Akuyaku Reijou no Naka no Hito - ตอนที่ 2 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 02
ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 02
…วันหนึ่ง เอมิได้ปรากฏตัวขึ้นภายในร่างกายของข้าอย่างกะทันหัน ตอนที่ข้ายังเด็ก ตอนที่ข้ายังเป็นตัวข้าเอง ในวันนั้น ข้ามีไข้ขึ้นสูง และเมื่อรู้ตัวอีกที… ร่างกายของข้าก็ไม่ได้เป็นของข้าอีกต่อไป
จิตใจของเอมิหลั่งไหลเข้ามาในสมองของข้า เรียกได้ว่าเข้ามายืดครองจะใกล้เคียงกว่า
แน่นอนว่าข้าต้องโกรธ ถูกคนแปลกหน้าขโมยร่างกาย ตัวตน และพูดด้วยเสียงของข้า ตัวข้าได้แต่มองดูผ่านดวงตาของข้าซึ่งตัวข้าเองไม่สามารถควบคุมมันได้ ทำอะไรไม่ได้เลย คนที่ได้เจอเช่นนี้แล้วไม่รู้สึกโกรธ คงมีแต่คนโง่กับผู้ที่ตัดขาดจากทางโลกแล้วเท่านั้น ตัวข้าในตอนนั้นเป็นแค่เด็ก ถูกพรากอิสระทางร่างกายไปโดยสมบูรณ์ ทำได้แค่คิดตะโกนด่าถ้อยคำสาปแช่งต่างๆนาๆ แต่ก็ไม่มีเสียให้ได้ยิน ร้องไห้เหมือนเด็กๆอยู่ข้างในจิตใจโดยไม่มีใครรู้
ใช่เวลาหลายวันกว่าข้าจะใจเย็นพอที่จะเฝ้าสังเกตการณ์ถึงความเคลื่อนไหวของผู้ที่ยึดครองร่างของข้า เพื่อวางแผนหาทางช่วงชิงกลับคืนมา
ช่วงที่ผ่านมา ระหว่างที่ข้าพยายามตั้งสติ ตัวตนที่เข้ามายึดครองร่างกายของข้าก็ดูเหมือนจะอ่อนเพลียไม่ได้สติเพราะพิษไข้เช่นเดียวกัน ในตอนนี้เอง ข้าได้รู้เป็นครั้งแรกว่า ตัวข้าสามารถรับรู้ความรู้สึกภายในจิตใจของใครบางคนที่ควบคุมร่างกายของข้าอยู่ตอนนี้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ค่อนข้างจะสับสน และยังมีความรู้สึกที่ตัวข้าที่ยังเด็กไม่เข้าใจ
ข้าได้เรียบเรียงเรื่องราวจนทำความเข้าใจได้แล้วระดับหนึ่ง คนที่เข้ามายึดครองร่างของข้ามีชื่อว่า ‘เอมิ’ และเอมิคนนี้เป็นหญิงสาวผู้มาจากโลกที่แตกต่างอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเธอได้ตายลงในโลกนั้น และตื่นขึ้นมาในร่างของข้าที่อยู่ในโลกนี้โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่ทราบสาเหตุ
เอมิยังคงอาลัยชีวิตในอดีตของเธอจนถึงตอนนี้ ความรู้สึกคิดถึง ‘คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว’ ‘หวาดกลัวการเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยตัวคนเดียว’ ‘อยากกลับบ้าน’ ที่สัมผัสได้จากเธอ ทำให้ความโกรธของข้าที่มีต่อเอมิค่อยๆเปลี่ยนแปลงเป็นสงสารและเห็นใจ ข้ายังรู้สึกถึงความกังวลของเธอ ‘เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของร่างนี้ เรมิเลียจังเป็นยังไงบ้าง… แล้วตอนนี้เรมิเลียไปอยู่ที่ไหน’ ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนถูกโอบกอด นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกถึงความอบอุ่นเช่นนี้
ข้าคิดสาปแช่ง ไม่ว่าเทพหรือมารก็แล้วแต่ ที่กระทำการโหดร้ายเช่นนี้ แต่เป้าหมายของคำสาปแช่งจากข้าที่มีต่อเอมิ ไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว
หลังจากทำความเข้าใจตัวตนของเอมิ ความโกรธของข้าก็สงบลง จากนั้น ข้าก็ได้รู้ว่าข้าสามารถอ่าน ‘ความทรงจำของเอมิ’ ที่อยู่ในสมองได้ ราวกับมันเป็นของตัวข้าเอง
ความทรงจำของเอมินั้นอ่อนโยนและอบอุ่น เป็นความทรงจำที่มีเต็มไปด้วยความสุขที่ข้าไม่เคยได้รับเมื่อยังเด็ก เอมิยังคง ‘คิดถึง’ ครอบครัวของเธอทุกครั้งที่ได้ยินสาวใช้พูดถึงครอบครัวของข้าจากโถงทางเดิน โดยที่ข้าต้องเรียกครอบครัวของตัวเองว่า ‘ท่านพ่อ ท่านแม่’ เข้านอนคนเดียวตั้งแต่จำความได้ ห้องของข้ากว้างใหญ่กว่าห้องของเอมิในความทรงจำ แต่ข้าไม่เคยได้รับความรักจากครอบครัว ไม่มีความรู้สึกผูกพันกับทั้งพ่อและแม่ที่แทบจะไม่เคยอยู่ให้พบหน้า ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพวกเราเคยพูดคุยอะไรกันเมื่อได้อยู่ด้วยกันตามลำพังลำพัง
ในตอนที่ร่างกายของข้าเคลื่อนไหวตามความตั้งใจของเอมิ โดนที่ข้ายังสามารถมองเห็นและได้ยินผ่านดวงตาและหูของร่างกาย ตัวข้ามีแต่ความรู้สึกโกรธเป็นอย่างแรก แต่ไม่รู้สึก ‘เศร้า’ อย่างที่เอมิรู้สึก ดังนั้น หากเป็นกรณีที่กลับกัน… ถ้าข้าเป็นฝ่ายเข้ายึดครองร่างของเอมิ เอมิผู้ที่รักครอบครัวของเธอจะมีเพียงความรู้สึกเศร้า ที่เธอสามารถทำได้เพียงเฝ้าดูพวกเขา โดยที่ไม่สามารถพูดคุยได้ด้วยปากของตนเอง
ความทรงจำของเอมิทำให้ข้าเรียนรู้ความรู้สึกที่เรียกว่าความรัก และในความทรงจำของเอมินั้น ข้าได้เห็นเครื่องมือแปลกๆ ความรู้ และวัฒนธรรมที่ข้าไม่เข้าใจ เมื่อมองเข้าไปในความทรงจำของเอมิมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าก็รู้สึกใกล้ชิดเธอมากขึ้น… ความทรงจำทั้งหมดนั้นมองเห็นด้วยมุมมองของเอมิ ข้าจึงรู้สึกเหมือนเรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นกับตัวข้าเอง ความทรงจำทั้งทุกข์และสุข ในทุกช่วงเวลา ราวกับตัวข้าอยู่ตรงนั้น เติบโตขึ้นมาด้วยความรักจากครอบครัว
“เรมิเลีย นี่ในเรมิเลียตันใช่ไหม?! จอมวายร้าย เรมิเลีย โรส กราปเนอร์ คนนั้น…?! เอาจริงดิ? ฉันเกิดใหม่เป็นเรมิเลียเนี่ยนะ?”
ผ่านมาหลายเดือนนับตั้งแต่เอมิเข้ามาควบคุมร่างกายของข้า ส่วนข้าก็มองดูและเรียนรู้สิ่งที่อยู่ในความทรงจำของเธอ บางครั้งข้าก็มองดูโลกภายนอกในปัจจุบันด้วยดวงตาที่เอมิมองเห็น ความทรงจำของเธอมีแต่เรื่องน่าตื่นตาตื่นใจ วันเด็กอันน่าหลงใหลที่ข้าใฝ่ฝัน ความทรงจำอันแสนสุขของเอมิ ชีวิตที่ห้อมล้อมไปด้วยครอบครัวและเพื่อนๆมากมาย ข้าอยากจะจดจำความรู้สึกนี้ตลอดไป
ข้าได้รู้ว่า ท่านแม่ได้พาเอมิไปงานเลี้ยงที่พระราชวัง และเธอได้รับการหมั้นหมายกับเจ้าชายลำดับสอง ผู้ซึ่งในตอนนั้นมีตำแหน่งเป็นมกุฎราชกุมารอย่างไม่เป็นทางการ
เหตุการณ์นั้น ทำให้เรื่องราวบางอย่างที่อยู่ในความทรงจำของเอมิถูกกระตุ้นขึ้นมา ในรถม้าระหว่างทางกลับบ้าน เธอพยายามถามคำถามกับท่านแม่ในขอบเขตที่จะไม่ให้อีกฝ่ายรำคาญ ชื่อของเจ้าชายลำดับหนึ่ง ลูกชายของโดมินิก ผู้บัญชากองอัศวิน และ ลูกชายของเรฟ หัวหน้าจอมเวทแห่งราชสำนัก ซึ่งก็ทำให้ท่านแม่ดีใจที่เธอสามารถจำชื่อขุนนางระดับสูงกับครอบครัวของพวกเขาได้โดยที่ยังไม่ได้สอน แต่ภายในหัวของเอมิมีแต่ความปั่นป่วน มือและเท้าของเธอหนาวสั่น
เอมิที่ยังดูสับสนได้กลับมาที่ห้องของข้า เธอเดินไปที่กระจกโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็พิจารณาและเอื้อมมือไปสัมผัสภาพเงาสะท้อนเบื้องหน้า
“เรมิเลียตัน? อ๊า รูปร่างหน้าตาแบบนี้ต้องใช่แน่ๆ ถ้ามีเวอร์ชั่นคนแสดง ฉากย้อนวัยเด็กก็ต้องแบบนี้แหละ…”
เรื่องราวบางอย่างถูกเล่าบรรยายออกมาภายในใจของเธออย่างไม่เป็นระเบียบ ไม่ให้สาวใช้หน้าห้องได้ยิน ขณะที่เธอกำลังมอง เรมิเลีย โรส กราปเนอร์ ภาพสะท้อนในกระจกอย่างจริงจัง
สรุปเรื่องราวที่เอมิคิดพูดอยู่ในใจของเธอได้ว่า โลกที่ข้าใช้ชีวิตอยู่นี้ ตรงกับสิ่งที่เอมิเคยเห็นในอุปกรณ์ที่เรียกว่า ‘สมาร์ทโฟน’ มันคือเกมที่เธอเคยเล่นในโลกของเธอขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้ายังไม่เคยได้เห็นความทรงจำในส่วนนี้ ดังนั้น ข้าจึงทำการค้นหามันจากความทรงจำของเอมิทันที มองดูมันราวกับเป็นเรื่องของคนอื่น และได้พบสิ่งที่คล้ายกับภาพเหมือนของตัวข้าเอง นั่นทำให้ข้ารู้สึกใกล้ชิดกับเอมิมากขึ้น
ตัวข้าในเรื่องราวจากความทรงจำของเอมินั้น เป็นหญิงสาวที่ ‘โชคร้ายและน่าสงสาร’ ในมุมมองของเธอ เรมิเลียในเรื่องราวที่เอมิได้เห็นนั้น ถูกพ่อแม่ใช้งานเป็นเครื่องมือแต่งงานทางการเมือง ไม่เคยได้รับความรักใดๆ เป็นเด็กที่มีความสามารถเหนือจินตนาการ ฉลาดหลักแหลมเกินอายุ ครอบครองพลังเวทมนตร์มหาศาลไร้ก้นบึ้ง แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวมีแต่ความเย็นชา พบหน้าพ่อแม่ปีละไม่กี่ครั้ง ด้วยความเป็นว่าที่ดัชเชส คนรับใช้จึงหลีกเลี่ยงการพูดคุยเกิดความจำเป็น แม่แต่บรรดาอาจารย์ผู้สอนวิชาก็เช่นกัน… ซึ่งนั้นก็ทำให้เรมิเลียยึดติดกับวิลเลียด คนคนแรกที่พูดคุยกับเธอได้อย่างเป็นมิตร
เรมิเลียเติบโตขึ้นมาโดยถูกพ่อแม่ปฏิเสธที่จะรับรู้ความรู้สึกของเธอ จึงได้หันเหความรู้สึกเหล่านั้นไปหาคู่หมั้นให้เป็นที่พึ่งทางจิตใจเพียงหนึ่งเดียวโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งความรักที่เรมิเลียโหยหาแต่ไม่เคยได้รับจากพ่อแม่ ก็ได้ถูกคาดหวังกับวิลเลียดเช่นกัน… ดังนั้น ทั้งความเอาใจใส่แบบที่เด็กอยากได้รับจากพ่อแม่ กับความรักในรูปแบบของความหลงใหล ได้ถูกเรียกร้องกับวิลเลียดจนกลายเป็นภาระให้กับเขา
และแล้ว ใจของวิลเลียดก็เริ่มออกห่างเรมิเลีย เขาปฏิบัติกับเธอตามหน้าที่ของคู่หมั้นของราชวงศ์ในขั้นต่ำ ภายในไม่กี่ปีที่ทั้งคู่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ วิลเลียดก็ไม่หลงเหลือความรู้สึกใดๆให้กับเรมิเลียนอกจากคู่แต่งงานทางการเมือง กลายเป็นการแต่งงานที่เหมือนการคัดพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ของปศุสัตว์ มีความหมายเพียงเพื่อรวมสายเลือดของผู้กล้าซึ่งเป็นบรรพบุรุษของราชวงศ์ กับผู้ครอบครองพลังเวทอันยิ่งใหญ่เท่านั้น
แต่เรื่องก็ยุ่งยากขึ้น เมื่อเรมิเลียยังหลงใหลและหมกมุ่นกับวิลเลียดอยู่ฝ่ายเดียวมากจนผิดปรกติ จากนั้นคือบทที่หนึ่งของเรื่องราว เป็นเรื่องที่เกิดในสถาบันเวทมนตร์ซึ่งผู้ครอบครองพลังเวทจะต้องเข้าเรียนในที่แห่งนี้ และ ‘นางเอก’ ที่เป็น ‘หญิงสาวแห่งดวงดาว’ คือผู้มีเวทมนตร์ที่หาได้ยากยิ่ง แม้เป็นสามัญชนแต่ก็ได้รับเลือกให้เป็นนักเรียนลำดับพิเศษ
ในเวลาไม่นาน หญิงสาวแห่งดวงดาวได้สนิทสนมกับเด็กหนุ่มมากมายภายในโรงเรียน รวมถึงวิลเลียด เดวิด ลูกชายคนที่สองของผู้บัญชากองอัศวิน สเตฟาน บุตรเพียงคนเดียวของหัวหน้าจอมเวทแห่งราชสำนัก และโคลด ลูกพี่ลูกน้องของเรมิเลีย ทั้งสี่คนเป็น ‘ตัวละครหลักตามเนื้อเรื่อง’
ในบทที่สอง นางเอกจะสามารถสร้างความประทับใจและต่อสู้ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมในฐานะหญิงสาวแห่งดวงดาว เพื่อปกป้องโลกที่กำลังจะถูกทำลาย
เรมิเลียจะมีบทบาทอยู่เบื้องหลังของเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ ในฐานะจอมวายร้าย
ความสามารถพิเศษของหญิงสาวแห่งดวงดาวคือ ‘ปลุกพลังที่หลับใหล และ เพิ่มพลังความสามารถของผู้อื่น’ เธอจึงได้รับความคุ้มครองจากประเทศ และได้ใกล้ชิดกับวิลเลียด ทั้งสองเข้ากันได้ดี ซึ่งในบทแรก เรมิเลียสังเกตเห็นความรักที่เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขาได้เร็วกว่าตัววิลเลียดเอง จึงได้ลงมือขัดขวางหลากหลายวิธี จนในที่สุดก็ทำความผิดถึงขั้นที่ถูกกล่าวหาว่า ‘พยายามสังหารหญิงสาวแห่งดวงดาว’ การหมั้นจึงถูกยกเลิก สูญเสียสถานะขุนนาง ถึงอย่างนั้น เธอก็รอดจากการถูกประหาญชีวิตได้ด้วยสายเลือดตระกูลลำดับสูงของเธอ แต่ก็ถูกตัดขาดจากตระกูล และถูกกักบริเวณในบ้านหลังหนึ่งในดินแดนรกร้างที่อยู่ภายใต้การครอบครองของดยุกกราปเนอร์
เรมิเลียตกอยู่ในความเศร้าโศกจากการสูญเสียวิลเลียด ผู้ที่เป็น ‘ทุกอย่าง’ ในชีวิตของเธอ… เรมิเลียผู้สิ้นหวังแต่ก็ยังมีพลังเวทมนตร์หมาศาล ได้เข้ารื้อค้นตามโบราณสถานเพื่อตามหาเศษซากอารยธรรมเก่าแก่ด้วยตัวเอง จนในที่สุดก็คันพบวิธีอัญเชิญปีศาจได้สำเร็จ
ความปรารถนาที่เรมิเลียต้องการกับปีศาจอัญเชิญ คือ ‘ความพินาศของประเทศนี้ และดวงวิญญาณของวิลเลียด’ ซึ่งก็ถูกตอบรับโดยนายเหนือหัวผู้ปกครองเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งมวล ตัวตนที่เป็นดั่งเทพนิยายที่ว่ากันว่าอาศัยอยู่ ณ สุดขอบโลก
ด้วยเหตุนี้ โลกจึงอยู่ในช่วงเวลาของ ‘ภัยพิบัติแห่งหายนะ’ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบทหนึ่งของเนื้อเรื่อง ให้หญิงสาวแห่งดวงดาวและพรรคพวกของเธอออกผจญภัยต่อสู้กับราชาปีศาจหลังจากนั้น โดยที่เรมิเลียจะเข้าต่อสู้ขัดขวางพวกเขาหลายต่อหลายครั้งในฐานะศัตรูที่ทรงพลัง
เอมิเรียกสิ่งนี้ว่า ‘เกม RPG จีบหนุ่ม’ ที่ต้องเพิ่มค่าความสัมพันธ์ และจัดการกับเหตุการณ์ย่อยให้สำเร็จ เพื่อ ‘ปลดล็อค’ ส่วนใหม่ของ ‘เนื้อเรื่อง’ กับตัวละครหลัก วิลเลียดและคนอื่นๆ… และยังต้องเก็บค่าประสบการณ์ รวบรวมไอเทมเพื่อพัฒนา ให้กับตัวละครชายที่ยังมีอีกหลายคนนอกเหนือจากตัวละครหลัก และเอมิเคยต้องคิดหนักว่าควรจะเสียเงินกับ ‘กาชา’ เพื่อจุดประสงค์นั้นหรือไม่ แต่เรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกัน
ข้ามองดูเรื่องราวเหล่านั้นที่ถูกกำหนดไว้ โดยที่มีความรู้สึกของเอมิสอดแทรกเข้ามา เอมิคิดอยู่บ่อยๆว่า ‘เรมิเรียตันก็แค่เหงาไม่ใช่เหรอ’ ‘อยากให้เธอได้กินอาหารอุ่นๆ นอนบนฟูกนุ่มๆ’ ‘ไม่มีฉากจบดีๆให้เรมิเลียบ้างเหรอ?!’ ‘ถ้าฉันมีน้องสาวน่ารักแบบนี้ จะไม่ทำให้เสียใจแน่ คอยดูสิ’ ความรู้สึกเหล่านั้นของเธอทำให้ข้าถึงกับร้องไห้ออกมา
เอมิหลงใหลเรมิเลีย โรส กราปเนอร์ เป็นอย่างมาก ตั้งแต่แรกก็สนใจรูปร่างหน้าตาของตัวละครนี้แล้ว เมื่อได้รู้จักผ่านเนื้อเรื่องที่เปิดเผยออกมา เอมิก็ยิ่งชื่นชอบเรมิเลียจนยกให้เป็นอันดับหนึ่ง ปรารถนาให้ได้พบกับความสุข แค่ความคิดเช่นนั้นก็ทำให้ข้ามีความสุขแล้ว และนั่นก็ทำให้ข้าหลงรักเอมิเช่นเดียวกัน จนถึงตอนนี้ เอมิก็ยังรักและพยายามอย่างหนักเพื่อข้า การกระทำของเธอล้วนมีพื้นฐานมาจากความคิดที่ว่า ‘เพื่อให้เรมิเลียตันมีความสุข’ คิดกับข้าไม่ต่างจากครอบครัวที่แท้จริงในความทรงจำของเธอ ทั้งที่เธอไม่ให้ความสนใจในตัวพ่อแม่ของข้าด้วยซ้ำ
ดังนั้น ‘เรมิเลีย โรส กราปเนอร์ เด็กสาวผู้โชคร้ายและน่าสงสาร โดดเดี่ยวไม่เป็นที่ต้องการ’ จึงไม่มีอยู่จริงในโลกนี้
“โว้ว ค้นพบสูตรโกงอย่างเป็นทางการ! ถ้าวัดกันที่ค่าสถานะอย่างเดียว เป็นรองแค่เทพมารกับราชาปีศาจเท่านั้น”
“เรมิเลียตัน… รอก่อนนะ! ขอสัญญาเลยว่าฉันจะทำให้เรมิเลียตันผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกให้ได้”
ความจริงใจอันแสนอบอุ่น หลั่งไหลเข้ามาหาข้าโดยตรง แม้ว่าข้าจะไม่รู้จักความรัก ก็ยังรับรู้ได้ว่าความรู้สึกเหล่านั่นของเอมิคือความรัก
‘เพื่อความสุขของ เรมิเลีย โรส กราปเนอร์’ ความตั้งใจอันแรงกล้าไม่ต่างกับคำปฏิญาณ ความรู้สึกของเอมิโอบกอดตัวข้าไว้อย่างอ่อนโยน ได้ใช้เวลาร่วมกัน จิตใจของข้าถูกรักษาไว้ภายในตัวของเอมิ
“ดีจริงๆที่พ่อของโคลดไม่ถูกโจรฆ่าตาย ถึงจะมีเหตุการณ์เหมือนในเกมก็เถอะ แต่ก็สรุปไม่ได้ว่าโลกนี้คือเกมหรือเป็นโลกความจริงที่คล้ายเกม… ยังวางใจไม่ได้”
“ไม่อยากให้เกิดภัยพิบัติแห่งหายนะเลย ถ้าฉันไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างกับโลกปีศาจที่กำลังล่มสลาย โลกจะถูกทำลาย ในเมื่อมันเป็นเนื้อเรื่องหลักก็สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นจริง อาจเป็นเหตุการณ์บังคับให้เกิดตามเกม และฉันยังต้องเตรียมตัวเผื่อไว้ในกรณีที่หญิงสาวแห่งดวงดาวไม่ปรากฏตัวออกมาตามเนื้อเรื่องอีก”
เอมิใช้ความรู้จากเกม ทำการ ‘เพิ่มเลเวล’ และ ‘อัพสกิล’ อย่างมีประสิทธิภาพ
และเอมิยังค้นพบเงื่อนไขการใช้งานสิ่งที่เกือบจะเรียกไม่ได้ว่ายาเวทมนตร์ ซึ่งทำมาจากกระบวนการเล่นแร่แปรธาตุ ทำให้ความชำนาญในการใช้เวทมนตร์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เธอเรียนรู้วิธีใช้งานมันอย่างยากลำบากจากการทดลองหลายๆอย่าง เช่น บดวัตถุดิบให้เป็นผงและโรยบนร่างกาย โปรยให้กระจายในอากาศ ทาที่มือข้างที่ใช้เวทมนตร์ เมื่อล้มเหลวหลายครั้ง เธอก็เกือบจะหมดกำลังใจจนส่งเสียง ‘กรี๊ด!’ น่ารักๆออกมา เสียงกรี๊ดของเธอน่ารักสมเป็นเอมิจริงๆ
ในความรู้ของเอมิ หลังจากที่รวบรวมวัตถุดิบที่จำเป็นได้แล้ว เพียงแตะแค่ครั้งเดียวก็สามารถใช้งานมันได้ทันที แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะลองกินมันเข้าไปจริงๆ
การเพิ่มเลเวลก็ทำได้อย่างรวดเร็วกว่าปรกติด้วยการใช้งานอัญมณีเวทมนตร์
โดยที่ ศิลาเวท คือหินที่หาได้จากภายในร่างของอสูรหรือปีศาจ หากนำหินเหล่านั้นมาสกัดก็จะได้ ‘อัญมณีเวทมนตร์’ จากความทรงจำของเอมิ มันคืออัญมณีสีน้ำเงินอมม่วงที่ได้รับจากการเข้าสู้ระบบเป็นประจำทุกวัน หรือเป็นรางวัลจากกิจกรรม ใช้งานกับระบบกาชา เพื่อสุ่มให้ได้เพื่อนร่วมเดินทางที่ต้องการ โดย ‘ถือมันเอาไว้ขณะอธิษฐานภายในวิหาร อัญมณีจะเปล่งแสงและหายไป จากนั้นจะได้รับข้อความว่ามีสหายใหม่มาเข้าร่วม’ เพื่อนร่วมเดินทางหลายคนสามารถพบเจอได้ด้วยวิธีนี้เท่านั้น… และยังสามารถใช้เพื่อ ‘ฟื้นฟูพลังงาน’ ที่หน้ากระดานรับคำร้อง ใช้เพื่อเพิ่มพลังงานที่ทำให้ออกเคลื่อนไหว ไปที่ค่าสูงสุด
ในโลกของข้านี้ มันถูกใช้งานในลักษณะที่ว่า ‘ทำลาย(ให้แตก)ในขณะที่สัมผัสกับร่างกาย ความเหนื่อยล้าจะถูกฟื้นฟู’ แต่ไม่ได้ฟื้นฟูไปถึงจุดที่สมบูรณ์ที่สุดเสมอเหมือนในเกม ปริมาณการฟื้นฟูจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของอัญมณี มันเป็นของที่มีอยู่ทั่วไป ถูกใช้งานเป็นปรกติ บางครั้งผู้คนก็ถือมันเอาไว้ขณะอธิฐานขอพรจากเทพเจ้า แต่ก็เป็นเรื่องยากมากที่คำอธิฐานจะถูกตอบรับ
ตำแหน่งบุตรีดยุกทำให้เอมิมีเงินซื้ออัญมณีเวทมนตร์และวัตถุดิบอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเพิ่มความสามารถ พรสวรรค์ของเอมิจึงเบ่งบานได้อย่างงดงาม ทำให้พ่อแม่ของข้ามองเธอเป็น ‘ตัวหมากที่ใช้งานได้มากกว่าที่คิด’ แตกต่างจากในเกม ด้วยเหตุนั้น เธอจึงแข็งแกร่งพอที่จะเข้าไปช่วยเหลือบิดาของโคลด ผู้มีตำแหน่งเป็นไวส์เคานต์ จากเหตุการณ์ถูกโจรป่าลอบโจมตีจนเสียชีวิตไปพร้อมอัศวินคุ้มกันทั้งหมดขณะลงพื้นที่ตรวจสอบ
ถึงอย่างนั้น ไม่นานเขาก็เสียชีวิตจากโรคระบาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และโคลดที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าได้สูญเสียมารดาไปแล้วตั้งแต่ตอนที่เขาเกิด จึงได้ถูกรับเข้าตระกูลในฐานะบุตรบุญธรรม เป็นน้องชายของข้าตามเนื้อเรื่องในเกม
นั้นทำให้เอมิระแวงเหตุการณ์ยังคับให้เกิดตามเนื้อเรื่อง แต่สถานการณ์ก็ยังถูกเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อย เช่นปมในใจระหว่างโคลดกับพ่อที่แท้จริงของเขาก็ถูกแก้ไข โดยที่ตามเนื้อเรื่อง พ่อของเขาทำงานหนักในฐานะไวส์เคานต์ติดพันอยู่นานหลายปีเพื่อแก้ไขปัญหาภายในดินแดน พืชผลทางการเกษตรไม่เป็นไปตามเป้า ประชาชนล้มตายจากภัยธรรมชาติ โจรป่าตามชายแดน และตัวเขาที่สูญเสียภรรยาไปแล้วก็ไม่มีเวลาให้กับโคลดมากนัก ทำให้โคลดเข้าใจว่าพ่อเกลียดเขาที่เป็นสาเหตุให้แม่ต้องตาย ซึ่งเรื่องนี้ควรจะถูกแก้ไขโดยหญิงสาวแห่งดวงดาวที่ได้เป็นเพื่อนกับโคลด ตอนที่เธอไปเข้าเยี่ยมคฤหาสน์เจ้าของดินแดนบ้านเกิดของโคลดจนได้เจอกับจดหมายของไวส์เคานต์ในห้องทำงาน จากนั้น ความเข้าใจจึงผิดถูกคลี่คลาย
อันที่จริง ไวส์เคานต์คิดจะมอบมันให้พร้อมกับของขวัญในวันเกิดของโคลดที่กำลังจะมาถึง เพื่อพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ของพวกเขา โคลดร้องไห้เมื่อได้เห็นคำขอโทษที่เขียนด้วยลายมือในจดหมาย ความในใจของคนเป็นพ่อถึงลูกชายที่มีกับผู้หญิงที่รัก เป็นเรื่องที่หาได้ยากของขุนนางที่จะแต่งงานด้วยความรัก เขาจึงเสียใจอย่างมากที่ไม่มีเวลาให้กับครอบครัวอย่างเพียงพอ
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วในโลกนี้คือ ไวส์เคานต์ไม่ถูกสังหารโดยโจรป่า มีชีวิตยืนยาวพอที่จะมอบจดหมายให้โคลดด้วยมือของเขาเอง โคลดจึงสนิทกับพ่อของเขา แต่ก็ทำให้เขาเศร้าโศกเป็นอย่างมากในตอนที่ไวส์เคานต์เสียชีวิตด้วยโรคระบาด หลังจากนั้น หัวใจของเขาก็ได้รับการเยียวยาโดยพี่สาวใจดีผู้ที่รับช่วงต่อเป็นครอบครัวของเขา
นิสัยของเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปจากเนื้อเรื่อง โคลดในเกมจะใช้ชีวิตอย่างมืดมน คิดว่าคนอย่างเขาไม่สมควรได้รับความรัก แม้หลังจากหญิงสาวแห่งดวงดาวช่วยแก้ปมในใจแล้วก็ยังรับบทเป็นชายหนุ่มมืดมนโดดเดี่ยวอยู่ดี
หลังจากเอมิรับเขามาเป็นครอบครัวเดียวกัน เขาก็ค่อยๆเปลี่ยนกลับไปเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาตามเดิม และเติบโตมาเป็นน้องชายน่ารักผู้ติดพี่สาว เอมิเองก็น่ารักเช่นกัน หลายครั้งที่แม้แต่ข้าก็ยังเผลอหลับไปเมื่อได้ยินเสียงเอมิร้องเพลงกล่อมเด็ก ยิ่งตอนที่เธอพยายามทำตัวเป็นพี่สาวที่ดีโดยการอ่านนิทานหนังสือภาพให้เขาฟัง พาไปวิ่งเล่นในสวนจนเนื้อตัวมอมแมม หรือแม้กระทั่งปีนต้นไม้ด้วยกัน บางทีก็ทะเลาะกัน แต่โดยรวมแล้วพวกเขาคือครอบครัวอันแสนสุข แม้ว่าพ่อกับแม่จะไม่สนใจพวกเขาเลยก็ตาม
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เอมิไม่ได้สังเกต ในมุมมองของคนนอกอย่างข้าเห็นว่าโคลดมีท่าทีไม่พอใจและต่อต้านเอมิเล็กน้อย เมื่อกลับมาที่บ้านหลังไปพบมกุฎราชกุมารคู่หมั้นของเอมิ… คู่หมั้นของเรมิเลีย แม้เขาจะไม่พูดออกมาชัดเจน… แต่ก็เห็นได้ว่าเขาคิดกับเอมิมากกว่าพี่สาว
จากนั้น เอมิก็ได้ทยอยแก้ไขปมในใจของ ‘ตัวละครหลัก’ คนอื่นๆ
เด็กชายที่เกิดในตระกูลอัศวิน เดวิด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ด้อยกว่าพี่ชายผู้มีพรสวรรค์เสมอ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถลดระยะห่างลงไปได้ สาเหตุไม่ใช่อายุที่ต่างกัน ตัวเขาถูกเปรียบเทียบกับสิ่งที่พี่ชายสามารถทำได้ในตอนที่อายุเท่ากับเขา ทั้งที่เดวิดทำได้ดีที่สุดในเด็กรุ่นเดียวกัน เขาแค่โชคร้ายที่พี่ชายของเขา ซิลเวสเตอร์ คือ ‘อัจฉริยะ’
วิชาดาบของเดวิดนั้น ยอดเยี่ยมที่สุดในรุ่น แต่ก็ยังไม่ทำให้เขาพอใจ เพราะถึงอย่างไร มันก็ ‘เทียบไม่ได้กับพี่ชาย’ จนกระทั้งหญิงสาวแห่งดวงดาวบอกกับเขาว่า ‘เดวิดยังมีความแข็งแกร่งอื่นที่มีแต่เดวิดเท่านั้นที่ทำได้’ จากนั้นจึงได้เปลี่ยนเส้นทางเป็นนักดาบเวทมนตร์ จนซิลเวสเตอร์ ผู้ที่เป็นนักบุญดาบในตอนนั้น ยังรู้สึกทึ่งในความสามารถดาบเวทของเดวิด ยิ่งไปกว่านั้น เดวิดได้เลือกเดินบนเส้นทางที่ต่างไปจากนักบุญดาบ โดยพัฒนาทักษะบริหารการเมืองควบคู่กันไป โดยให้เหตุผลว่า ‘เพื่อส่งเสริมพี่ชายที่ทุ่มเทรับใช้ประเทศนี้’ ความสัมพันธ์ของพี่น้องถูกปรับให้เข้าหากันได้ด้วยการสนับสนุนจากหญิงสาวแห่งดวงดาว
แต่ในโลกนี้ คนที่เดวิดเห็นเป็นคู่แข่งคือเอมิ เพราะในหมู่อัศวินและขุนนาง มีการพูดถึงพรสวรรค์ทางเวทมนตร์ของเอมิกันอย่างกว้างขวาง แข็งแกร่งเทียบเท่านักเวทผู้ใหญ่ เดวิดที่อยู่ในวัยเดียวกันได้ยินเข้าก็รู้สึกอิจฉาชื่อเสียงของเอมิ… เรมิเลีย คู่หมั้นของมกุฎราชกุมาร เด็กสาวผู้เข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ แม้จะไม่ได้อยู่ในสายนักดาบเหมือนกับเขาก็ตาม ในตอนที่ข้าได้เห็นเขาครั้งแรก ‘แม้แต่ข้า’ ก็ยังรู้สึกว่าชีวิตเขานั้นน่าเศร้า เขารู้มาว่าเอมิใช้อัญมณีเวทมนตร์ช่วยในการฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เขาจึงคิดทำตาม… ในตอนนั้นเดวิดมีอายุเพียง 12 ปี ได้พกอัญมณีเวทมนตร์ติดตัวและเดินทางไปยังป่าที่อยู่บริเวณชายแดนของประเทศเพื่อออกล่าอสูรเพียงคนเดียว
ขนาดเอมิยังต้องให้คนคุ้มกันไปช่วยระวังภัยในการต่อสู้จริงครั้งแรก นอกจากนั้น นักเวทไม่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิด แต่จะแข็งแกร่งกับคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถต่างกันเป็นกลุ่ม ซึ่งเป็นกรณีตรงข้ามกับเดวิดที่มีประสบการณ์ต่อสู้ชนิดตัวต่อตัวเท่านั้น เขาจึงถูกศัตรูอ่อนแอ เช่นสไลม์และก็อบลิน ล้อมเอาไว้ พฤติกรรมสิ้นคิดของเขาถูกเอมิรับรู้ เธอจึงไล่ตามไปและได้พบในตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ยังไม่ถึงขั้นที่รักษาไม่ได้
เดวิดได้เอมิช่วยไว้จากสถานการณ์ที่เขาทำตัวเอง ตะโกนออกมาด้วยความโมโหว่า ‘เธอมาทำอะไร’ และ ‘คิดจะเยอะเย้ยหรือไง’ เอมิจึงตบหน้าเขาและตอบไปว่า ‘มาช่วยเพื่อนที่เอาตัวเองเข้ามาเสียงอันตรายไงล่ะ!!’ และเธอก็ร้องไห้หนักกว่าเสียงตะโกนนของเขา
ดวงตาของเดวิดที่มองมายังเธอว่างเปล่า เอมิคว้ามือเขาไว้และพากลับ เดวิดเดินตามอย่างไม่เต็มใจแต่ก็ไม่ได้สะบัดมืออก เอมิไม่สนใจท่าทางงุ่มง่ามของเขา ในใจของเอมิมีแต่ความเป็นห่วง กลัวว่าถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ เดวิตจะทำการบุ่มบ่ามอีกครั้ง
“ทำไมเดวิดถึงทำเรื่องบ้าบิ่นแบบนี้ล่ะ?”
“ไม่อยากน้อยหน้าพี่ชาย ถ้าทำได้อย่างพี่ชายแล้วจะเป็นยังไง?”
“นายนี่มันไม่เข้าใจอะไรเลย ฉันเองก็เกลียดความพ่ายแพ้ เกลียดการสูญเสีย แต่เป้าหมายของฉันไม่ใช่การเอาชนะ… เดวิด นายอยากจะทำอะไรกันแน่? เป็นนักดาบที่เหนือกว่าพี่ชาย? เป็นอัศวินที่เก่งที่สุดในโลก? หรืออยากจะต่อสู้กับปีศาจที่แข็งแกร่งและเอาชนะ?”
“ใช่แล้ว นายไม่จะเป็นต้องหาคำตอบในตอนนี้หรอก… ฉันเหรอ? เหตุผลที่ฉันต้องแข็งแกร่งขึ้น? …ก็เพื่อท่านวิล… และความฝันที่ฉันจะทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมาให้ได้… เพื่อการนั้นแล้ว ฉันจะต้องพยายามให้ถึงที่สุด พลังนี้จะต้องมีประโยชน์แน่”
เอมิพูดออกมาด้วยหัวใจที่แน่วแน่ เป้าหมายของเอมิมีด้วยกันสองอย่าง คือ ‘จะต้องเป็นผู้หญิงที่สนับสนุนท่านวิลได้ในฐานะราชินี เมื่อเขาถึงเวลาขึ้นครองราชย์’ และ ‘ทำให้จอมวายร้ายเรมิเลียกลายเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุด’ มันไม่ใช่แค่มีความพยายามก็ทำได้ แต่เอมิก็จะทำให้สำเร็จไปพร้อมๆกัน ขัดเกลาพลังเวทให้ดียิ่งขึ้น และศึกษาหาความรู้ในฐานะว่าที่ราชินี
เรื่องนี้ทำให้ข้าดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้รู้ว่าเอมิปรารถนาให้ความสุขของ ‘เรมิเลีย’ เป็นเป้าหมายระดับนั้น
หลังจากกลับมาถึงคฤหาสน์ เดวิดถูกบรรดาผู้ใหญ่ต่อว่าอย่างหนัก ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่วังหลวงระยะหนึ่งเป็นการทำโทษ ให้เข้าร่วมการฝึกที่หนักที่สุดแบบเดียวกับทหารใหม่ หลังจากการลงโทษเสร็จสิ้น เขาดูมีชีวิตชีวามากขึ้น เขาบอกว่าได้เรียนรู้แล้วว่าความแข็งแกร่งที่ปราศจากเป้าหมายนั้นไร้ค่า และ ‘ได้พบคนที่ต้องการถวายตัวรับใช้ในฐานะอัศวินแล้ว’ ตัวข้าที่เฝ้าดูอยู่ภายในรู้ได้เลยว่าคนที่เดวิดพูดถึงคือเอมิ เอมิยินดีกับการเปลี่ยนไปในทางที่ดีของเดวิด แต่ก็ไม่ได้เข้าใจถึงสาเหตุเพราะเธอคิดถึงแต่วิลเลียด ซึ่งเดวิดก็รู้ดีและเก็บความรู้สึกของเขาเอาไว้ ไม่แสดงออกมาให้ใครเห็น ชายผู้นี้มอบความภักดีให้กับเอมิอย่างลับๆ แม่ว่าเขาจะหลงใหลเธออย่างมากก็ตาม
สเตฟานก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กอีกคนหนึ่งที่ถูกเอมิช่วยไว้ ทั้งที่ตามเนื้อเรื่อง เขาควรได้รับความช่วยเหลือจากหญิงสาวแห่งดวงดาวเช่นเดียวกัน แต่เพราะเอมิเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนโดยธรรมชาติ เมื่อเห็นคนอื่นกำลังลำบากโดยที่เธอรู้ถึงวิธีแก้ปัญหาอยู่แล้ว เอมิจะทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาให้พวกเขาเหล่านั้นโดยไม่ลังเล อย่างที่เธอเคยช่วยพ่อของโคลด
สเตฟานถูกคนรอบข้างคาดหวังกับพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์ที่เขามี ต้องการให้เหมือนกับพ่อของเขาที่เป็นหัวหน้าจอมเวทแห่งราชสำนัก ให้เข้ารับตำแหน่งนี้เป็นรุ่นต่อไป โดนที่ตัวของสเตฟานเองมีความปรารถนาที่จะเป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์เสียงดนตรี… แต่เขาก็ไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้จนผ่านมาครึ่งหนึ่งของช่วงชีวิตในวัยเด็กของเขา
ตามเนื้อเรื่อง เขาเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้มีสายตาเย็นชาเมื่อทุกคนชื่นชมความสามารถทางเวทมนตร์ที่ตัวเขาเองไม่เคยต้องการ ‘มันคือพลังสำหรับทำร้ายผู้อื่น’ และหญิงสาวแห่งดวงดาวได้บอกกับเขาว่า ‘ขึ้นอยู่กับวิธีใช้ เหมือนกับมีดที่บางคนใช้เป็นอาวุธ แต่สามารถใช้ทำอาหาร งานฝีมือ หรือปกป้องผู้คน มันคือพลังที่ยิ่งใหญ่’ เมื่อได้พูดคุยกับเธอมากขึ้น เขาก็เริ่มยอมรับพลังของตัวเอง ในช่วงภัยพิบัติแห่งหายนะ เขาตัดสินใจใช้พลังนั้นต่อสู้กับราชาปีศาจในฐานะนักเวท ทำให้โลกกลับมาสงบสุข เพื่อที่จะได้กลับมาเพลิดเพลินกับเสียงดนตรีได้อีกครั้ง
แต่ในโลกนี้ ตัวตนของเอมิทำให้สเตฟานเกือบจะตกอยู่ในความสิ้นหวัง ตั้งแต่ก่อนเกิดความแย้งระหว่างความฝันของเขากับความคาดหวังจากคนรอบข้าง และก็ได้เอมิช่วยบอกไปว่า ‘สเตฟานควรตั้งเป้าเป็นนักดนตรี ลองไปคุยกับพ่อของนายสิ เขาต้องเห็นด้วยกับความฝันของนายแน่’ และ ‘ฉันเองก็จะไล่ตามความฝันที่ฉันต้องการด้วยเหมือนกัน’ ซึ่งมีส่วนอย่างมากในการทำให้เขาตัดสินใจทำลายกรอบภาระหน้าที่ จนได้พ่อของเขาช่วยสนับสนุน
สิ่งที่ถูกเปลี่ยนไป คือ สเตฟานได้เห็นเอมิซ้อมเต้นรำอยู่คนเดียวในสวนของพระราชวังขณะที่เธอฮัมทำนองเพลงคลาสสิกชื่อดัง… ที่เอมิจำได้จากโลกของเธอ
ตัวข้าที่อยู่ภายในของเอมิยังจำวันนั้นได้ดี เพราะเขาเข้ามาขัดจังหวะการเต้นรำของข้ากับเอมิท่ามกลางดอกไม้ที่เบ่งบาน จนทำให้ข้ารู้สึกโมโห
ในฐานะผู้ที่หลงใหลในเสียงดนตรี สเตฟานรู้สึกสนใจเพลงของเอมิ จึงเข้ามาถามถึงรายระเอียด แน่นอนว่าเธอไม่ได้บอกไปว่ามันเป็นเพลงจากความทรงจำในโลกอื่น เอมิที่พยายามปกปิดเป็นความลับ จึงรีบหนีออกไปจากตรงนั้นทันที
หลังจากนั้น สเตฟานก็จดจำทำนองเพลงของเอมิและเริ่มค้นคว้าทั้งเพลงใหม่และเพลงเก่า รวมถึงสอบถามบรรดานักดนตรีของพระราชวัง เขาทำเช่นนั้นอยู่หลายวันแต่ก็ไม่มีความคืบหน้า จึงสรุปว่า ‘เพลงนี้ถูกแต่งโดยเรมิเลีย’ เรมิเลียผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้ใช้เวทมนตร์ อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรี… นั่นทำเขาคิดอยากจะยอมแพ้ในเส้นทางนักดนตรีของเขา
แต่คนที่ห้ามไว้ก็คือเอมิอีกเช่นกัน ‘ฉันชอบเสียงไวโอลินของสเตฟานนะ!’ ‘เป็นการบรรเลงเพลงที่สุดยอดมากๆเลย ทำนองสนุกจนอยากเต้นตาม ทำนองเศร้าก็ทำให้น้ำตาไหลได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น อย่าเลิกเล่นเลยนะ’ เป็นคำเยินยอที่พูดออกมาตรงๆ สเตฟานได้ยินแล้วยังอาย เขาหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด
เอมิแก้ตัวเกี่ยวกับเพลงของเธอว่า ‘เพลงนั้นรู้สึกเหมือนเคยได้ยินจากความฝัน อย่างฉันแต่งเพลงเองไม่เป็นหรอก!’ เพื่อเป็นการแก้ไขความเข้าใจผิด และสเตฟานก็พูดออกมาเบาๆว่า ‘ท่านเรมิเลียมีหัวใจที่งดงามจนสามารถได้ยินเสียงเพลงของเหล่าเทพธิดา’ ดูเหมือนจะมีแต่ข้าที่ได้ยินคำพูดนี้
และสเตฟานยังยอมรับพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์ของเขา เพราะคำแนะนำที่คาดไมถึงจากเอมิ ‘เป็นนักเวทกับนักดนตรีไปพร้อมๆกันเลยสิ ถ้าได้เป็นศิลปินหลากหลายความสามารถก็ยิ่งทำให้ผู้คนสนใจอยากฟังเพลงของสเตฟานมากขึ้น’ นั่นคือเหตุผลที่ศิลปินหลายๆคนพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูโดดเด่น ดังนั้น เขาจึงยอมรับว่าความสามารถทางเวทมนตร์นั้นก็เป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งของเขาเช่นกัน
การเดินบทหนทางของนักเวทและนักดนตรีไปพร้อมๆกันนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเอมิพยายามอย่างมากในการทำตัวให้คู่ควรกับการเป็นคู่หมั้นของวิลเลียด เพราะฉะนั้นเขาจะน้อยหน้าไม่ได้ เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งเวทมนตร์และดนตรีคือสิ่งที่สร้างรอบยิ้มให้กับเพื่อนคนสำคัญของเขา มันจึงสิ่งมีค่ามากกว่าที่จะทอดทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไป
แต่แล้ว การที่เอมิใช้ความรู้จากสมัยที่เธอยังมีชีวิตคิดค้นสิ่งใหม่ๆและพัฒนาความสามารถของเธอให้สูงยิ่งขึ้น ก็ได้ทำให้เกิดปัญหาที่ไม่เคยมีอยู่ในเนื้อเรื่องตามมา … วิลเลียดเริ่มอิจฉาพรสวรรค์ของเรมิเลีย รู้สึกว่าตัวเขาไม่ดีพอ และปฏิบัติกับเอมิอย่างเย็นชาลงทุกที… แม้แต่ตัวข้าที่เฝ้ามองจากภายในก็ยังรู้สึกอึดอัดไปด้วย
สุดท้าย บรรยากาศไม่ลงรอยกันเล็กๆน้อยๆนี้ก็ถูกพวกผู้ใหญ่สังเกตเห็น จึงสร้างสถานการณ์ ‘ปรับความเข้าใจกัน’ ให้ทั้งสองได้พบกันโดยคนรับใช้และคนคุ้มกันทั้งหมดรออยู่รอบนอกไม่เข้าไปรบกวน มอบโอกาสพวกเขาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสองแม้จะยังไม่ได้แต่งงานกันก็ตาม ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาได้รับความไว้วางใจ แสดงให้เห็นว่าผู้ใหญ่เหล่านั้นสนับสนุนความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากขนาดไหน
วิลเลียดได้พูดออกมาตรงๆว่าเขาอิจฉาพรสวรรค์ของเรมิเลียที่ไม่ได้มีเฉพาะแค่เวทมนตร์ เพราะเอมิเรียนรู้และพัฒนาความสามารถหลากหลายแขนงไม่หยุดหย่อน อึกทั้งยังสามารถแก้ปัญหาหลายอย่างได้ด้วยความคิดอันยืดหยุ่น เธอทำในหลายสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้… เอมิจึงตอบกลับทั้งน้ำตาว่าเธอทำทั้งหมดนั้นเพื่อวิลเลียด ทุ่มเทฝึกฝนเวทมนตร์ ศึกษาหาความรู้ในฐานะว่าที่ราชินี ก็เพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างวิลเลียดโดยไม่ต้องอายใคร
คำพูดจากใจของเอมิทำให้วิลเลียดหน้าแดง เขาตระหนักได้เป็นครั้งแรกว่า ‘เรมิเลีย’ ที่เขาเห็นว่าเป็นผู้หญิงผู้เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบก็เพราะเธอกำลังทำเพื่อเพื่อเขา และพูดออกมาเบาๆว่า ‘ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเธอพยายามเพื่อข้ามากมายขนาดนี้’ อันที่จริง วิลเลียดมีความรอบรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และการเมือง เอมิจึงเรียนรู้ส่วนอื่นๆเพื่อชดเชยสิ่งที่เขาไม่ถนัด
“ที่ทำมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้วิลยอมรับในตัวฉันแท้ๆ แต่ก็ยังไม่ดีพอ…”
คำพูดนั้นทำให้วิลเลียดเริ่มมองเธอในฐานะคู่หมั้น จากที่ผ่านๆมาคือ ‘เพื่อนสมัยเด็กที่เด่นเกินไป’ ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ข้ามีความสุขเมื่อได้เฝ้าดูความรักของทั้งสองจากภายใน เขายิ้มและพูดออกมาว่า ‘บางทีเรมี่ก็เป็นคนซื่อเกินไป น่าจะเข้ากันได้ดีกับข้าที่ค่อนข้างหัวแข็งล่ะนะ’ และพวกเขาก็ยิ้มให้กัน
ข้าเฝ้าดูเอมิใช้ชีวิตอย่างร่าเริงทุกวัน แค่นั้นก็เพียงพอสำหรับข้า ความปรารถนาของเอมิคือต้องการให้เรมิเลียมีความสุข และข้าก็รับรู้ความรู้สึกนั้นของเธอ ดังนั้น ความสุขของข้าคือการที่ได้เห็นเอมิที่ข้ารักมีความสุขเช่นกัน เป็นที่รักของคนมากมาย ได้แต่งงานกับวิลเลียดที่เธอรักโดยไม่มีเหตุการณ์ถูกถอนหมั้น
ในใจของเอมิยังมีความรู้สึกผิดต่อข้า เพราะ ‘ท่านวิลเป็นคู่หมั้นของเรมิเลีย’… แต่สำหรับข้า ไม่มีความรู้สึกพิเศษใดๆให้กับเจ้าชายวิลเลียดแม้แต่น้อย และข้าก็เชื่อว่าเจ้าชายวิลเลียดก็ไม่มีความสนใจในตัวข้าที่เป็นตัวข้าเช่นกัน ระหว่างพวกเราเป็นแค่คนแปลกหน้า ข้าอยากจะบอกเอมิเหลือเกินว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกไม่สะดวกจากการที่ไม่สามารถสื่อสารกับเธอได้
เพียงแค่ได้รับรู้ความสุขของเอมิจากภายใน… เพียงแค่นี้ ข้าก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว