Advent of the Archmage - 538: ตบตา (2)
Chapter
วันนี้พระอาทิตย์ส่องแสงอย่างเจิดจ้าในขณะที่ลมทะเลพัดเข้ามาอย่างอ่อนโยน
นกนางนวลโบยบินอยู่บนท้องฟ้าพวกมันกำลังแย่งเศษอาหารที่แขกในโรงแรมใกล้ๆโยนออกมา มีเด็กกลุ่มนึงเล่นซุกซนกันอยู่ที่จตุรัสเปิดของท่าเรือ ใกล้ๆจุดจอดเรือ, เหล่าคนงานกำลังตะโกนเรียกหากันในขณะที่พวกเขากำลังวุ่นอยู่กับการขนสินข้าขึ้นลงเรือ และที่ระยะไกลออกไป, ก็มีร้านค้าที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างตั้งอยู่
มันคือวันธรรมดาวันหนึ่งที่เหมือนกับวันอื่นๆ
ในตอนกลางวันเรือค้าขายที่ดูธรรมดาลำนึงได้ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า ซึ่งมันกำลังแล่นเข้ามาที่ท่าเรือเฟิร์ดอย่างช้าๆ
เรือค้าขายของไฮเอลฟ์นั้นดูเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ในท่าเรือแม้ว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติที่ภายนอก แต่เรือลำนี้ก็แตกต่างจากเรือลำอื่นที่เคยมายังสถานที่แห่งนี้
โครงสร้างภายนอกของเรือค้าขายและบนดาดฟ้าเรือดูปกติดี แต่อันที่จริงแล้ว ที่ใต้ดาดฟ้านั้นมีพื้นที่กว้างมาก มีพื้นที่เพียงแค่เล็กน้อยที่สำรองเอาไว้สำหรับวางของ และพื้นที่ที่เหลือนั้นก็เต็มไปด้วยผู้โดยสาร มันมีพื้นที่กว้างพอที่จะเป็นห้องโถงใหญ่ได้เลย
มันเป็นเวลามื้อกลางวันภายในห้องโถงใหญ่ของเรือ ไฮเอลฟ์แปดคนกำลังนั่งอยู่รอบโต๊ะยาว สามคนในนั้นเป็นระดับตำนาน ได้แก่ไบรอัน ซอนย่า มิโลส ซึ่งพวกเขานั่งอยู่ตรงกลาง
ไฮเอลฟ์ที่เหลืออีกห้าคนเองก็ไม่ใช่ระดับธรรมดาหนึ่งในพวกเขามีไฮเอลฟ์หนุ่มที่มีหน้าตาคล้ายกับเจ้าหญิงมิลด้าและมีอายุพอๆกับเธอ เขาคือเจ้าชายฟิลลิป ที่เคยถูกลิงค์ช่วยเอาไว้ครั้งนึง ส่วนอีกสี่คนที่เหลือรอบๆเขาก็คือนักการทูตและนักต่อรองที่เก่งที่สุดในเกาะรุ่งอรุณ
ในตอนที่ท่าเรือเฟิร์ดปรากฏขึ้นเสียงตะโกนเรียกของลูกเรือก็ดังมาจากดาดฟ้า “องค์ชายครับ เฟิร์ดอยู่เบื้องหน้าพวกเราแล้ว”
ในตอนที่ได้ยินเสียงไบรอันก็หันไปหาซอนย่ากับมิโลส “ได้เวลาแล้ว ไปเตรียมตัวซะ”
“ค่ะ/ครับท่านนักพยากรณ์” นักเวทย์หนุ่มสาวทั้งสองเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากของพวกเขา จากนั้นก็ลุกจากที่นั่ง และด้วยการขยับเล็กน้อย ร่างของพวกเขาก็กลายเป็นหมอกสีเขียวและหายไปจากห้องเรือ
เรือค้าขายนั้นก็เป็นแค่ฉากบังหน้าสิ่งที่พวกเขาขนมาจริงๆก็คือพวกนักต่อรองต่างหากหล่ะ นอกจากนี้ยังมีนกกระจอกวายุเงินอีกหกลำจอดรออยู่ห่างจากเรือค้าขายไปอีกหลายพันฟุต ถ้าเกิดว่ามีอะไรผิดปกติ เวทย์ของนกกระจอกวายุเงินก็จะถล่มท่าเรือเฟิร์ดเป็นการตอบโต้ ซึ่งนั่นก็จะทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องบาดเจ็บสาหัส
แต่ก็แน่นอนว่านั่นเป็นมาตรการสุดท้ายถ้าเกิดว่าเฟิร์ดยอมรับเงื่อนไขของพวกเขาแต่โดยดี พวกเขาก็จะไม่ต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีรุนแรง
มีอยู่สองเหตุผลที่ไฮเอลฟ์เลือกแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างเฟิร์ดด้วยสันติวิธี
หนึ่งคือกองทัพของเทพแห่งการทำลายนั้นกำลังรวบรวมกำลังพลอยู่ที่ทางเหนือ และเกาะรุ่งอรุณก็ต้องการให้มนุษย์เป็นปราการด่านแรกในการป้องกันกองทัพของเทพแห่งการทำลาย
สองคือเฟิร์ดนั้นมีกองทัพที่แข็งแกร่งกว่า 30,000 คน และยังมีบุคคลระดับตำนานคอยควบคุมพวกเขาอีก พวกเขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อกองกำลังมหาศาลระดับนี้ได้ และถึงแม้ว่าไฮเอลฟ์อยากจะลงมือกับเฟิร์ด พวกเขาก็ยังต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนถึงจะมาเผชิญหน้าได้
เรือค้าขายยังคงแล่นต่อไปและเจ้าชายฟิลลิปเองก็พึ่งรับประทานอาหารเสร็จเหมือนกัน
เขาเคยมาที่เมืองฮอทสปริงในตอนนั้น ลิงค์เป็นคนช่วยเขาเอาไว้ เขารู้สึกขอบคุณในสิ่งที่ลิงค์ทำเป็นอย่างมาก จนถึงตอนนี้ เจ้าชายฟิลลิปก็ยังคงรู้สึกเคารพลิงค์
มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆแต่ว่าความดีกับความชั่วนั้นไม่เคยมีความหมายเมื่อมันเป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์
“ท่านนักพยากรณ์ท่านคิดว่าเขาจะยอมส่งตัวเธอมาไหม?” ฟิลลิปถาม แต่ลึกๆในใจนั้นเขาก็รู้ดีว่าลิงค์จะต่อต้าน เขายังคงจำตอนที่พวกเขาพบกันในตลาดเวทมนตร์ได้ ตอนนั้น ลิงค์ได้เผชิญหน้ากับยอดฝีมือของดาร์คเอลฟ์สามคนด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีความตื่นตระหนกเลย ซึ่งเขาก็จัดการทั้งสามคนได้ โดยที่ตายไปสองคนและอีกหนึ่งคนหนีหางจุกตูด
มันไม่มีทางเลยที่คนจิตใจเข้มแข็งอย่างลิงค์จะยอมก้มหัวให้คนอื่นง่ายๆ
แม้กระทั่งไบรอันก็ไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเขาเงียบไปพักนึง จากนั้นก็พูดขึ้นมา “ถ้าข่าวเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของกองทัพเฟิร์ดตรงตามที่พวกเราได้ยินมา ลิงค์ก็อาจจะยอมส่งตัวเอวิเลน่าให้กับพวกเรา เขาเป็นคนฉลาด และท่าเรือนี้ก็เป็นหัวใจสำคัญของเฟิร์ด”
ฟิลลิปไม่ใช่คนอ่อนต่อโลกเหมือนเมื่อก่อนแล้วเขาถอนหายใจ “ข้าก็หวังให้เป็นแบบนั้นนะ”
หลังจากที่เงียบไปเขาก็ถามอีกครั้ง “จะเกิดอะไรขึ้นกับเอวิเลน่าหรอ? เธอจะถูกประหารจริงๆใช่ไหม?”
แม้ว่าเอวิเลน่าจะเป็นครึ่งเอลฟ์แต่เธอก็อาศัยอยู่ในพระราชวังไฮเอลฟ์ ตั้งแต่ตอนที่เธอยังเด็ก ฟิลลิปก็รู้จักกับเธอมาตั้งแต่ตอนที่เขาจำความได้แล้ว ภายในบรรดาเหล่าเจ้าหญิงไฮเอลฟ์ เอวิเลน่าเป็นคนที่มีชีวิตชีวาและมีอารมณ์ขัน ในตอนที่ฟิลลิปยังเด็กเขาชอบตามเธอไปทุกที่
พวกเขาเล่นซนด้วยกันมาหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นตอนที่พวกเขาโยนรังผึ้งเข้าไปในป้อมการ์ดในขณะที่การ์ดหลวงกำลังนอนกลางวันอยู่ แล้วยังมีครั้งหนึ่งที่พวกเขาเทฉี่ยูนิคอร์นลงไปในถังไวน์ที่อยู่ในห้องเก็บไวน์ด้วย และงานเลี้ยงในวันต่อมา แขกส่วนใหญ่นั้นรู้สึกว่ารสชาติของไวน์แปลกไป แต่พวกเขาก็กินจนหมดแก้วด้วยความสุภาพ รอยยิ้มกว้างเกิดขึ้นบนหน้าของฟิลลิปทุกครั้งที่เขาคิดถึงการแกล้งคนอื่นที่เขามักจะทำกับเอวิเลน่าเป็นประจำ
อย่างไรก็ตาม,ตอนนี้ พวกเขาทั้งคู่โตแล้ว และด้วยพลังที่เธอมี เอวิเลน่าก็ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของเกาะรุ่งอรุณอย่างแท้จริง เธอถึงกับจะทรยศเกาะรุ่งอรุณด้วยซ้ำ ซึ่งในฐานะเจ้าชายไฮเอลฟ์นั้น ฟิลลิปได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากแม่ของเธอว่าให้พาคนทรยศกลับไปที่เกาะ
พี่เอวี่ทำไมพี่ถึงทำแบบนี้หล่ะ? ฟิลลิปถอนหายใจ
อันที่จริงเขารู้คำตอบของคำถามนี้ดีอยู่แล้ว แต่ว่าเขาไม่สามารถพูดออกมาได้ เขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
ไบรอันเองก็มีความรู้สึกขัดใจกับเรื่องนี้เพราะความเป็นครึ่งเอลฟ์ของเธอ ทำให้เอวิเลน่าถูกเลือกปฏิบัติจากไฮเอลฟ์คนอื่นๆ ในฐานะที่เคยเป็นนักเวทย์เผ่ามนุษย์มาก่อน ชีวิตของเขาเองก็ไม่ง่ายเหมือนกัน เขาเข้าใจดีกว่าคนอื่นว่าเอวิเลน่ากำลังเจอกับอะไร หลานสาวของเขาเองก็สูญเสียไปมากเหมือนกัน
หลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ๆในที่สุดไบรอันก็พูดขึ้น “อาจจะไม่ถึงขั้นนั้นก็ได้ ในตอนที่พวกเราพาเธอกลับไปแล้ว ผู้อาวุโสจะเป็นคนตัดสินชะตากรรมของเธอเอง”
นี่ก็หมายความว่าความตายที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงนั้นกำลังรอเอวิเลน่าอยู่ที่เกาะรุ่งอรุณพวกผู้อาวุโสได้ทำการตัดสินใจแล้ว และพวกเขาก็สรุปว่าเอวิเลน่าจะต้องโดนโทษประหารถ้าเกิดว่าพวกเขาพบหลักฐานการทรยศเกาะรุงอรุณของเธอ ซึ่งเอวิเลน่าก็ได้ทำการทรยศจริงๆและเกือบจะฆ่าอีโลแวนด้วย
พวกเขากลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ไอลีนโนเวล
หลังจากนั้นไม่นานฟิลลิปก็ถามขึ้น “มันจะกลายเป็นสงครามระหว่างพวกเรากับเฟิร์ดรึเปล่านะ?”
ครั้งนี้ไบรอันตอบในทันทีเสี่ยงของเขาไม่สั่นเลยในขณะที่พูด “คงจะเป็นอย่างนั้น”
”ทำไมท่านถึงคิดงั้นหล่ะ?”
ไบรอันคิดอยู่พักนึงจากนั้นเขาก็เลือกที่จะตอบด้วยการอุปมา “ถ้าเปรียบฟิรุแมนเป็นภูเขา พวกเราไฮเอลฟ์ก็เป็นเสือที่อาศัยอยู่ในนั้น ก่อนที่เฟิร์ดจะรุ่งเรือง เหยื่อทุกตัวที่อยู่บนภูเขาจะต้องเป็นของเรา โลกทั้งใบเป็นของเรา พวกเราทั้งรวยและสงบสุขมาก แต่ตอนนี้ มีเสืออีกตัวปรากฏตัวขึ้นในภูเขาลูกเดียวกัน ซึ่งเสือทั้งสองตัวนี้จะต้องสู้กันเพื่อแย่งอาหารไปจนกว่าจะมีตัวใดตัวหนึ่งหิวตาย”
ฟิลลิปพยายามจะโต้แย้ง“แต่ว่าบนเกาะรุ่งอรุณมีประชากรแค่สามล้านคนเองนะ นอกจากนี้ของที่พวกเรานำเข้ามาก็กองสูงอยู่ที่โกดังเป็นประจำทุกปี อาหารที่เกินมาส่วนใหญ่จะถูกทิ้งให้เน่าเสีย มันเห็นได้ชัดเลยว่าทรัพยากรประจำปีของพวกเรานั้นสูงเกินความต้องการอย่างมาก”
ไบรอันส่ายหัวและยิ้มให้“สำหรับพวกเราอาจจะพอ แต่สำหรับเผ่ามนุษย์นั้น มันไม่มีคำว่าพอหรอก เฟิร์ดเป็นตัวอย่างที่แสดงความเป็นเผ่ามนุษย์ออกมาอย่างชัดเจน เสือตัวนี้มีความอยากอาหารเป็นอย่างมาก มันจะไม่มีวันหยุดหิว ในตอนที่มันโตไปจนถึงระดับนึงแล้ว โลกทั้งใบก็อาจจะไม่พอที่จะดับความกระหายของสัตว์ตัวนี้ได้ และก็จะไม่มีใครสู้กับมันได้ด้วย และในตอนที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เผ่าของเราก็จะตกอยู่ในการควบคุมของมนุษย์”
เผ่ามนุษย์ได้ปกครองดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในฟิรุแมนพวกเขามีประชากรกว่า 300 ล้านคน ซึ่งมากกว่าไฮเอลฟ์หลาย 100 เท่า และถ้าเกิดว่าพวกเขาสามารถพัฒนาได้อย่างอิสระ มันก็จะไม่ใช่แค่หายนะของไฮเอลฟ์ แต่รวมถึงเผ่าอื่นๆในฟิรุแมนด้วย
ไม่ใช่แค่ไฮเอลฟ์จะไม่สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างกลมกลืนเท่านั้นแต่พวกเขายังไม่สามารถรับผลกระทบจากการที่มนุษย์เจริญรุ่งเรืองได้ด้วย ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงพยายามรักษาสมดุลอำนาจระหว่างอาณาจักรมาเป็นเวลาช้านาน
ตอนนี้เจ้าชายฟิลลิปได้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเผ่าแล้ว
เขามองไปที่ท่าเรือจากจุดที่เขาอยู่ ท่าเรืออันสวยงามที่ถูกสร้างขึ้นด้วยหินสีขาวนี้ได้เข้ามาอยู่ตรงหน้าเขา เรือค้าขายกว่า 100 ลำได้จอดเทียบท่าอยู่จนเหมือนกับป่าเสากระโดงเรือที่ลอยอยู่บนน้ำ มีประภาคารที่สวยงามตั้งอยู่ห่างออกไป มีบ้านตั้งเรียงกันเป็นแถวอยู่รอบๆประภาคารนั้นในขณะที่ถนนก็เต็มไปด้วยผู้คน และที่ระยะห่างออกไปอีก ก็ยังมีบ้านที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างด้วย
ทั่วทั้งท่าเรือเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาซึ่งเป็นพลังงานที่หาไม่ได้ในเกาะแห่งรุ่งอรุณ
ท่าเรือแห่งนี้กว้างขวางมากบางทีน่าจะกว้างกว่าโมโนซอน, ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของเกาะรุ่งอรุณถึง 3 เท่าเลยด้วยซ้ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลาในการสร้างเพียงแค่สองปีเท่านั้น
ในตอนนั้นเองฟิลลิปก็รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่มนุษย์มีต่อพวกเขา
“ท่านนักพยากรณ์ถ้าพวกเราทำสงครามกับพวกเขา พวกเราจะชนะใช่ไหม?” ฟิลลิปถาม
ไบรอันมองไปที่ท่าเรือและพึมพำเบาๆจากนั้นเขาก็พูดต่อ “ข้าก็พูดได้ไม่เต็มปากหรอก แต่เท่าที่พวกเรารู้ในตอนนี้ก็คือพวกเราแข็งแกร่งกว่าเฟิร์ดมาก และพวกเราก็มีตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ที่ดีกว่ามนุษย์ด้วย แต่ช่างเถอะ เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า เรือเข้าเทียบท่าแล้ว ในตอนที่ท่านเจอกับลอร์ดเฟิร์ด จำไว้ว่าอย่าเผยจุดอ่อนให้เห็น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะคอยอยู่ข้างๆท่านเอง”
“ข้าเข้าใจแล้ว”เจ้าชายฟิลลิปพยักหน้า เขาทำใจให้เย็นลง แล้วลุกขึ้นปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ไบรอันเดินตามเขาไป จากนั้นพวกนักการทูตก็เดินตามพวกเขาไปอีกที
ในตอนที่เรือเข้าเทียบท่าพวกไฮเอลฟ์ก็ตรงไปที่สำนักงานบริหารของท่าเรือเพื่อแสดงเอกสารให้ดู ในตอนที่เจ้าหน้าที่ยืนยันแล้วว่าเป็นเจ้าชายไฮเอลฟ์จริงๆ พวกเขาก็เรียกรถม้าที่หรูหรามาให้ ซึ่งมันจะขับตรงไปยังเมืองมอดไหม้ในทันที
เจ้าชายฟิลลิปกับไบรอันนั้นอยู่ในรถม้าคันเดียวกันเจ้าชายมองออกไปนอกหน้าต่าง มีถนนที่กว้างขวางและราบเรียบอยู่เบื้องหน้าพวกเขา เขาพูดพึมพำกับตัวเองด้วยความตกใจ “เขาคิดเอาไว้แล้วสินะว่าพวกเราจะต้องมา”
มันไม่มีทางเลยที่จะเตรียมการได้ดีขนาดนี้ถ้าเกิดว่าเขาเพิ่งรู้เรื่องอย่างกระทันหัน
ไบรอันยังคงไม่สะทกเทือนกับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ของพวกเขา“อย่าคิดมากเลย ยังไงซะที่นี่ก็เป็นดินแดนของเขา เขาน่าจะรู้อยู่แล้วหล่ะว่าพวกเรากำลังมา มันไม่มีเรื่องอะไรให้ตกใจหรอก”
ฟิลลิปพยักหน้าและพยายามทำใจให้สงบ
…
ในตอนที่รถม้าของไฮเอลฟ์มาถึงเมืองมอดไหม้ลิงค์ แวนซ์แล้วก็คนอื่นๆ กำลังทำการปรับปรุงบ้านเวทมนตร์ในขั้นสุดท้ายอยู่อยู่
มีบ้านเวทมนตร์ทั้งหมด13 หลัง พวกมันถูกสร้างขึ้นมาอย่างเร่งรีบและกระจัดกระจายอยู่ทั่วเมืองมอดไหม้ บ้านแต่ละหลังนั้นเต็มไปด้วยนักเวทย์จำนวนมาก พวกเขาทุกคนถูกสั่งให้ใส่พลังของตัวเองลงไปในอุปกรณ์ไร้กาย แถมบ้านเวทมนตร์นั้นยังปกปิดออร่าของพวกเขาเอาไว้ด้วย มีเพียงแค่ออร่าของพลังระดับตำนานเท่านั้นที่แผ่ออกมาสู่ภายนอก
ที่ระยะไกลออกไปมันดูเหมือนกับว่าบ้านแต่ละหลังนั้นมีบุคคลระดับตำนานอาศัยอยู่
10วินาทีต่อมา ลิงค์ก็เริ่มรวบรวมผลการทดลองของพวกนักเวทย์
“บ้านเวทมนตร์หมายเลข1 ไม่มีปัญหา”
“หมายเลข2 ไม่มีปัญหา”
“พลังแสงอรุณรั่วไหลออกมาจากบ้านหมายเลข3 กำลังทำการปกปิดพลัง”
”หมายเลข4…”
จากบ้านทั้งหมด13 หลัง มีเพียงแค่ 2 หลังเท่านั้นที่มีรายงานเกี่ยวกับการทำงานผิดปกติและถูกบังคับให้ปิดการใช้งาน ในอีกด้านนึง ที่เหลืออีก 11 หลังนั้นสามารถใช้งานได้และแสดงผลออกมาตามที่ลิงค์คาดหวังเอาไว้
“ผู้เชี่ยวชาญระดับตำนาน13 คน (บ้าน 11 หลังบวกลิงค์แล้วก็เอวิเลน่า) น่าจะพอทำให้พวกไฮเอลฟ์หวาดกลัวได้แล้วนะ!” แวนซ์หัวเราะออกมาดังลั่น
อ้างอิงจากเอวิเลน่าตอนนี้ไฮเอลฟ์มีระดับตำนานอยู่ 5 คน ซึ่ง 4 คนในนั้นพึ่งจะเข้าสู่ระดับตำนาน พวกเขาคงจะมั่นใจในตัวเองมาก แต่ตอนนี้ มีผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานโผล่ขึ้นมาในเฟิร์ดถึง 13 คน ซึ่งมันน่าจะมากกว่าที่พวกไฮเอลฟ์คาดการณ์เอาไว้!
ผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานนั้นไม่ใช่คนที่ควรไปแหย่เล่นด้วยไม่ว่าจะเป็นใครก็กลัวพลังของพวกเขา