Advent of the Archmage - 664: แขกที่คาดไม่ถึง
Chapter
ป้อมโอริด้า
เกล็ดหิมะตกลงมาเหมือนกับปุยนุ่นจากสวรรค์ลิงค์ยืนอยู่ที่บนสุดของกำแพงป้อม, และมองไปทางป่าทมิฬอย่างเหม่อลอย
ความมุ่งมั่นของไฮเอลฟ์ในการที่จะรวมภพนั้นจะนำพาไปสู่ยุคมืดในอีกไม่นานนี้เทพแห่งแสงไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว เขาได้เปลี่ยนเป็นผู้ปกครองแห่งแสงสว่างและความมืดที่โหดร้าย แม้ว่าเขาจะยังอยู่ในภพเฟดาโร่, แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ฟิรุแมน แถมเผ่ามนุษย์ก็ยังมีกองทัพแห่งการทำลายในป่าทมิฬให้กังวลอีก
เส้นทางที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้าเผ่ามนุษย์นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคนับไม่ถ้วนการก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจหมายถึงจุดจบของทั้งเผ่าพันธุ์ได้
ตอนนี้พวกเขาควรจะเดินยังไงต่อดีนะ? พวกเขาควรไล่ตามกองทัพแห่งการทำลายไปรึเปล่า?ไม่สิ, ป่าทมิฬอันตรายเกินไป ตอนนี้ที่ป้อมมีกำลังพลไม่พอที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพแห่งการทำลายได้ แล้วไฮเอลฟ์ก็คงจะไม่นั่งดูอยู่เฉยๆจากริมฝั่งสนามด้วย ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกสนับสนุนกองทัพแห่งการทำลายต่อไปหรือหันกลับไปโจมตีเฟิร์ดด้วยตัวเองในตอนนี้, มนุษย์ก็มีแต่จะต้องรับเคราะห์อยู่ดี
ไม่ว่าจะยังไง,การไล่ตามอีกฝ่ายไป ณ ตอนนี้มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
หรือว่าพวกเขาจะหันไปโจมตีเกาะรุ่งอรุณตรงๆเลย?ไม่สิ, ทำแบบนั้นคงจะโง่มาก เกาะรุ่งอรุณถูกห้อมล้อมด้วยหน้าผาสูงชันพร้อมกับมีผนึกเวทมนตร์ป้องกันนับไม่ถ้วน แถมมันยังได้รับการปกป้องจากต้นไม้โลกอีก ไม่ว่าจะพยายามบุกสถานที่แห่งนั้นยังไงมันก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย
ลิงค์รู้ว่าตอนนี้กองทัพมนุษย์ไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะไปสู้กับศัตรูของพวกเขาทางเลือกเดียวสำหรับพวกเขาในตอนนี้ก็คือการสั่งสมความแข็งแกร่งของตัวเองในขณะมองหาโอกาสพัฒนาสถานการณ์ใหม่ๆอย่างระมัดระวังและอดทน
อย่างไรก็ตาม,ศัตรูของมนุษย์เองก็คงจะสร้างเสริมความแข็งแกร่งของตัวเองเช่นกัน ซึ่งพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้กองทัพแห่งการทำลายและไฮเอลฟ์ทำตามที่หวังได้
พวกเขาจำเป็นต้องทำลายแผนการของศัตรูด้วยวิธีการบางอย่าง
แต่พวกเขาจะทำยังไงหล่ะ?ด้วยความที่พึ่งกลับมาจากทะเลแห่งความว่างเปล่าและยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ณ ตอนนี้ซักเท่าไหร่, ลิงค์จึงแทบนึกไม่ออกเลยว่าจะเอายังไงต่อไปดี
“ลอร์ด”เอเลียร์ดเดินมาหา ในช่วงเวลาเป็นทางการแบบนี้, เขาจะไม่มีทางเรียกชื่อของลิงค์เฉยๆแม้ว่ามันจะเป็นตอนที่พวกเขาอยู่กันแค่สองคนก็ตาม ตอนนี้เขากำลังมองลิงค์ด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง “พวกเราควรไล่ตามพวกมันไปไหมครับ?”
ลิงค์ส่ายหัว“ไม่ต้องหรอก มันเสี่ยงเกินไป ตอนนี้, พวกเราควรใช้ความได้เปรียบจากความจริงที่กองทัพแห่งการทำลายไม่มีพลังมากพอที่จะโจมตีต่อ, แล้วค่อยๆทำลายขุมพลังของศัตรูในขณะที่รักษาแนวป้องกันที่นี่เอาไว้จะดีกว่า”
นี่เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดที่ลิงค์คิดได้
เอเลียร์ดเข้าใจเหตุผลของลิงค์ในทันทีด้วยการยืนอยู่ข้างๆลิงค์, เขาก็สังเกตเห็นว่าลิงค์ขมวดคิ้วอยู่ เขาถาม “มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
ลิงค์พยักหน้าแต่พอตระหนักได้ว่าตอนนี้เหล่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่รอบๆกำลังมองมาที่พวกเขาทั้งคู่, เขาจึงพูดออกมา “ก็มีอยู่หรอก, แต่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร ตอนนี้กลับไปที่ฐานกันเถอะ ฉันอยากไปดูว่าคาร์โนสอาการเป็นยังไงบ้าง”
เอเลียร์ดไม่มีข้อคัดค้านกับเรื่องนี้จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปยังฐานที่มั่นที่อยู่กลางป้อมโอริด้า
ข้างในฐาน,มิโรส, อีโลแวน, นักรบมังกรแดงเฟลิน่า, เจ้าหญิงแอนนี่และคนอื่นๆได้มารวมตัวกันเพื่อทักทายเขา ลิงค์พยักหน้าให้พวกเขาแต่ละคน และจากนั้นเจ้าหญิงแอนนี่ก็พาเขาไปที่ห้องของคาร์โนส
คาร์โนสกำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงของเขา
หลังจากพักผ่อนไป3 วัน และอยู่ภายใต้การดูแลของเอเลียร์ดกับคนอื่นๆ ในที่สุดอาการของคาร์โนสก็ดีขึ้น แม้ว่าเขาจะยังไม่ตื่น แต่อัตราการหายใจของเขาก็มั่นคงแล้ว สำหรับตอนนี้ ชีวิตของเขาพ้นขีดอันตรายแล้ว
แต่ว่าคาร์โนสเป็นนักรบนักรบที่ไม่มีแขนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว
เจ้าหญิงแอนนี่ทำลายความเงียบในห้องด้วยการพูดขึ้นมา“พวกเราควรดีใจนะที่อย่างน้อยเขาก็ยังอยู่ในโลกของคนเป็น” ลิงค์เดินไปข้างหน้าและตรวจสอบแผลของคาร์โนสอย่างละเอียดหลังจากนั้นเขาก็มองเอเลียร์ด “นายคิดว่าคาร์โนสจะได้พลังต่อสู้กลับคืนมาเท่าไหร่ถ้าพวกเราสร้างแขนคู่ใหม่ให้เขาจากการใช้เทคนิคหุ่นเชิดมีชีวิต?”
เอเลียร์ดส่ายหัว“ฉันเองก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเรื่องต่อสู้คงเป็นไปได้ยากมาก ตอนนี้คาร์โนสแข็งแกร่งมากๆแล้ว พลังของเขาตอนนี้อยู่ที่เลเวล 11 พวกเราสามารถใช้เทคนิคหุ่นเชิดมีชีวิตเพื่อสร้างแขนให้เขาได้ แต่ว่าถ้าใช้ในการต่อสู้นั้น…. ฉันเกรงว่าแขนใหม่ของเขาอาจจะไม่สามารถทนต่อความรุนแรงจากออร่าต่อสู้ของเขาได้”
เขานึกย้อนไปถึงตอนที่นักเวทย์ไฮเอลฟ์มิโรสถูกราชามนุษย์สัตว์อวตาร์ทำลายแขนลิงค์ได้ใช้เทคนิคหุ่นเชิดมีชีวิตในการสร้างแขนใหม่ให้กับเขา แต่สิ่งที่แตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือในฐานะนักเวทย์ มิโรสนั้นไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแรงหรือคล่องแคล่วและในชีวิตประจำวันก็ยังไม่เคยเห็นเขาใช้พลังอย่างเต็มที่กับร่างกายของตัวเองด้วย ซึ่งก็ต้องขอบคุณเรื่องนี้ ลิงค์ก็เลยสามารถใช้เทคนิคหุ่นเชิดมีชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพกับไฮเอลฟ์คนนี้
ในอีกด้านนึงคาร์โนสนั้นเป็นนักรบ ร่างกายของเขาเป็นอาวุธ ในการต่อสู้ พลังงานเข้มข้นสูงจะไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาทุกๆวินาที นักรบที่เชี่ยวชาญอย่างคาร์โนสนั้นคงจะสามารถควบคุมการไหลของพลังงานในร่างกายได้ทุกวินาที การสร้างแขนใหม่ให้กับคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้อาจเป็นไปไม่ได้สำหรับตัวลิงค์ก่อนที่จะเข้าไปในทะเลแห่งความว่างเปล่า
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องยาก ลิงค์ก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถช่วยคาร์โนสฟื้นฟูแขนของเขากลับมาได้ แต่เขาก็ยังต้องทำการวิจัยอีกซักเล็กน้อยเพื่อหาวิธีสร้างมันขึ้นมา
พอเห็นลิงค์ยืนอยู่เงียบๆเจ้าหญิงแอนนี่ก็คิดเอาเองว่าสภาพของคาร์โนสเข้าขั้นสิ้นหวังแล้ว เธอถอนหายใจออกมาและตัดสินใจที่จะปล่อยวางนี้ไป จากนั้นเธอก็เดินเข้ามาจัดผ้าห่มให้คาร์โนสอบอุ่นขึ้นและนั่งลงข้างๆเตียงของเขาอย่างเงียบๆ
ในตอนนั้นเองลิงค์ก็พอคิดแผนได้คร่าวๆแล้ว จากนั้นเขาก็พูดออกมา “มันน่าจะยังพอมีทางอยู่ แต่ว่าฉันต้องให้นายช่วยด้วยนะ, เอเลียร์ด กลับไปที่หอคอยเวทมนตร์กันเถอะ พวกเราจะคุยรายละเอียดกันที่นั่น”
“คาร์โนสยังมีโอกาสกลับมาเป็นเหมือนเดิมจริงๆหรอ?”เจ้าหญิงแอนนี่ดีใจมาก ถึงแม้ว่าเธอพร้อมที่จะรับความจริงเรื่องที่คาร์โนสเสียแขนไปแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกดีใจกับการที่เขายังมีโอกาสกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ถึงแม้ว่าโอกาสมันจะริบหรี่แค่ไหนก็ตาม
ลิงค์ตอบเชิงปลอบใจ“ตอนนี้ฉันยังให้สัญญาอะไรไม่ได้หรอก แต่เธอเชื่อมือฉันได้เลย ฉันจะช่วยอย่างสุดความสามารถ”
เจ้าหญิงแอนนี่ยิ้มออกมาการได้ฟังคำพูดนี้จากลอร์ดเฟิร์ดก็ยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าเขาจะทำสำเร็จ ยังไงซะ เขาก็เป็นชายที่มีความสามารถในการสร้างปาฏิหาริย์
โดยที่ไม่รอช้าหลังจากที่ร่ายเวทย์ฟื้นฟูให้คาร์โนส เขากับเอเลียร์ดก็กลับไปที่หอคอยเวทมนตร์
ในตอนที่ไปถึงที่นั่นเอเลียร์ดก็ไม่สามารถระงับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้อีก” ลิงค์ นี่นายเรียนเวทมนตร์รูปแบบใหม่มาใช่ไหม?”
เขาเองก็เป็นนักเวทย์ระดับมาสเตอร์จากความรู้ทั้งหมดที่เขามี มันไม่มีเวทย์บทไหนในฟิรุแมนที่สามารถทำให้แขนของคาร์โนสกลับมาได้
“ใช่แล้ว”ลิงค์พูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เอาหนังสือเวทมนตร์ออกมาและเปิดออกไปที่หน้าสุดท้าย ข้างในนั้น เขาเขียนความรู้ด้านเวทมนตร์ทั้งหมดที่เขารวบรวมมาจากภพเฟดาโร่ “ดูนี่สิ”
เหมือนกับได้รับจอกศักดิ์สิทธิ์เอเลียร์ดรับหนังสือจากลิงค์และตรวจสอบสิ่งที่ลิงค์เขียนลงไป จากนั้นเขาก็อุทานออกมา “นี่มันเป็นระบบเวทมนตร์ที่แตกต่างจากของพวกเราโดยสิ้นเชิง แต่มันก็ละเอียดอ่อนมากเลย”
“ใช่ด้วยการผสานเทคนิคหุ่นเชิดมีชีวิตเข้ากับระบบเวทมนตร์รูปแบบใหม่นี้ พวกเราอาจจะสามารถสร้างแขนใหม่ให้คาร์โนสได้ แต่ก็แน่นอนว่า มันคงเป็นงานที่หินมากๆ พวกเราแค่สองคนน่าจะไม่พอ อาจจะต้องให้มิโรสกับอีโลแวนมาช่วยในเรื่องนี้ด้วย”
“พวกเขาคงจะรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองนี้”เอเลียร์ดพูดพลางหัวเราะ
หลังจากที่เรียกไฮเอลฟ์นักเวทย์ทั้ง2 คนมาที่หอคอยเวทมนตร์และอธิบายแผนให้กับพวกเขา มิโรสกับอีโลแวนก็พยักหน้าอย่างดีอกดีใจ “ลอร์ด เชิญสั่งมาได้เลยครับ”
ไม่นานนักนักเวทย์ระดับตำนานทั้งสี่คนก็ทุ่มเททุกอย่างที่พวกเขามีลงไปในการทดลอง ลิงค์เป็นคนควบคุมหลักของการทดลองนี้ ในขณะที่เอเลียร์ดกับคนอื่นๆเป็นลูกมือของเขาพวกเขาทั้งสี่คนทำการทดลองทุกๆความเป็นไปได้โดยที่ไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาเลย
การวิจัยเวทมนตร์มักจะเป็นกระบวนการที่ยากลำบากและต้องใช้สมาธิอย่างมากนักเวทย์จะค่อยๆลืมวันเวลาไปในตอนที่พวกเขาหมกตัวอยู่กับการวิจัย
พอเห็นว่าลอร์ดเฟิร์ดปรากฏตัวขึ้นมาขับไล่กองทัพแห่งการทำลายแล้วหายตัวไปอีกครั้งหลังจากที่เข้าไปในหอคอยเวทมนตร์ นักรบที่เหลือในป้อมโอริด้าก็รู้สึกสับสนมากๆ
สิ่งนี้ทำให้คนอื่นสับสนในตอนแรกครึ่งเดือนผ่านไป ในที่สุดคาร์โนสก็ได้สติกลับมา ในตอนที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ทุกคนก็เลิกสนใจการมีอยู่ของลอร์ดเฟิร์ดและตัดสินใจที่จะไปแสดงความยินดีกับการฟื้นตัวของคาร์โนส
ในตอนที่คาร์โนสตื่นขึ้นเขารู้สึกสิ้นหวังที่เสียแขนไป ถ้าเกิดเจ้าหญิงแอนนี่ ไม่ได้บอกเขาว่าลอร์ดเฟิร์ดยังหาวิธีฟื้นฟูแขนของเขาอยู่ เขาก็คงจะเริ่มดื่มตั้งแต่หัววันเพื่อกลบความเศร้าของเขาแล้ว
ในขณะที่คาร์โนสกำลังนั่งหายใจอย่างอ่อนแรงรอการปรากฎตัวของลิงค์พร้อมกับข่าวดีในวันหนึ่ง ป้อมโอริด้าก็มีแขกแปลกๆมาเยี่ยมเยือน
ผู้มาเยี่ยมนั้นมีอายุอย่างน้อย40 ปี ลักษณะของเขาธรรมดามาก เขาสวมเสื้อคลุมสีทองอร่าม มันแตกต่างกับสิ่งที่เป็นของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างมาก และมันก็ไม่ใช่ของที่ไฮเอลฟ์ ดาร์กเอลฟ์หรือนากาสวมด้วย
ลักษณะของเขาบ่งบอกว่าเขาเป็นนักเวทย์และรูปร่างของเขาก็ดูเหมือนกับมนุษย์ เขามาที่ป้อมปราการคนเดียว และสีหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงถึงความกังวลจากการที่ถูกทหารของป้อมปราการล้อมเลย ใบหน้าของเขาดูเหยียดหยามในขณะที่เขามองไปรอบๆ มันเหมือนกับว่าเขากำลังถูกล้อมด้วยฝูงมดที่เขาสามารถบดขยี้ได้อย่างง่ายดาย
นักรบพาชายคนนี้ไปหาคาร์โนสในตอนที่ชายคนนั้นเห็นคาร์โนส สายตาของเขาก็มองไปยังก้อนเนื้อที่ไหล่ของเขาในทันที จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะพึ่งเสียแขนไปจากการต่อสู้สินะ”
คาร์โนสขมวดคิ้วเขาไม่ชอบชายคนนี้ตั้งแต่แรกพบ เขาดูเย่อหยิ่งเกินไป แม้ว่าแขกคนนี้จะดูเหมือนมนุษย์ แต่เขาก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับไฮเอลฟ์
“บอกจุดประสงค์ของเจ้ามานักเวทย์”
ชายคนนี้ยังคงยิ้มไม่เลิก“ข้าได้ยินมาว่าลอร์ดเฟิร์ดเป็นนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของภพนี้ ข้าจึงมาที่นี่เพื่อดูว่ามันเป็นความจริงรึเปล่า”
มีความประสงค์ร้ายอยู่ในคำพูดของเขาเห็นได้ชัดว่าชายคนนี้มาเพื่อท้าประลองกับลอร์ดเฟิร์ด คาร์โนสยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม นักรบเกือบทั้งหมดที่อยู่รอบๆแขกที่แปลกประหลาดคนนี้ต่างก็เอามือวางไว้ที่ด้ามดาบเผื่อในกรณีที่เกิดการต่อสู้ขึ้นมา
ป้อมโอริด้า
เกล็ดหิมะตกลงมาเหมือนกับปุยนุ่นจากสวรรค์ลิงค์ยืนอยู่ที่บนสุดของกำแพงป้อม, และมองไปทางป่าทมิฬอย่างเหม่อลอย
ความมุ่งมั่นของไฮเอลฟ์ในการที่จะรวมภพนั้นจะนำพาไปสู่ยุคมืดในอีกไม่นานนี้เทพแห่งแสงไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว เขาได้เปลี่ยนเป็นผู้ปกครองแห่งแสงสว่างและความมืดที่โหดร้าย แม้ว่าเขาจะยังอยู่ในภพเฟดาโร่, แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ฟิรุแมน แถมเผ่ามนุษย์ก็ยังมีกองทัพแห่งการทำลายในป่าทมิฬให้กังวลอีก
เส้นทางที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้าเผ่ามนุษย์นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคนับไม่ถ้วนการก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจหมายถึงจุดจบของทั้งเผ่าพันธุ์ได้
ตอนนี้พวกเขาควรจะเดินยังไงต่อดีนะ? พวกเขาควรไล่ตามกองทัพแห่งการทำลายไปรึเปล่า?ไม่สิ, ป่าทมิฬอันตรายเกินไป ตอนนี้ที่ป้อมมีกำลังพลไม่พอที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพแห่งการทำลายได้ แล้วไฮเอลฟ์ก็คงจะไม่นั่งดูอยู่เฉยๆจากริมฝั่งสนามด้วย ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกสนับสนุนกองทัพแห่งการทำลายต่อไปหรือหันกลับไปโจมตีเฟิร์ดด้วยตัวเองในตอนนี้, มนุษย์ก็มีแต่จะต้องรับเคราะห์อยู่ดี
ไม่ว่าจะยังไง,การไล่ตามอีกฝ่ายไป ณ ตอนนี้มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
หรือว่าพวกเขาจะหันไปโจมตีเกาะรุ่งอรุณตรงๆเลย?ไม่สิ, ทำแบบนั้นคงจะโง่มาก เกาะรุ่งอรุณถูกห้อมล้อมด้วยหน้าผาสูงชันพร้อมกับมีผนึกเวทมนตร์ป้องกันนับไม่ถ้วน แถมมันยังได้รับการปกป้องจากต้นไม้โลกอีก ไม่ว่าจะพยายามบุกสถานที่แห่งนั้นยังไงมันก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย
ลิงค์รู้ว่าตอนนี้กองทัพมนุษย์ไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะไปสู้กับศัตรูของพวกเขาทางเลือกเดียวสำหรับพวกเขาในตอนนี้ก็คือการสั่งสมความแข็งแกร่งของตัวเองในขณะมองหาโอกาสพัฒนาสถานการณ์ใหม่ๆอย่างระมัดระวังและอดทน
อย่างไรก็ตาม,ศัตรูของมนุษย์เองก็คงจะสร้างเสริมความแข็งแกร่งของตัวเองเช่นกัน ซึ่งพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้กองทัพแห่งการทำลายและไฮเอลฟ์ทำตามที่หวังได้
พวกเขาจำเป็นต้องทำลายแผนการของศัตรูด้วยวิธีการบางอย่าง
แต่พวกเขาจะทำยังไงหล่ะ?ด้วยความที่พึ่งกลับมาจากทะเลแห่งความว่างเปล่าและยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ณ ตอนนี้ซักเท่าไหร่, ลิงค์จึงแทบนึกไม่ออกเลยว่าจะเอายังไงต่อไปดี
“ลอร์ด”เอเลียร์ดเดินมาหา ในช่วงเวลาเป็นทางการแบบนี้, เขาจะไม่มีทางเรียกชื่อของลิงค์เฉยๆแม้ว่ามันจะเป็นตอนที่พวกเขาอยู่กันแค่สองคนก็ตาม ตอนนี้เขากำลังมองลิงค์ด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง “พวกเราควรไล่ตามพวกมันไปไหมครับ?”
ลิงค์ส่ายหัว“ไม่ต้องหรอก มันเสี่ยงเกินไป ตอนนี้, พวกเราควรใช้ความได้เปรียบจากความจริงที่กองทัพแห่งการทำลายไม่มีพลังมากพอที่จะโจมตีต่อ, แล้วค่อยๆทำลายขุมพลังของศัตรูในขณะที่รักษาแนวป้องกันที่นี่เอาไว้จะดีกว่า”
นี่เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดที่ลิงค์คิดได้
เอเลียร์ดเข้าใจเหตุผลของลิงค์ในทันทีด้วยการยืนอยู่ข้างๆลิงค์, เขาก็สังเกตเห็นว่าลิงค์ขมวดคิ้วอยู่ เขาถาม “มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
ลิงค์พยักหน้าแต่พอตระหนักได้ว่าตอนนี้เหล่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่รอบๆกำลังมองมาที่พวกเขาทั้งคู่, เขาจึงพูดออกมา “ก็มีอยู่หรอก, แต่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร ตอนนี้กลับไปที่ฐานกันเถอะ ฉันอยากไปดูว่าคาร์โนสอาการเป็นยังไงบ้าง”
เอเลียร์ดไม่มีข้อคัดค้านกับเรื่องนี้จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปยังฐานที่มั่นที่อยู่กลางป้อมโอริด้า
ข้างในฐาน,มิโรส, อีโลแวน, นักรบมังกรแดงเฟลิน่า, เจ้าหญิงแอนนี่และคนอื่นๆได้มารวมตัวกันเพื่อทักทายเขา ลิงค์พยักหน้าให้พวกเขาแต่ละคน และจากนั้นเจ้าหญิงแอนนี่ก็พาเขาไปที่ห้องของคาร์โนส
คาร์โนสกำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงของเขา
หลังจากพักผ่อนไป3 วัน และอยู่ภายใต้การดูแลของเอเลียร์ดกับคนอื่นๆ ในที่สุดอาการของคาร์โนสก็ดีขึ้น แม้ว่าเขาจะยังไม่ตื่น แต่อัตราการหายใจของเขาก็มั่นคงแล้ว สำหรับตอนนี้ ชีวิตของเขาพ้นขีดอันตรายแล้ว
แต่ว่าคาร์โนสเป็นนักรบนักรบที่ไม่มีแขนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว
เจ้าหญิงแอนนี่ทำลายความเงียบในห้องด้วยการพูดขึ้นมา“พวกเราควรดีใจนะที่อย่างน้อยเขาก็ยังอยู่ในโลกของคนเป็น” ลิงค์เดินไปข้างหน้าและตรวจสอบแผลของคาร์โนสอย่างละเอียดหลังจากนั้นเขาก็มองเอเลียร์ด “นายคิดว่าคาร์โนสจะได้พลังต่อสู้กลับคืนมาเท่าไหร่ถ้าพวกเราสร้างแขนคู่ใหม่ให้เขาจากการใช้เทคนิคหุ่นเชิดมีชีวิต?”
เอเลียร์ดส่ายหัว“ฉันเองก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเรื่องต่อสู้คงเป็นไปได้ยากมาก ตอนนี้คาร์โนสแข็งแกร่งมากๆแล้ว พลังของเขาตอนนี้อยู่ที่เลเวล 11 พวกเราสามารถใช้เทคนิคหุ่นเชิดมีชีวิตเพื่อสร้างแขนให้เขาได้ แต่ว่าถ้าใช้ในการต่อสู้นั้น…. ฉันเกรงว่าแขนใหม่ของเขาอาจจะไม่สามารถทนต่อความรุนแรงจากออร่าต่อสู้ของเขาได้”
เขานึกย้อนไปถึงตอนที่นักเวทย์ไฮเอลฟ์มิโรสถูกราชามนุษย์สัตว์อวตาร์ทำลายแขนลิงค์ได้ใช้เทคนิคหุ่นเชิดมีชีวิตในการสร้างแขนใหม่ให้กับเขา แต่สิ่งที่แตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือในฐานะนักเวทย์ มิโรสนั้นไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแรงหรือคล่องแคล่วและในชีวิตประจำวันก็ยังไม่เคยเห็นเขาใช้พลังอย่างเต็มที่กับร่างกายของตัวเองด้วย ซึ่งก็ต้องขอบคุณเรื่องนี้ ลิงค์ก็เลยสามารถใช้เทคนิคหุ่นเชิดมีชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพกับไฮเอลฟ์คนนี้
ในอีกด้านนึงคาร์โนสนั้นเป็นนักรบ ร่างกายของเขาเป็นอาวุธ ในการต่อสู้ พลังงานเข้มข้นสูงจะไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาทุกๆวินาที นักรบที่เชี่ยวชาญอย่างคาร์โนสนั้นคงจะสามารถควบคุมการไหลของพลังงานในร่างกายได้ทุกวินาที การสร้างแขนใหม่ให้กับคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้อาจเป็นไปไม่ได้สำหรับตัวลิงค์ก่อนที่จะเข้าไปในทะเลแห่งความว่างเปล่า
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องยาก ลิงค์ก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถช่วยคาร์โนสฟื้นฟูแขนของเขากลับมาได้ แต่เขาก็ยังต้องทำการวิจัยอีกซักเล็กน้อยเพื่อหาวิธีสร้างมันขึ้นมา
พอเห็นลิงค์ยืนอยู่เงียบๆเจ้าหญิงแอนนี่ก็คิดเอาเองว่าสภาพของคาร์โนสเข้าขั้นสิ้นหวังแล้ว เธอถอนหายใจออกมาและตัดสินใจที่จะปล่อยวางนี้ไป จากนั้นเธอก็เดินเข้ามาจัดผ้าห่มให้คาร์โนสอบอุ่นขึ้นและนั่งลงข้างๆเตียงของเขาอย่างเงียบๆ
ในตอนนั้นเองลิงค์ก็พอคิดแผนได้คร่าวๆแล้ว จากนั้นเขาก็พูดออกมา “มันน่าจะยังพอมีทางอยู่ แต่ว่าฉันต้องให้นายช่วยด้วยนะ, เอเลียร์ด กลับไปที่หอคอยเวทมนตร์กันเถอะ พวกเราจะคุยรายละเอียดกันที่นั่น”
“คาร์โนสยังมีโอกาสกลับมาเป็นเหมือนเดิมจริงๆหรอ?”เจ้าหญิงแอนนี่ดีใจมาก ถึงแม้ว่าเธอพร้อมที่จะรับความจริงเรื่องที่คาร์โนสเสียแขนไปแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกดีใจกับการที่เขายังมีโอกาสกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ถึงแม้ว่าโอกาสมันจะริบหรี่แค่ไหนก็ตาม
ลิงค์ตอบเชิงปลอบใจ“ตอนนี้ฉันยังให้สัญญาอะไรไม่ได้หรอก แต่เธอเชื่อมือฉันได้เลย ฉันจะช่วยอย่างสุดความสามารถ”
เจ้าหญิงแอนนี่ยิ้มออกมาการได้ฟังคำพูดนี้จากลอร์ดเฟิร์ดก็ยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าเขาจะทำสำเร็จ ยังไงซะ เขาก็เป็นชายที่มีความสามารถในการสร้างปาฏิหาริย์
โดยที่ไม่รอช้าหลังจากที่ร่ายเวทย์ฟื้นฟูให้คาร์โนส เขากับเอเลียร์ดก็กลับไปที่หอคอยเวทมนตร์
ในตอนที่ไปถึงที่นั่นเอเลียร์ดก็ไม่สามารถระงับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้อีก” ลิงค์ นี่นายเรียนเวทมนตร์รูปแบบใหม่มาใช่ไหม?”
เขาเองก็เป็นนักเวทย์ระดับมาสเตอร์จากความรู้ทั้งหมดที่เขามี มันไม่มีเวทย์บทไหนในฟิรุแมนที่สามารถทำให้แขนของคาร์โนสกลับมาได้
“ใช่แล้ว”ลิงค์พูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เอาหนังสือเวทมนตร์ออกมาและเปิดออกไปที่หน้าสุดท้าย ข้างในนั้น เขาเขียนความรู้ด้านเวทมนตร์ทั้งหมดที่เขารวบรวมมาจากภพเฟดาโร่ “ดูนี่สิ”
เหมือนกับได้รับจอกศักดิ์สิทธิ์เอเลียร์ดรับหนังสือจากลิงค์และตรวจสอบสิ่งที่ลิงค์เขียนลงไป จากนั้นเขาก็อุทานออกมา “นี่มันเป็นระบบเวทมนตร์ที่แตกต่างจากของพวกเราโดยสิ้นเชิง แต่มันก็ละเอียดอ่อนมากเลย”
“ใช่ด้วยการผสานเทคนิคหุ่นเชิดมีชีวิตเข้ากับระบบเวทมนตร์รูปแบบใหม่นี้ พวกเราอาจจะสามารถสร้างแขนใหม่ให้คาร์โนสได้ แต่ก็แน่นอนว่า มันคงเป็นงานที่หินมากๆ พวกเราแค่สองคนน่าจะไม่พอ อาจจะต้องให้มิโรสกับอีโลแวนมาช่วยในเรื่องนี้ด้วย”
“พวกเขาคงจะรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองนี้”เอเลียร์ดพูดพลางหัวเราะ
หลังจากที่เรียกไฮเอลฟ์นักเวทย์ทั้ง2 คนมาที่หอคอยเวทมนตร์และอธิบายแผนให้กับพวกเขา มิโรสกับอีโลแวนก็พยักหน้าอย่างดีอกดีใจ “ลอร์ด เชิญสั่งมาได้เลยครับ”
ไม่นานนักนักเวทย์ระดับตำนานทั้งสี่คนก็ทุ่มเททุกอย่างที่พวกเขามีลงไปในการทดลอง ลิงค์เป็นคนควบคุมหลักของการทดลองนี้ ในขณะที่เอเลียร์ดกับคนอื่นๆเป็นลูกมือของเขาพวกเขาทั้งสี่คนทำการทดลองทุกๆความเป็นไปได้โดยที่ไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาเลย
การวิจัยเวทมนตร์มักจะเป็นกระบวนการที่ยากลำบากและต้องใช้สมาธิอย่างมากนักเวทย์จะค่อยๆลืมวันเวลาไปในตอนที่พวกเขาหมกตัวอยู่กับการวิจัย
พอเห็นว่าลอร์ดเฟิร์ดปรากฏตัวขึ้นมาขับไล่กองทัพแห่งการทำลายแล้วหายตัวไปอีกครั้งหลังจากที่เข้าไปในหอคอยเวทมนตร์ นักรบที่เหลือในป้อมโอริด้าก็รู้สึกสับสนมากๆ
สิ่งนี้ทำให้คนอื่นสับสนในตอนแรกครึ่งเดือนผ่านไป ในที่สุดคาร์โนสก็ได้สติกลับมา ในตอนที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ทุกคนก็เลิกสนใจการมีอยู่ของลอร์ดเฟิร์ดและตัดสินใจที่จะไปแสดงความยินดีกับการฟื้นตัวของคาร์โนส
ในตอนที่คาร์โนสตื่นขึ้นเขารู้สึกสิ้นหวังที่เสียแขนไป ถ้าเกิดเจ้าหญิงแอนนี่ ไม่ได้บอกเขาว่าลอร์ดเฟิร์ดยังหาวิธีฟื้นฟูแขนของเขาอยู่ เขาก็คงจะเริ่มดื่มตั้งแต่หัววันเพื่อกลบความเศร้าของเขาแล้ว
ในขณะที่คาร์โนสกำลังนั่งหายใจอย่างอ่อนแรงรอการปรากฎตัวของลิงค์พร้อมกับข่าวดีในวันหนึ่ง ป้อมโอริด้าก็มีแขกแปลกๆมาเยี่ยมเยือน
ผู้มาเยี่ยมนั้นมีอายุอย่างน้อย40 ปี ลักษณะของเขาธรรมดามาก เขาสวมเสื้อคลุมสีทองอร่าม มันแตกต่างกับสิ่งที่เป็นของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างมาก และมันก็ไม่ใช่ของที่ไฮเอลฟ์ ดาร์กเอลฟ์หรือนากาสวมด้วย
ลักษณะของเขาบ่งบอกว่าเขาเป็นนักเวทย์และรูปร่างของเขาก็ดูเหมือนกับมนุษย์ เขามาที่ป้อมปราการคนเดียว และสีหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงถึงความกังวลจากการที่ถูกทหารของป้อมปราการล้อมเลย ใบหน้าของเขาดูเหยียดหยามในขณะที่เขามองไปรอบๆ มันเหมือนกับว่าเขากำลังถูกล้อมด้วยฝูงมดที่เขาสามารถบดขยี้ได้อย่างง่ายดาย
นักรบพาชายคนนี้ไปหาคาร์โนสในตอนที่ชายคนนั้นเห็นคาร์โนส สายตาของเขาก็มองไปยังก้อนเนื้อที่ไหล่ของเขาในทันที จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะพึ่งเสียแขนไปจากการต่อสู้สินะ”
คาร์โนสขมวดคิ้วเขาไม่ชอบชายคนนี้ตั้งแต่แรกพบ เขาดูเย่อหยิ่งเกินไป แม้ว่าแขกคนนี้จะดูเหมือนมนุษย์ แต่เขาก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับไฮเอลฟ์
“บอกจุดประสงค์ของเจ้ามานักเวทย์”
ชายคนนี้ยังคงยิ้มไม่เลิก“ข้าได้ยินมาว่าลอร์ดเฟิร์ดเป็นนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของภพนี้ ข้าจึงมาที่นี่เพื่อดูว่ามันเป็นความจริงรึเปล่า”
มีความประสงค์ร้ายอยู่ในคำพูดของเขาเห็นได้ชัดว่าชายคนนี้มาเพื่อท้าประลองกับลอร์ดเฟิร์ด คาร์โนสยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม นักรบเกือบทั้งหมดที่อยู่รอบๆแขกที่แปลกประหลาดคนนี้ต่างก็เอามือวางไว้ที่ด้ามดาบเผื่อในกรณีที่เกิดการต่อสู้ขึ้นมา