Advent of the Archmage - 562: เทพแสงจันทร์ ตอนสามทุ่ม
ทุ่งหญ้าตอนกลางคืน
กองคาราวานรีบเดินทางกลับไปยังอาณาจักรนอร์ตันแต่ว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เวลาประมาณตี3 ทหารรับจ้างได้วิ่งกลับมาหาหัวหน้าของเขาจากถนนข้างหน้า เขาดูตื่นกลัว ราวกับว่าเขาพึ่งไปเห็นอะไรที่ไม่สามารถอธิบายได้
“หัวหน้าที่ข้างหน้ามีปัญหาครับ”
หัวหน้าทหารรับจ้างมิโร่ ดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อน อากาศติดพิษของเขานั้นได้หายไปโดยสิ้นเชิง เขาได้ฟื้นฟูกำลังของเขาเกือบทั้งหมดแล้ว
เมื่อได้ยินอย่างนี้มิโร่ก็ขมวดคิ้ว เขามองไปรอบๆและพูดออกมาด้วยเสียงเบาๆ”อย่าพูดออกมาดัง พวกเราไม่ต้องการให้เรื่องนี้หลุดออกไป”
เขากลัวว่าสิ่งนี้จะทำให้เกิดความวิตกกังวลในหมู่พ่อค้า
ทหารรับจ้างพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำและเร่งรีบ”หัวหน้ามีอะไรบางอย่างปิดทางข้างหน้าของเราเอาไว้ มันกว้างและมองไม่เห็น แต่มันดูเหมือนกับเป็นกำแพง กำแพงที่ใหญ่มากๆ”
มิโร่เบิกตากว้างด้วยความที่มีประสบการณ์มากกว่าทหารรับจ้างธรรมดา เขาจึงพอจะเข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ บางทีมันน่าจะเป็นกำแพงเวทมนตร์ที่พวกมาสเตอร์เป็นคนสร้าง ตอนนี้น่าจะกำลังมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
มิโร่รู้สึกไร้พลังเมื่อเจอกับเรื่องพวกนี้เมื่อเทียบพลังกับพวกมาสเตอร์ที่อยู่ในทวีปแล้ว พลังของเขาก็เป็นแค่เศษหินที่อยู่ใกล้หินก้อนใหญ่ ถ้าเกิดว่าหินก้อนใหญ่ตัดสินใจจะกลิ้งมาทับเขา เขาก็คงจะถูกบดขยี้
พอรู้ว่าไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้เขาก็ไปหาหัวหน้าของบริษัทโลกาสีชาดและอธิบายสิ่งที่ทหารรับจ้างพบให้ฟัง
หัวหน้าบริษัทนั้นเป็นพ่อค้าและเป็นคนธรรมดา,เขาเองก็ได้เห็นและได้ยินอะไรมามากจากการเดินทางของเขา ในตอนที่เขาฟังคำอธิบายของมิโร่ สีหน้าของเขาก็ซีดเผือด เขาเงียบไปพักนึง ก่อนที่จะพูดออกมาในที่สุด “มิโร่ เจ้าคิดว่าพวกเราควรทำยังไงกันต่อดี?”
มิโร่คิดเอาไว้แล้วว่าพวกเขาควรจะทำยังไงกันต่อเขาพูด “พวกเราไม่มีทางเทียบฝีมือกับมาสเตอร์เหล่านี้ได้ครับ สิ่งเดียวที่พวกเราทำได้ในตอนนี้ก็คืออย่าไปโดนลูกหลงด้วย ข้าได้ยินมาว่า ในตอนที่มาสเตอร์ระดับตำนานสองคนปะทะกัน คลื่นกระแทกที่พวกเขาปล่อยออกมาจะมีระยะไกลกว่า 10 ไมล์ ใครก็ตามที่อยู่ในระยะจะสลายไปในทันที ข้าคิดว่าทางเลือกที่ดีที่สุดของเราในตอนนี้ก็คือ หาพื้นที่ต่ำๆเพื่อทำการซ่อนตัว ถ้าหาถ้ำได้ก็ยิ่งดี จะได้ไปซ่อนข้างในแล้วปิดทางเข้าด้วยต้นกก ด้วยวิธีนี้ พวกเราก็จะสามารถหลบจากพายุที่กำลังจะมาได้ครับ”
หัวหน้าบริษัทไม่มีอะไรคัดค้านเขารู้สึกว่าคำแนะนำของมิโร่มีเหตุผล “โอเค ถ้างั้นทำตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน” เขาพูด
มิโร่เริ่มเตรียมการทันทีไม่นานนัก พวกทหารรับจ้างก็แยกกันไปหาสถานที่ซ่อนตัวที่เหมาะสม พวกพ่อค้าต่างก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้, แต่ตอนนี้มันดูไม่เหมือนกับมีอันตรายเลย กองคาราวานจึงเดินทางไปตามเส้นทางของพวกเขาต่อ หลังจากเดินทางไปได้กว่า 3,000 ไมล์ ทุกคนก็เห็นกำแพงล่องหนที่ทหารรับจ้างบอก มันมีสัมผัสที่นุ่ม ยังไงก็ตาม, กำแพงจะแข็งขึ้นในตอนที่ออกแรงใส่ ไม่ว่าจะผลักมันแรงเท่าไหร่ กำแพงก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลย
ทุกคนสามารถเห็นอีกฝั่งนึงของกำแพงได้แต่ว่ามันไม่มีทางที่จะเดินเข้าไปได้ ทุกอย่างดูแปลกประหลาดมาก
มีทั้งเสียงตะโกนและเสียงร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวจากกลุ่มพ่อค้ายังไงก็ตาม พวกเขาส่วนใหญ่นั้นไม่ได้พูดอะไร สีหน้าของพวกเขาซีดและเตรียมใจพร้อมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
มิโร่ยังอยู่ในคาราวานอย่างน้อยตัวตนของเขาก็ยังทำให้พวกพ่อค้ารู้สึกปลอดภัย หัวหน้าทหารรับจ้างนั้นไม่ได้มีท่าทีไม่สบายใจเหมือนกับคนอื่น เขาดูมั่นใจว่าเขาจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนที่พายุมาถึงได้ การมีอยู่ของมิโร่นั้นคือสิ่งเดียวที่ทำให้กองคาราวานไม่ตกอยู่ในความอลหม่าน
ในขณะที่ทุกคนกำลังรอให้ทหารรับจ้างกลับมารายงานสถานการณ์อย่างเงียบๆทันใดนั้นเอง แสงสีเขียว 3 จุดก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
พวกมันพุ่งมาทางกองคาราวานด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
ในตอนแรกลำแสงพุ่งผ่านกองคาราวานไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ยังไงก็ตาม อยู่ๆพวกมันก็วกกลับมาและลงมาอยู่เบื้องหน้าเหล่าพ่อค้าด้วยร่างคนสวมฮู้ด 3 คน
หนึ่งในพวกเขาเดินฝ่าฝูงชนมาหามิโร่คนๆนั้นมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท่าและจากนั้นก็ถามขึ้นมา “เจ้าเจอมนุษย์สัตว์พิษ และเจ้าก็ติดพิษมา ทำไมเจ้าถึงไม่แสดงอาการหล่ะ?”เสียงนั้นสดใสเหมือนกับกระดิ่ง มันเป็นเสียงของผู้หญิง
มิโร่อยากจะถามว่าพวกเขาเป็นใครแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ในตอนที่ผู้หญิงคนนี้ถามคำถามเขา เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้เลย เขาพยักหน้าและพูด “ครับ ข้าติดพิษจริงๆ แต่หลังจากนั้นข้าก็หายดี”
“ได้ยังไงกัน?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันอยู่ๆก็มีแสงจันทร์ส่องลงมาจากฟากฟ้า และจากนั้นข้าก็รู้สึกดีขึ้น” มิโร่พูด
แสงจันทร์หรอ?บุคคลสวมฮู้ดพูดซ้ำในใจอย่างประหลาดใจ ทันใดนั้นเอง เธอก็เอาหนามแทงแขนมิโร่ก่อนที่เขาจะได้ตอบสนอง
มีเลือดสดๆเปื้อนอยู่ที่ปลายหนามผู้หญิงคนนั้นเลียมันและจากนั้นก็เงียบไป 10 นาทีต่อมาเธอก็พูดต่อ “ข้าต้องขอยืมบางอย่างจากเจ้าหน่อยนะ” “อะไรหรอครับ…ท่านต้องการอะไร?”มิโร่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“ข้าอยากจะขอยืมชีวิตของเจ้าซักหน่อยและแน่นอนว่า, เจ้าไม่ได้อยู่ในจุดที่สามารถปฏิเสธได้” เธอสะบัดมือ ในตอนนั้นเอง หมอกสีเขียวก็ปรากฏขึ้นเหนือกองคาราวาน โดยที่ไม่มีการแจ้งเตือน หมอกก็ลงมาใส่ทุกคน พวกพ่อค้าเริ่มไออย่างควบคุมไม่ได้ 10 วินาทีต่อมา หมอกสีเขียวก็หายไป และตอนนี้ก็มีรอยสีเขียวเกิดขึ้นบนใบหน้าของผู้คน 300 คนในกองคาราวาน
“ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนติดพิษแล้ว2 ชั่วโมงหลังจากนี้ พวกเจ้าทุกคนจะเสียสติและพบชะตากรรมเดียวกับมนุษย์สัตว์พิษที่พวกเจ้าได้เจอก่อนหน้านี้ สิ่งที่เจ้าควรทำในตอนนี้ก็คือสวดภาวนาให้แสงจันทร์เดิมปรากฏขึ้นอีกครั้งเพื่อรักษาพิษออกจากตัวพวกเจ้าทั้งหมด สิ่งที่มันเกิดไปแล้วก็คือเกิดไปแล้ว ถึงจะโกรธแค้นข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร และการโจมตีข้าก็มีแต่จะทำให้พิษแพร่ในตัวพวกเจ้าเร็วขึ้นเท่านั้น เอาหล่ะ จากนี้ก็ภาวนาซะนะ “
ในตอนที่พูดจบเธอก็เดินออกจากกลุ่มคนและกลับไปหาพรรคพวกของเธอ พวกเขาทั้งสามคนแปลงเป็นแสงสีเขียว และพุ่งกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า
กลับมาที่ทุ่งหญ้าทุกคนนั่งบนพื้นอย่างสิ้นหวัง สีหน้าของพวกเขาต่างก็เศร้าหมองราวกับว่าพวกเขายอมรับชะตากรรมของตัวเองแล้ว แม้กระทั่งแชลลี่ ที่ปกติมักจะมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าเสมอ ก็ยังแน่นิ่ง เธอนั่งอยู่เงียบๆใกล้กับพ่อของเธอ เธอไม่สามารถทำความเข้าใจถึงสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นกับพวกเขาได้
“พ่อคะเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเธอเลย” หญิงสาวพูดกับพ่อของเธอ โอลัน
โอลันหัวเราะอย่างขมขื่นเขามองลูกสาวด้วยสีหน้าเจ็บปวด เขาไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะต้องมาพบจุดจบเร็วขนาดนี้ เขาไม่น่าพาเธอมาด้วยเลย
“มีอะไรหรอคะพ่อ?”แชลลี่ถาม
โอลันส่ายหัวอย่างรู้สึกสงสาร“บางทีน่าจะเป็นเพราะ…พวกเรามีชะตากรรมให้ต้องมาตายที่นี่”
แชลลี่ตกลงสู่ความเงียบหลังจากนั้นซักพัก เธอก็มีความหวังขึ้นมา “ว่าแต่ พ่อคิดว่าเหล่าทวยเทพจะมาช่วยพวกเราอีกไหมคะ?”
“เทพหรอ?”โอลันตกใจกับคำถามของเธอ
“ใช่ค่ะพระองค์ช่วยมิโร่กับแอร์ ถ้าเกิดว่าพระองค์เคยช่วยมาแล้วครั้งนึง พระองค์ท่านก็คงจะช่วยพวกเราอีกแน่ๆ! มันจะต้องเป็นแบบนั้นอย่างแน่นอน!” ความเชื่อมั่นของแชลลี่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เธอโบกมืออย่างตื่นเต้นราวกับพยายามจะสร้างกำลังใจให้ตัวเอง
ในตอนนั้นเองเธอก็คิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ แชลลี่ปีนขึ้นไปบนหลังม้าและตะโกน “ทุกคนคะ ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าเหล่าเทพรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา พระองค์จะต้องลงมาช่วยอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ สิ่งที่พวกเราควรทำคือสวดภาวนาให้กับพระองค์ท่านเพื่อที่ท่านจะได้รู้ถึงชะตากรรมของพวกเรา!”
พอได้ยินแบบนี้กองคาราวานก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา ไอรีนโนเวล
ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังเช่นนี้แค่เศษเสี้ยวความหวังเล็กๆ ไม่ว่าจะเลือนลางแค่ไหน มันก็มีค่ามากพอให้ยึดถือ
ยังไงก็ตามมีใครบางคนถามแชลลี่ขึ้นมา “แต่ว่าพวกเราไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของเทพองค์นั้นเลยนะ แล้วพวกเราจะรู้ได้ยังไงว่าต้องสวดภาวนาให้ใคร?”
“พระองค์ต้องเป็นเทพแห่งแสงอย่างแน่นอน”
“ไม่น่าจะใช่อย่างที่เจ้าพูดนะเทพแห่งแสงไม่เคยแสดงปาฏิหาริย์นอกกำแพงโบสถ์มาก่อน และอีกอย่างนึง พลังที่พวกเราเห็นก่อนหน้านี้มันไม่เหมือนกับพลังแสงศักดิ์สิทธิ์เลย” แชลลี่คิดไม่ถึงว่าจะถูกแย้งแบบนี้ยังไงก็ตาม เธอก็คิดคำตอบได้ “พลังของเขามาจากการรวบรวมแสงจันทร์ และปาฏิหาริย์ที่พวกเราได้เห็นนั้นก็เกิดขึ้นตอนเวลาสามทุ่ม เพราะฉะนั้นพวกเราควรเรียกพระองค์ว่าเทพแสงจันทร์ตอนสามทุ่มนะ?”
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับคำตอบนี้
แต่แชลลี่ไม่สนใจเธอคุกเข่าลงบนเกวียนของเธอและเริ่มทำการสวดภาวนา “ถึงท่านเทพแสงจันทร์ ตอนสามทุ่มผู้เมตตา ท่านคือแสงสว่างที่จะขับไล่ความมืดออกไปจากโลกนี้ ณ ที่นี้ข้าขอภาวนาให้ท่านโปรดนำทางพวกเราให้หลุดพ้นจากปัญหาในครั้งนี้ด้วย ข้าขอคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ ข้า ผู้รับใช้อันอ่อนน้อม ขอให้สัญญาว่าจะเผยแผ่ความเมตตาของท่านไปให้กว้างสุดโพ้นทะเล และขออุทิศตัวข้าให้แก่ท่าน”
มันไม่สำคัญว่าบทสวดของเธอนั้นถูกต้องรึเปล่า,และเธอก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าตัวเองทำถูกไหม เธอเพียงแค่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น และทำการภาวนาของความช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่า
ในตอนแรกเธอเป็นเพียงแค่คนเดียวที่สวดภาวนา ไม่นานนัก ก็เริ่มมีคนทำตามเธอ รวมทั้งหัวหน้าทหารรับจ้างมิโร่ด้วย ในตอนแรกเขารู้สึกลังเล แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็คุกเข่าและเริ่มทำการภาวนาด้วยเสียงที่แผ่วเบา
เขาไม่ได้ลอกเลียนคำภาวนาของแชลลี่มาทุกคำเขาสวดภาวนาอยู่ในใจ ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ท่านเคยช่วยข้ามาก่อน ข้าคุกเข่าลง ณ ที่นี้ เพื่อสาบานว่าตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้ความมืดมาล่อลวงตลอดเส้นทางชีวิตของข้าและข้าจะเป็นนักรบที่มีเกียรติ ตอนนี้ ข้าได้กลับมาจมอยู่ในหลุมเดิมอีกแล้ว ถ้าเกิดว่าท่านคิดว่าข้าคุ้มค่าพอที่จะได้รับการช่วยเหลือ ข้าก็ขออ้อนวอนให้ท่านช่วยข้าอีกครั้งนึง
ทหารรับจ้างแอร์นั้นเถรตรงยิ่งกว่าเขาหมอบลงกับพื้นและร้องออกมา “ท่านเทพ ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะครับ!”
หลังจากนั้นผู้คนในคาราวานก็ค่อยๆคุกเข่าตามและทำการสวดภาวนา
การสวดอ้อนวอนทั้งหมดนี้เกิดจากความปรารถนาที่อยากจะรอดพ้นจากสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาอย่างแท้จริง
ด้านหลังพงหญ้าไฮเอลฟ์ 3 คน คาทูช่า เทวดาตกสวรรค์และขุนศึกวายุพามีส กำลังสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกองคาราวานอยู่อย่างเงียบๆ พวกเขาค่อนข้างแปลกใจกับเรื่องนี้
คาทูช่ากระซิบ“เทพแสงจันทร์ตอนสามทุ่มนี่มันอะไรกัน? เขาไม่มีทางเป็นเทพหรอก ใช่มั้ย?”
เทวดาตกสวรรค์กระซิบเบาๆ“เจ้าหูแหลม อย่าไปยุ่งกับเรื่องที่ซับซ้อนแบบนี้เลย ถ้าเกิดว่าพวกเทพเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยจริงๆ พวกเจ้าทั้งสามจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ!”
ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานจะแข็งแกร่งแค่ไหนพวกเขาก็ไม่ต่างกับมดเมื่ออยู่ต่อหน้าเทพเจ้า
โดยปกติแล้วพระเจ้าจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของบุคคลระดับตำนานซักเท่าไหร่เพราะพวกเขาต้องใช้พลังอย่างมากในการจุติลงมายังโลกมนุษย์ ยังไงก็ตาม พวกเขามักจะได้รับการยกเว้น โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งในตัวแทนของพวกเขาถูกเทพองค์อื่นรังแก
หรือให้พูดอีกอย่างก็คือมันคือการฆ่าตัวตาย
ยกตัวอย่างเช่นเทพแห่งแสงนั้นได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นเทพที่มีจิตใจดี ยังไงก็ตาม, ในประวัติศาสตร์นั้นเขาได้ทำการพิพากษาศักดิ์สิทธิ์ไปถึงสองครั้ง และในแต่ละครั้ง จะมีมาสเตอร์อย่างน้อยหนึ่งคนที่โดนแสงศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งแสง ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งที่มาสเตอร์เหล่านั้นทำไม่สามารถให้อภัยได้ ด้วยความโง่เขลาของพวกเขา พวกเขาได้ทำการโจมตีเมืองศักดิ์สิทธิ์และต้องได้รับผลกระทบที่ตามมาจากการกระทำของเขา
การพิพากษานั้นมีอยู่ด้วยกัน2 ประเภท และทั้งสองประเภทนี้ก็ต้องการใครซักคนที่พูดคุยกับวิญญาณได้
ถ้าเกิดว่ามีแท่นบูชาเทพจะต้องปรากฏตัวบนนั้น ถ้าเกิดว่าไม่มี เทพจะต้องถ่ายพลังศักดิ์สิทธิของตัวเองให้สาวก และในตอนนั้น เขาหรือเธอคนนั้นก็จะได้รับพลังอันมหาศาล เพื่อให้พวกเขาสามารถทำตามประสงค์ของเทพได้
โอกาสที่หนึ่งในสาวกคนโปรดของเทพแห่งแสงจะอยู่ท่ามกลางพ่อค้าที่กำลังสวดภาวนาอยู่นั้นทำให้พวกไฮเอลฟ์กับคนอื่นๆไม่สบายใจหญิงสาวคนแรกที่เป็นคนเริ่มสวดภาวนานั้นดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้
ภายใต้สภานการณ์ปกติผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานและเทพเจ้านั้น จะถูกเชื่อมโยงด้วยกฏที่เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว ‘จงยุ่งอยู่แค่เรื่องของตัวเอง’
แอเรียลเริ่มรู้สึกสงสัยเบาะแสทุกอย่างที่เธอรวบรวมมาได้ชี้ไปถึงบุคคลระดับตำนานที่อาจจะเป็นคนรักษาพิษให้กับผู้ติดพิษ แต่ว่ามันไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเทพมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย
และเธอก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังระดับตำนานที่ทั้งบริสุทธิ์และเข้มข้นมากด้วยมันเหนือกว่าขีดจำกัดของบุคคลระดับตำนานคนอื่นๆ
เธอรู้สึกหนาวไปจนถึงกระดูกสันหลังในตอนที่คิดถึงเรื่องนี้
ในขณะที่พวกเขาแอบมองจากที่ซ่อนโดยไม่มั่นใจว่าจะทำอะไรต่อ ลิงค์กับอวาตาร์ก็มาถึงกองคาราวาน
ในตอนที่เห็นเหล่าพ่อค้ากำลังสวดภาวนาอย่างขมักเขม้นอวาตาร์ก็ถามด้วยความสงสัย “พวกนั้นทำอะไรกันหน่ะ? แล้วเทพแสงจันทร์นี่ใครกัน?”
ลิงค์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นดีเขาอธิบาย “ก่อนหน้านี้, ฉันเคยแอบช่วยทหารรับจ้าง 2 คนที่ติดพิษ พวกเขาคงจะเข้าใจผิดไปว่าการกระทำของฉันเป็นปาฏิหาริย์ของพระเจ้า”
“อย่างนี้นี่เองแล้วท่านสัมผัสได้รึเปล่าว่าพวกมันอยู่ตรงไหน?” อวาตาร์ตัดสินใจที่จะไม่สนใจพวกพ่อค้าและทหารรับจ้างที่กำลังสวดภาวนาอยู่ ด้วยความช่วยเหลือของลิงค์ ตอนนี้เขาฟื้นพลังกลับมาเต็มที่แล้ว และตอนนี้ เขาก็กำลังคนไม้คันมืออยากจะล้างแค้นพวกไฮเอลฟ์
ลิงค์พยักหน้า“สัมผัสได้”
“ตรงไหนครับ?”อวาตาร์กำดาบออบซิเดียนของเขาแน่น
“แต่ขอเวลาแปบนึงฉันต้องสร้างผนึกเวทมนตร์คุ้มครองคนพวกนี้ก่อน”
“ถ้าทำแบบนั้น,พวกเราอาจจะเผยที่อยู่ให้พวกมันรู้ได้นะครับ” อวาตาร์พูด “พวกมันมีจำนวนเยอะกว่า การทำให้มันรู้ที่อยู่ของพวกเรานั้นจะทำให้พวกเราเสียโอกาสในการลอบโจมตีไปนะครับ” ลิงค์พยักหน้า“ฉันรู้ แต่ถึงยังไงพวกเขาเหล่านั้นก็เป็นคนของฉัน ฉันปล่อยให้พวกเขาไร้การป้องกันไม่ได้หรอก”
อวาตาร์ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรอีกเขานึกถึงภาพโศกนาฏกรรมที่เขาเห็นในเมืองมาร่า เขาเข้าใจถึงสิ่งที่ลิงค์พยายามจะทำดี
ในตอนแรกเขาคิดว่าลิงค์จะเป็นเหมือนกับนักเวทย์คนอื่นๆ เจ้าเล่ห์และหมกมุ่นอยู่กับความทะเยอทะยานของตัวเอง ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีนิสัยคล้ายกับข้า ดูเหมือนว่าในที่สุดอวาตาร์ก็เข้าใจนิสัยของลิงค์แล้ว