Advent of the Archmage - 702 รวมภพ (2)
Chapter
เกาะรุ่งอรุณ
ในช่วง3,000 ปีมานี้ เกาะรุ่งอรุณนั้นเป็นสรวงสวรรค์ที่ห่างไกลจากความขัดแย้งและสงครามของทวีปฟิรุแมน
ผู้คนในแผ่นดินใหญ่คิดว่าเกาะนี้เป็นเหมือนกับสวรรค์ยังไงก็ตาม ตอนนี้พวกไฮเอลฟ์ที่อยู่ที่เกาะกำลังตกอยู่ในความหยุ่งเหยิง
ก่อนหน้านี้ไม่นานเกาะรุ่งอรุณได้ส่งกองเรือนกกระจอกวายุเงินไปโจมตีเฟิร์ด โดยมีผู้นำเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานเลเวล 16 ยังไงก็ตาม กองทัพเรือทั้งหมดได้ถูกทำลายลง และมาสเตอร์ระดับตำนานคนนั้นยังถูกศัตรูจับไปอีก
ไฮเอลฟ์ทุกคนที่อยู่บนเกาะต่างก็ตกใจกับข่าวนี้
ทุกคนตอบสนองแตกต่างกันไปกับความพ่ายแพ้ของกองเรือนกกระจอกวายุเงิน
ผู้เฒ่าไฮเอลฟ์บางคนมองไปทางต้นไม้โลกและอุทานออกมาในทันที“ขอบคุณพระเจ้า, อย่างน้อยพวกเราก็ยังมีต้นไม้โลกคอยคุ้มครอง!”
ในอีกด้านนึงพวกไฮเอลฟ์หนุ่มสาวที่ดูฉลาดกว่านั้นเหมือนจะค่อนข้างกังวลกับเรื่องนี้
“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเฟิร์ดจะแข็งแกร่งขนาดนี้โดยเฉพาะลอร์ดเฟิร์ด เขาสามารถทำลายพายุสิ้นโลกของกองเรือได้ด้วยการสบัดดาบแค่ครั้งเดียว มันไม่มีทางเลยที่หนึ่งในพวกเราจะมีหวังในการจัดการคนที่แข็งแกร่งระดับนั้นได้!”
“ตอนนี้แผ่นดินใหญ่ตกเป็นของพวกมนุษย์แล้วพวกเราจะเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเกาะเล็กๆนี้จะดีหรอ?”
“ลอร์ดเฟิร์ดจัดการได้แม้กระทั่งพายุสิ้นโลกต้นไม้โลกของพวกเราจะรับมือกับเขาไหวรึเปล่านะ?” ในช่วงพันปีที่ผ่านมานี้ระบบการศึกษาที่ดีที่สุดนั้นอยู่ที่เกาะรุ่งอรุณ
แม้ว่าจะมีปัญหากระทบกระทั่งกันภายในของตระกูลไฮเอลฟ์ต่างๆที่อาศัยอยู่บนเกาะแต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเกาะส่วนใหญ่ก็ยังมีการศึกษามากกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป
และถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ดีเด่นไปซะทั้งหมดแต่อย่างน้อยระบบการศึกษาของเกาะก็ทำให้มั่นใจว่าผู้อาศัยจะไม่ออกมาเป็นไอ้โง่จนหมดทางเยียวยา
แต่ในตอนนี้ทั่วทั้งเกาะกำลังถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ
ท่ามกลางความไม่สงบนี้มีเรือพ่อค้าไฮเอลฟ์ลำนึงเข้ามาจอดเทียบที่ท่าเรือเล็กๆตรงชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะรุ่งอรุณ พวกเขาพึ่งกลับมาจากป่าทมิฬ
มีลูกเรือจำนวนหนึ่งกำลังจอแจกันอยู่ด้านบนดาดฟ้าเรือ10 นาทีต่อมา ธงเรือสีม่วงก็ถูกปลดลงจากเสากระโดง “พวกเรามาถึงแผ่นดินแล้ว!ถอนสมอลงได้!” ต้นหนเรือพูดพร้อมกับโบกมือส่งสัญญาณให้ลูกเรือ โซ่เหล็กหนาถูกทิ้งจากดาดฟ้าเรือตกลงไปในะเล ในตอนที่เรือเทียบท่าดีแล้ว ลูกเรือก็เริ่มเอาสินค้าลงจากเรือ
ในขณะที่ลูกเรือกำลังวุ่นวายอยู่นี้เองนักรบไฮเอลฟ์คนนึงที่สวมชุดเกราะสีเขียวเข้มก็กระโดดลงจากเรือ จากนั้นเขาก็โบกมือลาต้นหนเรือและเริ่มเดินไปรังไวเวิร์นที่อยู่ใก้ลกับท่าเรือ
ต้องขอบคุณสายเลือดมังกรเขียวของพวกมันไวเวิร์นที่อาศัยอยู่ในรังจึงได้รับการรับรู้จากต้นไม้โลกไปโดยอัตโนมัติในฐานะชาวพื้นเมืองเหมือนกับไฮเอลฟ์และถูกใช้เป็นยานพาหนะทางอากาศของเกาะ บนเกาะรุ่งอรุณ สิ่งมีชีวิตพวกนี้มักจะถูกเลี้ยงเอาไว้สำหรับขนส่ง
แต่เพราะความหายากพวกมันจึงมีค่าตัวค่อนข้างสูง การเดินทางหนึ่งครั้งจะต้องใช้เงินอย่างน้อย 3 ทอง แม้กระทั่งในสถานที่ที่มั่งคั่งอย่างเกาะรุ่งอรุณเอง พวกไฮเอลฟ์ทั่วๆไปก็ยังคิดแล้วคิดอีกในการที่จะจ่ายเงินจำนวนขนาดนั้นเพื่อบินด้วยสิ่งมีชีวิตพวกนี้
ยังไงก็ตามดูเหมือนว่าเรื่องนั้นจะไม่เป็นปัญหากับนักรบไฮเอลฟ์คนนี้เลย ด้วยการพูดคุยกับคนเลี้ยงไวเวิร์นที่อยู่ในรังของมันและจ่ายเหรียญทองตามที่เขาต้องการ ในที่สุดไฮเอลฟ์ก็ได้รับนกหวีดมังกรมา
ไม่กี่นาทีต่อมานักรบหนุ่มก็ขี่หลังไวเวิร์นบินตรงไปที่ใจกลางเกาะรุ่งอรุณ โดยทิ้งท่าเรือไว้เอาไว้ข้างหลัง
เกาะรุ่งอรุณนั้นมีความกว้างประมาณ400 ตางรางไมล์ ถ้าใช้ความเร็วเต็มที่ไวเวิร์นสามารถบินรอบเกาะได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมง ยังไงก็ตาม มันถือเป็นข้อห้าม เพื่อความปลอดภัย วัตถุทางอากาศใดก็ตามที่บินเร็วกว่า 60 ไมล์ต่อชั่วโมงบนน่านฟ้าของเกาะจะถูกต้นไม้โลกมองว่าเป็นภัยคุกคามและถูกยิงทิ้งในทันที
ตอนนี้ไวเวิร์นของนักรบกำลังบินอยู่ที่ความเร็ว 55 ไมล์ต่อชั่วโมง ถ้าดูจากความเร็วในการบินของไวเวิร์นแล้ว ผู้คนอาจจะคิดว่าไฮเอลฟ์คนนี้กำลังบินอย่างสบายๆ
หลังจากที่บินอยู่นานกว่า2 ชั่วโมง เมืองเซนท์โดเซ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา ไฮเอลฟ์เป่านกหวีดอยู่สองสามครั้ง จากนั้นไวเวิร์นก็ค่อยๆลดระดับความสูงลงมาจนถึงพื้นที่ใกล้ๆกับรังไวเวิร์นที่อยู่ด้านนอกเมือง
รังนี้เชื่อมต่อกับเมืองด้วยถนนหลักหลังจากนั้นไม่นาน นักรบไฮเอลฟ์ก็ขี่ม้าไปตามถนนหลักมุ่งหน้าไปยังเมืองเซนท์โดเซ่
ประชากรของเมืองเซนท์โดเซ่นั้นเป็นรองแค่เมืองอันวาร์แต่ในเมืองนั้นมีความวุ่นวายไม่น้อยไปกว่ากันเลย ในบางครั้ง ไฮเอลฟ์จะเดินผ่านไฮเอลฟ์คนหรือสองคนบนถนน การปรากฏตัวของพวกเขาเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความมั่งคั่งของเมือง
ไม่นานนักไฮเอลฟ์หนุ่มก็มาถึงที่ทางเข้าเมือง ด้วยความที่พวกเขาอาศัยอย่างสงบสุขมานานกว่า 3,000 ปี ผู้ที่อาศัยอยู่ในเกาะรุ่งอรุณจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างกำแพงดีๆเอาไว้รอบเมืองของพวกเขา ทางเข้าเมืองเซนท์โดเซ่นั้นสร้างกำแพงขึ้นมาแค่เพื่อแสดงให้เห็นเขตเมืองเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้มีการ์ดอยู่สองคนกำลังยืนอยู่ที่ทั้งสองฝั่งของทางเข้า
การ์ดได้หยุดนักรบไฮเอลฟ์เอาไว้ในทันที
“เจ้าหนุ่มบอกชื่อกับจุดหมายของเจ้ามา” การ์ดคนนึงพูดอย่างห้วนๆ
“ทีโอดอร์มอร์เก็นลีฟครับ ข้าพึ่งกลับมาจากป่าทมิฬ” ไฮเอลฟ์หนุ่มตอบ จากนั้นเขาก็เอาผลไม้สีม่วง 2 ลูกออกมาจากกระเป๋าของเขา “ส่วนนี่ของฝากจากป่าทมิฬครับ ลองชิมดูสิ”
การ์ดทั้งสองคนลดการระมัดระวังลงและแสดงสีหน้าเป็นมิตรในทันที
หลังจากที่ได้รับผลไม้จากไฮเอลฟ์หนุ่มยามคนนึงก็สบัดมือให้เขาและพูดออกมา “เข้าไปได้เลย พยายามอย่ามีเรื่องกับใครหล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงครับข้าไม่ทำแบบนั้นหรอก” ไฮเอลฟ์หนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็ขี่ม้าไปที่เมืองและเริ่มเดินทางผ่านถนนไปจนถึงส่วนเหนือของเมือง
ไฮเอลฟ์หนุ่มได้หยุดลงที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งนึงหลังจากที่พาม้าไปที่คอกม้าใกล้ๆ เขาก็ไปหาเจ้าของโรมเตี๊ยมที่กำลังยืนอยู่หลังเคาเตอร์
เมืองเซนท์โดเซ่นั้นมีพื้นที่ประมาณ10 ตารางไมล์ ยังไงก็ตาม มันมีไฮเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ที่นี่แค่ 200,000 คนเท่านั้น และตอนนี้มันก็เป็นเวลาบ่ายสอง ดังนั้นโรงเตี๊ยมจึงแทบไม่มีผู้คนเลย
“หนุ่มน้อย,คืนนี้จะเข้าพักที่นี่หรอ?” เจ้าของโรงเตี๊ยมอายุยังไม่ถึง 40 ปี ยังไงก็ตาม ไม่ว่าไฮเอลฟ์จะมีอายุยืนยาวแค่ไหน ผู้หญิงก็ยังเป็นเพศที่น่ามองอยู่ดี เธอสวมชุดเดรสสีดำ และผิวของเธอก็ขาวเหมือนกับหิมะ ดวงตาของเธอนั้นค่อนข้างเหี่ยวย่น เนื่องจากผลของความร้อนในช่วงเวลากลางวัน
ในตอนที่มั่นใจแล้วว่าแขกคนอื่นจะไม่เห็นว่าเขาทำอะไรจากห้องนั่งเล่นไฮเอลฟ์หนุ่มก็จุ่มนิ้วลงไปในแก้วน้ำชาของเจ้าของโรงเตี๊ยมที่อยู่บนเคาเตอร์ ก่อนที่เธอจะมีเวลาได้ตอบสนอง เขาก็รีบใช้นิ้ววาดรูปมังกรลงบนโต๊ะ
ในตอนที่เขาวาดเสร็จชายหนุ่มก็เงยหน้ามองเจ้าของโรงเตี๊ยม
ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ตาโตจากนั้นเธอก็มองแขกที่อยู่ในห้องนั่งเล่น ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบพูดกับไฮเอลฟ์หนุ่มในทันที “มากับข้าสิ ตอนนี้พวกเรามีห้องว่างอยู่ที่ชั้นบนพอดี”
จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นนำทางหุ่นของเจ้าของโรงเตี๊ยมนั้นยั่วยวนมาก เอวบางๆของเธอส่ายไปมาในทุกๆก้าวที่เธอเดิน แขกผู้ชายบางคนยังอดเหล่มองเธอเป็นพักๆไม่ได้ด้วยซ้ำ
ไฮเอลฟ์หนุ่มตามเจ้าของโรงเตี๊ยมไปจนถึงชั้น3 ของอาคาร หลังจากนั้นเจ้าของโรงเตี๊ยมก็เปิดประตูห้องที่อยู่ข้างในสุดของทางเดินและรีบเดินเข้าไปในห้อง
ไฮเอลฟ์หนุ่มตามเธอเข้าไป
ด้วยเสียงดังปังประตูไม้ที่ด้านหลังเขาก็ปิดลง ทำให้ห้องตกสู่ความมืด
ทันใดนั้นเองไฮเอลฟ์ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ทั้งเย็นเฉียบและคมกริบอยู่ใกล้ๆกับคอของเขา มันคือมีดนั้นเอง มีเสียงของผู้หญิงดังมาจากความมืดอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นใคร? เจ้ารู้จักรหัสมังกรได้ยังไง?”
เสียงนั้นเป็นของเจ้าของโรงเตี๊ยมยังไงก็ตาม ตอนนี้มันไม่มีความอบอุ่นเหมือนกับตอนที่เธอทักทายไฮเอลฟ์หนุ่มเลย ไฮเอลฟ์หนุ่มมั่นใจว่าถ้าเขาตอบไม่เข้าหูเธอ, เขาจะต้องโดนปาดคอแน่ๆ
ใบหน้าของนักรบไฮเอลฟ์ยังนิ่งอยู่และโดยไม่พยายามต่อต้านการลอบโจมตีของเธอ เขาก็พูดขึ้นมา “มังกรบินว่อนบนท้องฟ้าอันสดใส ความอดทนของท่านลอร์ดได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว!”
เจ้าของโรงเตี๊ยมตัวสั่นมีดที่เธอถืออยู่หล่นลงมาจากคอของเขาด้วยเสียงดังลั่น เธอพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “เรายังไม่ได้รายละเอียดที่แน่นอนของเมืองหลวงเลยนะคะ พวกเรายังตามหาจุดอ่อนของต้นไม้โลกกันอยู่เลย”
“นั่นแหล่ะคือเหตุผลที่ฉันมาที่นี่”นักรบไฮเอลฟ์หนุ่มตอบ ท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนๆ จะเห็นได้ว่าดวงตาของเขานั้นมีสีดำมากกว่าสีเขียวที่เป็นสีตาทั่วไปของไฮเอลฟ์ผู้ชายของเกาะรุ่งอรุณ
ยังไงก็ตามเจ้าของโรงเตี๊ยมยังคงตัวสั่นกับสิ่งที่เขาพูดและความผิดพลาดของเธอที่ไม่เห็นความผิดปกติก่อนหน้านี้
“ฉันให้เวลาสองวันรีบเตรียมตัวตนใหม่ให้ฉันซะ ฉันมีเรื่องบางอย่างต้องไปสะสางที่เมืองหลวง” ไฮเอลฟ์หนุ่มพูดอย่างเย่อหยิ่ง ด้วยเหตุผลบางประการ มีดของเจ้าของโรงเตี๊ยมนั้นได้มาอยู่ที่มือของเขาแล้ว และมันก็ระเหยกลายเป็นกลุ่มควัน
ไฮเอลฟ์คนนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากลิงค์เขาวางแผนที่จะเพิ่มความเร็วในการรวมภพ นี่เป็นภารกิจที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนมาก การเตรียมการในภพอารากู่ได้เสร็จสิ้นแล้ว ลิงค์เหลือแค่ต้องเตรียมการรวมภพที่ฟิรุแมนให้พร้อม
และในทันที่ทีทุกอย่างเรียบร้อยทั้งสองภพก็จะกลับมารวมกันได้อีกโดยไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ
ยังไงก็ตามเขาได้ฆ่ามิลด้ากับราชามอร์เดอน่าไปแล้ว ตอนนี้เขาคือศัตรูของไฮเอลฟ์ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ไฮเอลฟ์ทำเรื่องโง่ๆ ลิงค์จึงตัดสินใจที่จะลอบเข้ามาอย่างลับๆ
ส่วนเจ้าของโรงเตี๊ยมคนนี้ก็คือหนึ่งในสายลับหลายคนของเฟิร์ดที่ลิงค์ได้ส่งมาที่เกาะตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ไฮเอลฟ์ได้ส่งสายลับจำนวนมากไปทั่วทั้งทวีป ดังนั้นเฟิร์ดเองก็คิดว่ามันเป็นเรื่องเหมาะสมในการที่จะสร้างเครือข่ายสายลับภายในเกาะรุ่งอรุณบ้างเพื่อติดตามการกระทำของพวกไฮเอลฟ์
ตอนนี้ความพยายามอย่างหนักของลิงค์ได้ส่งผลแล้ว
เจ้าของโรงเตี๊ยมตกใจและพบว่าตัวเองหมดความตั้งใจที่จะต่อรองกับไฮเอลฟ์ปริศนาคนนี้แล้วเธอพูดออกมา “รับทราบค่ะนายท่าน ข้าจะรีบทำตามที่ท่านประสงค์”
หลังจากที่เธอพูดจบเธอก็พึ่งรู้ว่าชายคนนี้น่ากลัวขนาดไหนในตอนที่เธอออกมาจากห้อง ขาของเธอก็อ่อนยวบในทันที และหลังของเธอก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
พระเจ้า,รอบนี้ข้าพาสัตว์ประหลาดอะไรเข้ามากันแน่เนี่ย? เจ้าของโรงเตี๊ยมคิด
��
เกาะรุ่งอรุณ
ในช่วง3,000 ปีมานี้ เกาะรุ่งอรุณนั้นเป็นสรวงสวรรค์ที่ห่างไกลจากความขัดแย้งและสงครามของทวีปฟิรุแมน
ผู้คนในแผ่นดินใหญ่คิดว่าเกาะนี้เป็นเหมือนกับสวรรค์ยังไงก็ตาม ตอนนี้พวกไฮเอลฟ์ที่อยู่ที่เกาะกำลังตกอยู่ในความหยุ่งเหยิง
ก่อนหน้านี้ไม่นานเกาะรุ่งอรุณได้ส่งกองเรือนกกระจอกวายุเงินไปโจมตีเฟิร์ด โดยมีผู้นำเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานเลเวล 16 ยังไงก็ตาม กองทัพเรือทั้งหมดได้ถูกทำลายลง และมาสเตอร์ระดับตำนานคนนั้นยังถูกศัตรูจับไปอีก
ไฮเอลฟ์ทุกคนที่อยู่บนเกาะต่างก็ตกใจกับข่าวนี้
ทุกคนตอบสนองแตกต่างกันไปกับความพ่ายแพ้ของกองเรือนกกระจอกวายุเงิน
ผู้เฒ่าไฮเอลฟ์บางคนมองไปทางต้นไม้โลกและอุทานออกมาในทันที“ขอบคุณพระเจ้า, อย่างน้อยพวกเราก็ยังมีต้นไม้โลกคอยคุ้มครอง!”
ในอีกด้านนึงพวกไฮเอลฟ์หนุ่มสาวที่ดูฉลาดกว่านั้นเหมือนจะค่อนข้างกังวลกับเรื่องนี้
“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเฟิร์ดจะแข็งแกร่งขนาดนี้โดยเฉพาะลอร์ดเฟิร์ด เขาสามารถทำลายพายุสิ้นโลกของกองเรือได้ด้วยการสบัดดาบแค่ครั้งเดียว มันไม่มีทางเลยที่หนึ่งในพวกเราจะมีหวังในการจัดการคนที่แข็งแกร่งระดับนั้นได้!”
“ตอนนี้แผ่นดินใหญ่ตกเป็นของพวกมนุษย์แล้วพวกเราจะเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเกาะเล็กๆนี้จะดีหรอ?”
“ลอร์ดเฟิร์ดจัดการได้แม้กระทั่งพายุสิ้นโลกต้นไม้โลกของพวกเราจะรับมือกับเขาไหวรึเปล่านะ?” ในช่วงพันปีที่ผ่านมานี้ระบบการศึกษาที่ดีที่สุดนั้นอยู่ที่เกาะรุ่งอรุณ
แม้ว่าจะมีปัญหากระทบกระทั่งกันภายในของตระกูลไฮเอลฟ์ต่างๆที่อาศัยอยู่บนเกาะแต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเกาะส่วนใหญ่ก็ยังมีการศึกษามากกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป
และถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ดีเด่นไปซะทั้งหมดแต่อย่างน้อยระบบการศึกษาของเกาะก็ทำให้มั่นใจว่าผู้อาศัยจะไม่ออกมาเป็นไอ้โง่จนหมดทางเยียวยา
แต่ในตอนนี้ทั่วทั้งเกาะกำลังถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ
ท่ามกลางความไม่สงบนี้มีเรือพ่อค้าไฮเอลฟ์ลำนึงเข้ามาจอดเทียบที่ท่าเรือเล็กๆตรงชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะรุ่งอรุณ พวกเขาพึ่งกลับมาจากป่าทมิฬ
มีลูกเรือจำนวนหนึ่งกำลังจอแจกันอยู่ด้านบนดาดฟ้าเรือ10 นาทีต่อมา ธงเรือสีม่วงก็ถูกปลดลงจากเสากระโดง “พวกเรามาถึงแผ่นดินแล้ว!ถอนสมอลงได้!” ต้นหนเรือพูดพร้อมกับโบกมือส่งสัญญาณให้ลูกเรือ โซ่เหล็กหนาถูกทิ้งจากดาดฟ้าเรือตกลงไปในะเล ในตอนที่เรือเทียบท่าดีแล้ว ลูกเรือก็เริ่มเอาสินค้าลงจากเรือ
ในขณะที่ลูกเรือกำลังวุ่นวายอยู่นี้เองนักรบไฮเอลฟ์คนนึงที่สวมชุดเกราะสีเขียวเข้มก็กระโดดลงจากเรือ จากนั้นเขาก็โบกมือลาต้นหนเรือและเริ่มเดินไปรังไวเวิร์นที่อยู่ใก้ลกับท่าเรือ
ต้องขอบคุณสายเลือดมังกรเขียวของพวกมันไวเวิร์นที่อาศัยอยู่ในรังจึงได้รับการรับรู้จากต้นไม้โลกไปโดยอัตโนมัติในฐานะชาวพื้นเมืองเหมือนกับไฮเอลฟ์และถูกใช้เป็นยานพาหนะทางอากาศของเกาะ บนเกาะรุ่งอรุณ สิ่งมีชีวิตพวกนี้มักจะถูกเลี้ยงเอาไว้สำหรับขนส่ง
แต่เพราะความหายากพวกมันจึงมีค่าตัวค่อนข้างสูง การเดินทางหนึ่งครั้งจะต้องใช้เงินอย่างน้อย 3 ทอง แม้กระทั่งในสถานที่ที่มั่งคั่งอย่างเกาะรุ่งอรุณเอง พวกไฮเอลฟ์ทั่วๆไปก็ยังคิดแล้วคิดอีกในการที่จะจ่ายเงินจำนวนขนาดนั้นเพื่อบินด้วยสิ่งมีชีวิตพวกนี้
ยังไงก็ตามดูเหมือนว่าเรื่องนั้นจะไม่เป็นปัญหากับนักรบไฮเอลฟ์คนนี้เลย ด้วยการพูดคุยกับคนเลี้ยงไวเวิร์นที่อยู่ในรังของมันและจ่ายเหรียญทองตามที่เขาต้องการ ในที่สุดไฮเอลฟ์ก็ได้รับนกหวีดมังกรมา
ไม่กี่นาทีต่อมานักรบหนุ่มก็ขี่หลังไวเวิร์นบินตรงไปที่ใจกลางเกาะรุ่งอรุณ โดยทิ้งท่าเรือไว้เอาไว้ข้างหลัง
เกาะรุ่งอรุณนั้นมีความกว้างประมาณ400 ตางรางไมล์ ถ้าใช้ความเร็วเต็มที่ไวเวิร์นสามารถบินรอบเกาะได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมง ยังไงก็ตาม มันถือเป็นข้อห้าม เพื่อความปลอดภัย วัตถุทางอากาศใดก็ตามที่บินเร็วกว่า 60 ไมล์ต่อชั่วโมงบนน่านฟ้าของเกาะจะถูกต้นไม้โลกมองว่าเป็นภัยคุกคามและถูกยิงทิ้งในทันที
ตอนนี้ไวเวิร์นของนักรบกำลังบินอยู่ที่ความเร็ว 55 ไมล์ต่อชั่วโมง ถ้าดูจากความเร็วในการบินของไวเวิร์นแล้ว ผู้คนอาจจะคิดว่าไฮเอลฟ์คนนี้กำลังบินอย่างสบายๆ
หลังจากที่บินอยู่นานกว่า2 ชั่วโมง เมืองเซนท์โดเซ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา ไฮเอลฟ์เป่านกหวีดอยู่สองสามครั้ง จากนั้นไวเวิร์นก็ค่อยๆลดระดับความสูงลงมาจนถึงพื้นที่ใกล้ๆกับรังไวเวิร์นที่อยู่ด้านนอกเมือง
รังนี้เชื่อมต่อกับเมืองด้วยถนนหลักหลังจากนั้นไม่นาน นักรบไฮเอลฟ์ก็ขี่ม้าไปตามถนนหลักมุ่งหน้าไปยังเมืองเซนท์โดเซ่
ประชากรของเมืองเซนท์โดเซ่นั้นเป็นรองแค่เมืองอันวาร์แต่ในเมืองนั้นมีความวุ่นวายไม่น้อยไปกว่ากันเลย ในบางครั้ง ไฮเอลฟ์จะเดินผ่านไฮเอลฟ์คนหรือสองคนบนถนน การปรากฏตัวของพวกเขาเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความมั่งคั่งของเมือง
ไม่นานนักไฮเอลฟ์หนุ่มก็มาถึงที่ทางเข้าเมือง ด้วยความที่พวกเขาอาศัยอย่างสงบสุขมานานกว่า 3,000 ปี ผู้ที่อาศัยอยู่ในเกาะรุ่งอรุณจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างกำแพงดีๆเอาไว้รอบเมืองของพวกเขา ทางเข้าเมืองเซนท์โดเซ่นั้นสร้างกำแพงขึ้นมาแค่เพื่อแสดงให้เห็นเขตเมืองเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้มีการ์ดอยู่สองคนกำลังยืนอยู่ที่ทั้งสองฝั่งของทางเข้า
การ์ดได้หยุดนักรบไฮเอลฟ์เอาไว้ในทันที
“เจ้าหนุ่มบอกชื่อกับจุดหมายของเจ้ามา” การ์ดคนนึงพูดอย่างห้วนๆ
“ทีโอดอร์มอร์เก็นลีฟครับ ข้าพึ่งกลับมาจากป่าทมิฬ” ไฮเอลฟ์หนุ่มตอบ จากนั้นเขาก็เอาผลไม้สีม่วง 2 ลูกออกมาจากกระเป๋าของเขา “ส่วนนี่ของฝากจากป่าทมิฬครับ ลองชิมดูสิ”
การ์ดทั้งสองคนลดการระมัดระวังลงและแสดงสีหน้าเป็นมิตรในทันที
หลังจากที่ได้รับผลไม้จากไฮเอลฟ์หนุ่มยามคนนึงก็สบัดมือให้เขาและพูดออกมา “เข้าไปได้เลย พยายามอย่ามีเรื่องกับใครหล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงครับข้าไม่ทำแบบนั้นหรอก” ไฮเอลฟ์หนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็ขี่ม้าไปที่เมืองและเริ่มเดินทางผ่านถนนไปจนถึงส่วนเหนือของเมือง
ไฮเอลฟ์หนุ่มได้หยุดลงที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งนึงหลังจากที่พาม้าไปที่คอกม้าใกล้ๆ เขาก็ไปหาเจ้าของโรมเตี๊ยมที่กำลังยืนอยู่หลังเคาเตอร์
เมืองเซนท์โดเซ่นั้นมีพื้นที่ประมาณ10 ตารางไมล์ ยังไงก็ตาม มันมีไฮเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ที่นี่แค่ 200,000 คนเท่านั้น และตอนนี้มันก็เป็นเวลาบ่ายสอง ดังนั้นโรงเตี๊ยมจึงแทบไม่มีผู้คนเลย
“หนุ่มน้อย,คืนนี้จะเข้าพักที่นี่หรอ?” เจ้าของโรงเตี๊ยมอายุยังไม่ถึง 40 ปี ยังไงก็ตาม ไม่ว่าไฮเอลฟ์จะมีอายุยืนยาวแค่ไหน ผู้หญิงก็ยังเป็นเพศที่น่ามองอยู่ดี เธอสวมชุดเดรสสีดำ และผิวของเธอก็ขาวเหมือนกับหิมะ ดวงตาของเธอนั้นค่อนข้างเหี่ยวย่น เนื่องจากผลของความร้อนในช่วงเวลากลางวัน
ในตอนที่มั่นใจแล้วว่าแขกคนอื่นจะไม่เห็นว่าเขาทำอะไรจากห้องนั่งเล่นไฮเอลฟ์หนุ่มก็จุ่มนิ้วลงไปในแก้วน้ำชาของเจ้าของโรงเตี๊ยมที่อยู่บนเคาเตอร์ ก่อนที่เธอจะมีเวลาได้ตอบสนอง เขาก็รีบใช้นิ้ววาดรูปมังกรลงบนโต๊ะ
ในตอนที่เขาวาดเสร็จชายหนุ่มก็เงยหน้ามองเจ้าของโรงเตี๊ยม
ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ตาโตจากนั้นเธอก็มองแขกที่อยู่ในห้องนั่งเล่น ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบพูดกับไฮเอลฟ์หนุ่มในทันที “มากับข้าสิ ตอนนี้พวกเรามีห้องว่างอยู่ที่ชั้นบนพอดี”
จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นนำทางหุ่นของเจ้าของโรงเตี๊ยมนั้นยั่วยวนมาก เอวบางๆของเธอส่ายไปมาในทุกๆก้าวที่เธอเดิน แขกผู้ชายบางคนยังอดเหล่มองเธอเป็นพักๆไม่ได้ด้วยซ้ำ
ไฮเอลฟ์หนุ่มตามเจ้าของโรงเตี๊ยมไปจนถึงชั้น3 ของอาคาร หลังจากนั้นเจ้าของโรงเตี๊ยมก็เปิดประตูห้องที่อยู่ข้างในสุดของทางเดินและรีบเดินเข้าไปในห้อง
ไฮเอลฟ์หนุ่มตามเธอเข้าไป
ด้วยเสียงดังปังประตูไม้ที่ด้านหลังเขาก็ปิดลง ทำให้ห้องตกสู่ความมืด
ทันใดนั้นเองไฮเอลฟ์ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ทั้งเย็นเฉียบและคมกริบอยู่ใกล้ๆกับคอของเขา มันคือมีดนั้นเอง มีเสียงของผู้หญิงดังมาจากความมืดอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นใคร? เจ้ารู้จักรหัสมังกรได้ยังไง?”
เสียงนั้นเป็นของเจ้าของโรงเตี๊ยมยังไงก็ตาม ตอนนี้มันไม่มีความอบอุ่นเหมือนกับตอนที่เธอทักทายไฮเอลฟ์หนุ่มเลย ไฮเอลฟ์หนุ่มมั่นใจว่าถ้าเขาตอบไม่เข้าหูเธอ, เขาจะต้องโดนปาดคอแน่ๆ
ใบหน้าของนักรบไฮเอลฟ์ยังนิ่งอยู่และโดยไม่พยายามต่อต้านการลอบโจมตีของเธอ เขาก็พูดขึ้นมา “มังกรบินว่อนบนท้องฟ้าอันสดใส ความอดทนของท่านลอร์ดได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว!”
เจ้าของโรงเตี๊ยมตัวสั่นมีดที่เธอถืออยู่หล่นลงมาจากคอของเขาด้วยเสียงดังลั่น เธอพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “เรายังไม่ได้รายละเอียดที่แน่นอนของเมืองหลวงเลยนะคะ พวกเรายังตามหาจุดอ่อนของต้นไม้โลกกันอยู่เลย”
“นั่นแหล่ะคือเหตุผลที่ฉันมาที่นี่”นักรบไฮเอลฟ์หนุ่มตอบ ท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนๆ จะเห็นได้ว่าดวงตาของเขานั้นมีสีดำมากกว่าสีเขียวที่เป็นสีตาทั่วไปของไฮเอลฟ์ผู้ชายของเกาะรุ่งอรุณ
ยังไงก็ตามเจ้าของโรงเตี๊ยมยังคงตัวสั่นกับสิ่งที่เขาพูดและความผิดพลาดของเธอที่ไม่เห็นความผิดปกติก่อนหน้านี้
“ฉันให้เวลาสองวันรีบเตรียมตัวตนใหม่ให้ฉันซะ ฉันมีเรื่องบางอย่างต้องไปสะสางที่เมืองหลวง” ไฮเอลฟ์หนุ่มพูดอย่างเย่อหยิ่ง ด้วยเหตุผลบางประการ มีดของเจ้าของโรงเตี๊ยมนั้นได้มาอยู่ที่มือของเขาแล้ว และมันก็ระเหยกลายเป็นกลุ่มควัน
ไฮเอลฟ์คนนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากลิงค์เขาวางแผนที่จะเพิ่มความเร็วในการรวมภพ นี่เป็นภารกิจที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนมาก การเตรียมการในภพอารากู่ได้เสร็จสิ้นแล้ว ลิงค์เหลือแค่ต้องเตรียมการรวมภพที่ฟิรุแมนให้พร้อม
และในทันที่ทีทุกอย่างเรียบร้อยทั้งสองภพก็จะกลับมารวมกันได้อีกโดยไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ
ยังไงก็ตามเขาได้ฆ่ามิลด้ากับราชามอร์เดอน่าไปแล้ว ตอนนี้เขาคือศัตรูของไฮเอลฟ์ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ไฮเอลฟ์ทำเรื่องโง่ๆ ลิงค์จึงตัดสินใจที่จะลอบเข้ามาอย่างลับๆ
ส่วนเจ้าของโรงเตี๊ยมคนนี้ก็คือหนึ่งในสายลับหลายคนของเฟิร์ดที่ลิงค์ได้ส่งมาที่เกาะตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ไฮเอลฟ์ได้ส่งสายลับจำนวนมากไปทั่วทั้งทวีป ดังนั้นเฟิร์ดเองก็คิดว่ามันเป็นเรื่องเหมาะสมในการที่จะสร้างเครือข่ายสายลับภายในเกาะรุ่งอรุณบ้างเพื่อติดตามการกระทำของพวกไฮเอลฟ์
ตอนนี้ความพยายามอย่างหนักของลิงค์ได้ส่งผลแล้ว
เจ้าของโรงเตี๊ยมตกใจและพบว่าตัวเองหมดความตั้งใจที่จะต่อรองกับไฮเอลฟ์ปริศนาคนนี้แล้วเธอพูดออกมา “รับทราบค่ะนายท่าน ข้าจะรีบทำตามที่ท่านประสงค์”
หลังจากที่เธอพูดจบเธอก็พึ่งรู้ว่าชายคนนี้น่ากลัวขนาดไหนในตอนที่เธอออกมาจากห้อง ขาของเธอก็อ่อนยวบในทันที และหลังของเธอก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
พระเจ้า,รอบนี้ข้าพาสัตว์ประหลาดอะไรเข้ามากันแน่เนี่ย? เจ้าของโรงเตี๊ยมคิด
��