลียร์ดถอนหายใจออกมาณ จุดๆนี้ เขาไม่รู้ว่าเขาควรทำยังไงดี พลังของเขาถูกเอวิเลน่าผนึกเอาไว้ ซึ่งมันทำให้เขาใช้อุปกรณ์มิติไม่ได้เลย ตอนแรกเขาคิดว่าจะใช้รูนสื่อสารเพื่อรายงานสถานการณ์ให้ลิงค์ฟัง แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถเอาหินรูนออกมาจากอุปกรณ์มิติได้ด้วยซ้ำ
หลังจากที่คิดอยู่พักใหญ่ๆเขาก็สวมเสื้อผ้าคืนให้เอวิเลน่า เขาเคยได้ยินมาว่าผู้ป่วยที่อดทนต่อความเจ็บปวดและเสียเลือดไปมากนั้นจะอ่อนไหวต่อความหนาวมากๆ ดังนั้นเขาจึงถอดผ้าคลุมของตัวเองออกและเอามาคลุมร่างของเธอเอาไว้อีกชั้นนึง
จากนั้นเขาก็รอ
ไม่นานนักเวลาก็ล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืน เอเลียร์ดที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันได้นั่งพิงต้นไม้และกำลังจะผลอยหลับไป แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ตื่นขึ้นด้วยเสียงผิดปกติ
เขาเงี่ยหูฟังและในตอนนั้นเอง ความกลัวก็เข้ามาครอบงำเขา มันคือพวกไฮเอลฟ์ พวกนั้นสะกดรอยตามพวกเขามาจนถึงที่นี่ได้โดยที่ไม่ได้ใช้เวทมนตร์ช่วยเลย