Akuyaku Reijou no Naka no Hito - ตอนที่ 6 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 06
ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 06
การแก้แค้นพีน่าของข้ามีโอกาสชนะสูงพอตัว
สิ่งที่เอมิเรียกว่าการเพิ่มเลเวล ในช่วงแรกจะมีค่าใช้จ่ายสูงมากเนื่องจากอัญมณีเวทมนตร์เป็นของราคาแพง ผู้หญิงคนนั้นเป็นสามัญชนจนถึงปีที่แล้วจึงไม่สามารถทำแบบเดียวกันได้ แม้ว่าเธอจะสามารถหาเงินได้มากโดยใช้ความรู้จากในเกม แต่พลังของเธอในฐานะหญิงสาวแห่งดวงดาวยังคงต่ำอยู่อย่างแน่นอน เพราะเธอเอาแต่ใช้ยาเสน่ห์กับน้ำหอมดึงดูด
ในตอนเด็ก เอมิใช้เงินซื้ออัญมณีเวทมนตร์เพื่อเพิ่มเลเวล จากนั้นก็เรียนรู้และพัฒนาทักษะเล่นแร่แปลธาตุ จนกระทั่งผ่านไปเป็นปี เธอก็เริ่มแปรรูปพวกมันขึ้นมาได้เองและเริ่มวงจร ออกล่าอสูร รวบรวมศิลาเวทจากซากอสูร แปรรูปให้เป็นอัญมณีเวทมนตร์ ทำลายอัญมณีเวทมนตร์เพื่อฟื้นฟูความเหนื่อยล้า ออกล่าอสูรอีกครั้ง ในตอนนั้นเธอพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ‘ฮ่าฮ่าฮ่า สูตรโกงปั๊มเลเวลต่อเนื่อง’
ในกรณีของหญิงสาวแห่งดวงดาว เธอยังไม่เคยพิชิตดันเจี้ยนตามบทที่สองของเนื้อเรื่อง กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอไม่มีความสามารถพอที่จะทำเช่นนั้นได้ นับเป็นโชคดีของวิลเลียดและคนอื่นๆ แม้ว่าเอมิจะช่วยฝึกพวกเขาจนแข็งแกร่งกว่าปรกติ แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้พร้อมกับตัวถ่วงอย่างผู้หญิงคนนั้น มกุฎราชกุมารและผู้ติดตามในตอนนี้ก็ได้สำเร็จการศึกษาเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังไม่ออกผจญภัยหรือลงดันเจี้ยน พวกเขาไม่มีเหตุผลในการทำเช่นนั้นเพราะโลกยังไม่เผชิญกับวิกฤตเหมือนในเกม
วันนี้ข้าก็แปรรูปอัญมณีเวทมนตร์ขณะดื่มชาอีกเช่นเคย พวกมันใช้เป็นแหล่งพลังงานให้กับอุปกรณ์เวทมนตร์ เพราะฉะนั้น ต่อให้มีมากแค่ไหนก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่เสมอ จึงเป็นวิธีทำเงินที่ง่ายดายและยังเป็นการฝึกฝนทักษะเวทมนตร์ได้อีกด้วยแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ไม่ว่าใครก็สามารถแปรรูปอัญมณีเวทมนตร์ได้หากมีเวลามากพอ สำหรับคนทั่วไปจะทำได้ราวๆสามก้อนต่อวัน แต่ถ้ามีความเชี่ยวชาญเทียบเท่ากับข้าก็จะสามารถแปรรูปพวกมันจนกองเต็มโต๊ะน้ำชาได้ภายในไม่ถึงชั่วโมง
ส่วนหนึ่งถูกขายเป็นเงินผ่านเจ้าของร้าน อีกส่วนหนึ่งใช้เพื่อ ‘เพิ่มเลเวล’ ของข้า ในระหว่างที่เข้าท้าทายดันเจี้ยนต่างๆทั่วประเทศเพื่อเป้าหมายสุดท้าย เส้นผมของข้าที่เคยปล่อยยาวสลวยในสมัยที่เป็นบุตรีดยุกได้ถูกทำให้สั้นลงและมัดรวบไว้ด้านหลัง แต่งกายเยี่ยงบุรุษจนดูเหมือนอัศวินหญิงเพื่อให้ดูสมเป็นนักผจญภัย
ตอนนี้ก็มีผู้อพยพเผ่าปีศาจกลุ่มแรกเดินทางมาถึงดินแดนของข้าเรียบร้อย พวกเขาปิดบังเผ่าพันธุ์ที่แม้จริงและปักหลักอาศัยอยู่ในอดีตหมู่บ้านร้าง ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเรียบง่ายด้วยข้าวของเครื่องใช้และอาหารที่ข้าจัดหามาให้ และข้ามักจะถามไถ่ถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการเพิ่มเติมอยู่เป็นประจำ ข้าจะต้อนรับพวกเขาอย่างดีที่สุด แสดงน้ำใจอันยิ่งใหญ่ให้พวกเขาได้จดจำ
‘จอมวายร้ายเรมิเลียผู้มีค่าพลังสุดโกง’ เป็นชื่อเรียกอีกอย่างที่อยู่ในความทรงจำของเอมิ หญิงสาวที่สมบูรณ์แบบ สามารถทำได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่เคยได้รับคำชมใดๆนอกจากคะแนนในโรงเรียน เป็นอัจฉริยะด้านเวทมนตร์ที่ไม่มีใครเทียบได้ และยังทำการค้นคว้าด้วยตัวเองผ่านการสำรวจเศษซากอารยธรรมโบราณจนประกอบพิธีอัญเชิญปีศาจได้สำเร็จ โดยที่ใช้พลังเวทของตนเองเพียงคนเดียวเท่านั้น ยืนหยัดต่อสู้ขัดขวางนางเอกของเรื่องราวตลอดการเดินทาง ทางผู้พัฒนาเกมจึงต้องกำหนดให้เรมิเลียเก่งกาจพอที่จะทำเรื่องเหล่านั้นได้
และยังมีความสามารถเฉพาะตัวที่หาได้ยากยิ่ง เวทมนตร์เคลื่อนย้ายที่ทำให้ปรากฏตัวได้ทุกที่และหลบหนีได้ทุกครั้ง เวทมนตร์ลวงตาที่ใช้ปลอมตัวสร้างความสับสน เวทมนตร์สร้างสัตว์อัญเชิญไว้ก่อกวนผู้คน ความรู้ทางการแพทย์เพื่อกระจายโรคระบาดและกำจัดวัตถุดิบปรุงยาล่วงหน้า เชี่ยวชาญพิษและคำสาปที่ก่อปัญหาให้กับเหล่าตัวละครหลัก
ยิ่งไปกว่านั้น รูปแบบการต่อสู้ก็จะมีทั้งการโจมตีด้วยดาบ เวทมนตร์โจมตี เวทมนตร์สนับสนุน และแม้กระทั่งเวทมนตร์รักษา หากวัดค่าพลังกันที่ตัวเลขเพียงอย่างเดียวก็ยังเหนือกว่าวิลเลียด ผู้สืบทอดสายเลือดผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มตัวละครหลัก ในทุกๆด้าน แม้เรมิเลียจะจัดอยู่ในสายนักเวทที่เน้นสร้างความเสียหายด้วยเวทมนตร์อันรุนแรง แต่ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็สร้างความเสียหายทางกายภาพได้มากกว่าวิลเลียดที่เป็นสายโจมตีทางกายภาพ
ทางฝั่งผู้เล่นมีความได้เปรียบทางด้านจำนวนคนและกลยุทธ์ของทีม ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเรมิเลียตัวคนเดียวได้ง่ายๆหากเตรียมตัวมาไม่ดีพอ
ใช่แล้ว ตัวละครโปรดของเอมิ ‘จอมวายร้าย เรมิเลีย โรส กราปเนอร์’ เป็นคนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น
การเพิ่มเลเวลที่เอมิทำมาตลอดตั้งแต่เด็กก็ทำให้ข้าแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก แต่ก็ยังไม่พอที่จะไปให้ถึงจุดหมายที่ตั้งเป้าไว้ เพื่อการนั้น ข้ายังจำเป็นต้องทำการเก็บเลเวลเพิ่มเติมอีก พัฒนาเวทมนตร์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ข้าจึงใช้เวทมนตร์บินเดินทางไปยังซากปรักหักพังหลายแห่งที่ตรงกับความทรงจำของเอมิพร้อมกันโพชั่นและไอเทมมากมายที่หามาได้ เพื่อรวบรวมของที่จำเป็นสำหรับเสริมความแข็งแกร่งของข้า
เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดในเวลาอันสั้นที่สุด อันดับแรก ดันเจี้ยนแถวชายแดน ที่ถูกพิชิตไปแล้ว มีห้องลับที่ไม่เคยถูกเปิดอยู่ที่นี่ ภายในนั้นมีแหวนสำหรับเพิ่มค่าสถานะของผู้สวมใส่ พีน่าก็ต้องรู้ถึงการมีอยู่ของดันเจี้ยนนี้เช่นกัน เพราะมันถูกเรียกว่า ‘ดันเจี้ยนโบนัส’ ที่สามารถหาอุปกรณ์สวมใส่คุณภาพสูงมาได้ง่ายๆ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่ออกตามหามัน ดูเหมือนว่าเธอจะเอาแต่เล่นสนุกกับเหล่าผู้ชายที่รวบรวมมาได้จนลืมหน้าที่ดั้งเดิมของหญิงสาวแห่งดวงดาวไปแล้ว
แผนการแก้แค้นของข้าดำเนินต่อไปอย่างช้าๆแต่มั่นคง เมือคิดถึงวันที่ผู้หญิงคนนั้นจะถูกพิพากษา ข้าก็แทบจะทนรอไม่ไหว
ขั้นต่อมาคือการออกช่วยเหลือหมู่บ้านเล็กๆที่ชายแดนด้วยการกำจัดรังอสูรที่อยู่ทางตอนเหนือของหมู่บ้าน หมู่บ้านใกล้เคียงถูกอสูรโจมดีจนเสียหายหลายครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะรวมตัวกันร้องเรียนไปยังขุนนางผู้ครองเขตแล้ว แต่ไม่ว่าผ่านไปนานสักเท่าไหร่ก็ไม่มีความช่วยเหลือถูกส่งมา ข้าได้บอกกับพวกเขาว่า ‘ข้าได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้มาช่วยเหลือหมู่บ้านแห่งนี้’ พวกเขาจึงซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นข้าเข้าเสี่ยงอันตรายเพื่อพวกเขาโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดเป็นการตอบแทน
หมู่บ้านแห่งนี้ก่อตั้งมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ประชากรรุ่นแรกซึ่งปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้สูงอายุ เป็นอดีตอาชญากรที่ได้รับการปล่อยตัวแลกกับการบุกเบิกพื้นที่อันตราย นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ผู้ครองเขตไม่ตอบสนองต่อคำร้องขอของพวกเขา ปล่อยให้อสูรกำจัดอดีตอาชญากรทั้งครอบครัว จากนั้นจะได้ส่งผู้บุกเบิกกลุ่มอื่นไปค้นหาสถานที่ที่สามารถอาศัยอยู่ได้ต่อไป
ข้าปฏิเสธเงินรางวัลที่พวกเขารวมรวมมาให้เพื่อเป็นการ ‘ขอบคุณ’ ข้าต้องการให้พวกเขารู้สึกติดค้าง ‘เรมิเลีย’ มากกว่าเงินที่เป็นแค่เศษเงินสำหรับข้า หนี้บุญคุณจึงมีประโยชน์กว่าสำหรับตอนนี้ นอกจากนั้น เอมิจะเข้าช่วยเหลือผู้คนที่กำลังบากโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนอยู่แล้ว
ข้าจะไม่คิดกับพวกเขาว่าเป็น ‘สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่ร่วมสายเลือดกับอาชญากร’ ข้าจะเป็นผู้หญิงที่จิตใจงดงาม มอบผลไม้แห้งราคาแพงให้กับเด็กน้อยผู้หิวโหย เพราะถ้าเป็นเอมิ ข้าเชื่อว่าเธอจะทำเช่นนี้
หลายคนเริ่มเรียกข้าว่า ‘ท่านนักบุญ’ ข้าก็คิดว่าเหมาะสมดี เพราะ ‘เรมิเลียของเอมิ’ เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจบริสุทธิ์คู่ควรกับฉายา ‘นักบุญ’ เป็นทีสุด ข้าแสดงความมีน้ำใจต่อไปอย่างอารมณ์ดี
ซากอสูรที่ถูกปราบถูกนำกลับมาที่หมู่บ้านในฐานะวัตถุดิบ จากนั้นก็ออกเดินทางอีกครั้ง ไปยังดินแดนทะเลทรายในประเทศข้างเคียงเพื่อบรรเทาความพิโรธของเทพมังกรวารีที่เป็นต้นเหตุของภัยแล้งทั่วทั้งพื้นที่ ระหว่างทางก็ได้เข้ารับฟังคำขอร้องของภูติน้ำที่อาศัยอยู่ตามโอเอซิสซึ่งเป็นเหตุการณ์ย่อยที่จำเป็น ข้าคำนวณให้ทุกการเคลื่อนไหวของข้าเกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อให้จบเรื่องในเวลาอันสั้นที่สุด
เดิมที เทพมังกรวารีจะเป็นผู้ที่มอบพรแห่งสายน้ำให้กับบริเวณโดยรอบ แต่ก็ได้เกิดเหตุที่ทำให้เทพมังกรวารีต้องพิโรธจนกลายเป็นฤดูแล้งที่ไม่มีที่สิ้นสุด การจะเข้าไปแก้ไขจำเป็นต้องขออนุญาตให้เข้าไปในวิหารเทพจากหัวหน้านักบวชแห่งดินแดนทะเลทราย และการจะเข้าพบเขาได้ก็ต้องแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำที่เมืองบ้านเกิดของเขาซึ่งเป็นเหตุการณ์ย่อยก่อน สำหรับเรื่องนั้น ข้าได้ดำเนินการจนเสร็จสิ้นไปก่อนหน้าแล้วระหว่างทาง
ในบทนี้ของเกม จะต้องเดินทางไปกลับหลายรอบระหว่างจุดกึ่งกลางของทะเลทราย หมู่บ้านที่ต้องทนทุกข์เพราะความร้อนจากแสงแดด และโอเอซิสที่ใกล้จะแห้งเหือด เพื่อหาข้อมูลสำหรับทำเหตุการณ์ย่อยให้ครบ แต่ข้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น บางครั้งก็ถูกสงสัยว่าทำไมข้าถึงรู้เรื่องพวกนั้น ข้าจึงตอบไปว่า ‘เพราะข้าได้รับคำชี้แนะจากพระเจ้า’ ที่เหลือก็ปล่อยให้พวกเขาได้เห็นผลลัพธ์จากการกระทำของข้า
อดีตหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ผู้ได้รับคําพยากรณ์จากพระเจ้าและออกเดินทางช่วยเหลือผู้คนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ผู้คนเริ่มพูดถึงข้าในทางนี้ ข้าจึงตอบไปว่า ‘ทั้งหมดคือพระประสงค์ของพระเจ้า ข้าก็แค่ทำในสิ่งที่สมควรทำ’ ด้วยท่าทางเขินอาย
ใช่แล้ว หากพระเจ้าเป็นผู้นำพาให้ข้าได้พบกับเอมิ การแก้แค้นของข้าในครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้านำพาด้วยเช่นกัน
ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายอย่าง แม้ว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนแต่มันจะไร้ความหมายหากข้าไม่ทำมันให้สำเร็จทั้งหมดก่อนที่พีน่าจะเริ่มเคลื่อนไหว นอกจากนั้น ข้าไม่อยากให้ ‘เรมิเลีย’ ถูกกล่าวหาในทางที่ผิดเป็นเวลานาน
ตอนนี้รู้สึกว่าโชคดีจริงๆที่ข้ามีเวทมนตร์เคลื่อนย้าย ทำให้ข้าสามารถเดินทางไปกลับได้อย่างรวดเร็ว บริหารดินแดน พิชิตดันเจี้ยน และทำเหตุการณ์ตามเนื้อเรื่องได้พร้อมๆกัน
สาเหตุที่ทำให้จอมวายร้ายเรมิเลียในเกมพ่ายแพ้ในการต่อสู้คือระบบ Turn-Based… กฎบังคับไม่ต่างกับเกมไพ่ที่ทิ้งไพ่ได้เพียงหนึ่งใบ ในการต่อสู้จริงข้าสามารถฟาดฟันด้วยดาบขณะร่ายเวทโจมตีได้ต่อเนื่อง สร้างบาเรียป้องกันไปพร้อมกับทำการรักษา ข้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังของราชาปีศาจเพื่อเอาชนะกลุ่มของหญิงสาวแห่งดวงดาวเลย แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหลายคนก็ตาม และแน่นอนว่าข้าจะไม่ดำเนินเรื่องไปในทางนั้น
แม้ว่ามันเป็นการยากที่จะวางกลยุทธ์ ขัดขวางกลยุทธ์ของศัตรู และเข้าต่อสู้ด้วยตัวคนเดียว แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับ ‘จอมวายร้ายเรมิเลีย’ ที่เอมิชื่นชม ในเกมจะอธิบายว่าเธอมีลูกน้องคอยช่วยเหลือ แม่ว่าจะเป็นลูกน้องของราชาปีศาจก็ตาม และอันที่จริง ข้าคิดว่าหากได้พยายามสักหน่อย ข้าก็สามารถจัดการทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวได้อยู่ดี
ในตอนนี้ข้าสะสมเงินทุนได้ค่อนข้างมากขณะเพิ่มความสามารถของตัวเองไปด้วย อีกทั้งยังดำเนินตามเนื้อเรื่องได้เร็วกว่าที่วางแผนเอาไว้ อาจเป็นเพราะข้าเดินเกมอย่างรวดเร็ว ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงยังไม่รุนแรงและซับซ้อนไปตามกาลเวลา และเหนือสิ่งอื่นใด มันคือหลังฐานว่าข้ามีความสามารถมากกว่าหญิงสาวแห่งดวงดาวในเกม
ข้าไม่ลืมแวะเวียนไปที่หมู่บ้านของข้าเป็นระยะด้วยเวทมนตร์เคลื่อนย้าย มอบเงินทุนเกือบทั้งหมดให้กับตัวแทนหมู่บ้าน เก็บไว้เพียงขั้นต่ำที่จำเป็น และชี้แนะแนวทางคร่าวๆให้กับพวกเขา ก่อนหน้านี้มีผู้อพยพกลุ่มใหม่จากเมืองที่อยู่ห่างออกไป ทำให้จำนวนประชาการเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงต้องคำนวณอัตราการใช้เสบียงใหม่
พวกเขาขอบคุณข้าทั้งน้ำตา ‘ท่านเรมิเลยคือผู้มีพระคุณของพวกเรา ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีหมู่บ้านที่พวกเราสามารถใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขได้’ และกล่าวขอโทษที่ไม่เชื่อใจข้าในทีแรก
ข้าปฏิเสธคำชื่นชมเหล่านั้นด้วยความถ่อมตัว อันที่จริง ข้าแค่ทำเพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เอมิน่าจะทำ และเพื่อให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริง ด้วยการทำให้ ‘จอมวายร้ายเรมิเลีย’ เป็นผู้หญิงที่มีแต่ความสุข การแสดงแค่นี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเป้าหมายนั้น
จากการเข้าผจญภัยในดันเจี้ยนหลายแห่งทั่วประเทศ ในที่สุด วัตถุดิบสำหรับขั้นตอนต่อไปก็ถูกรวบรวมจนครบ ข้าจึงกลับมาที่หมู่บ้านเพื่อพักผ่อนเตรียมความพร้อม
วันถัดมา ข้าเดินทางไปอาณาจักรดวอร์ฟด้วยเวทมนตร์เคลื่อนย้าย ขออนุญาตเข้าไปในวิหารเทพด้วยจดหมายแนะนำจากหัวหน้าหมู่บ้านดวอร์ฟแห่งหนึ่งที่ข้าเคยไปช่วยไว้จากการถูกมังกรไฟโจมตี แน่นอนว่าถูกปฏิเสธกลับมา ซึ่งก็เป็นไปตามเนื้อเรื่องในเกม ข้าจึงกลับไปรออยู่รอบๆปราสาทจนได้พบกับเจ้าหญิงเผ่าดวอร์ฟที่แอบออกมาเดินเล่นในตัวเมือง ข้าสนิทกับเธอได้อย่างรวดเร็ว เธอได้ถามเหตุผลที่ข้าเดินทางมาที่นี่ ข้าจึงตอบไปว่า ‘เพื่อเข้าพบเทพแห่งไฟที่พำนักอยู่ในอาณาจักรนี้ และขอเกราะศักดิ์สิทธิ์จากเทพองค์นั้น’ จากนั้นเธอจึงขอจดหมายแนะนำที่ข้าได้รับมา เพื่อนำไปส่งให้เจ้าหญิงร่างทรงเทพไฟซึ่งเป็นพี่สาวของเธอด้วยตนเอง
“ไม่เป็นไรแน่หรือ? ทุกคนที่มาขอเข้าพบเจ้าหญิงร่างทรง พี่ของท่าน ต่างก็ต้องนัดพบล่วงหน้าเป็นเวลานาน”
“ไม่มีปัญหา! เพราะเรมิเลียมีธุระจริงๆ เสด็จพี่ พุชุคให้เข้าพบได้อยู่แล้ว นี่ๆ ฉันสนใจเรื่องที่เธอเข้าสำรวจดันเจี้ยนน่ะ เล่าให้ฟังต่ออีกหน่อยสิ”
“ได้สิ ด้วยความยินดี นอกจากได้พบกับเจ้าหญิงร่างทรงแล้ว ข้าดีใจจริงๆที่ได้เป็นเพื่อนกับซาร่า ในประเทศของข้า สตรีเพศส่วนใหญ่จะไม่ชอบการต่อสู้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีสหายเพศเดียวกันที่คุยในเรื่องนี้ได้”
“ฉันเองก็ด้วย!”
พวกเรามองหน้าและยิ้มให้กัน ซาราสติรี เจ้าหญิงแก่นแก้วแห่งอาณาจักรดวอร์ฟ ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ พวกเราเข้ากันได้ดีจนสนิทถึงขั้นที่เรียกชื่อเล่นกันได้
ข้าเห็นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าบุคลิกของเอมิต้องเป็นที่ชื่นชอบของเจ้าหญิงองค์นี้แน่ แตกต่างจากผู้หญิงคนนั้นที่มักจะถูกเกลียดจากเพศเดียวกันตั้งแต่แรกพบ ยิ่งในตอนนี้เธอคนนั้นไม่สามารถหาน้ำหอมได้อีกแล้ว
เจ้าหญิงร่างทรงคือผู้ที่เป็นคนกลางระหว่างเทพแห่งไฟ เทพเจ้าผู้ปกปักดินแดนแห่งนี้ ข้าได้รับอนุญาตให้เข้าพบทันทีที่นางรับเรื่องจากน้องสาว แต่สาเหตุหลักจะเป็นเพราะจดหมายแนะนำฉบับนั้น หัวหน้าหมู่บ้านดวอร์ฟที่ข้าช่วยไว้แท้จริงแล้วเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เจ้าหญิงร่างทรงแอบมีใจให้ ซึ่งข้าต้องช่วยทั้งสองสานสัมพันธ์ เป็นแม่สื่อระหว่างนางกับหัวหน้าหมู่บ้านคนดังกล่าว เหตุการณ์นี้ในเกมจะถูกเรียกว่าเควสหวานหมู เพราะแค่ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันก็ได้รับอุปกรณ์สวมใส่ระดับสูงจากเทพแล้ว
ข้าถูกเรียกให้เข้าไปในวิหารเทพ และเทพที่รออยู่ด้านในของวิหารก็เอ่ยถามผ่านปากของเจ้าหญิงร่างทรงว่าต้องการเกราะศักดิ์สิทธิ์ด้วยเหตุผลใด ข้าตอบโดยไม่ลังเล
“ข้าเป็นผู้เดียวที่ได้รับคำพยากรณ์จากสิ่งเสมือนพระเจ้า ตัวตนอันยิ่งใหญ่ผู้ทรงภูมิปัญญานอกเหนือโลกใบนี้ได้ชี้ให้ข้าเห็นว่าต่อจากนี้โลกกำลังจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติแห่งหายนะ และมอบความรู้ถึงวิธีที่จะหยุดยั้งมัน”
เกราะศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพไฟไม่ได้เป็นเพียงชุดเกราะที่สร้างโดยเทพเจ้าเท่านั้น แต่มันสามารถต้านทานพลังอำนาจแห่งเทพเจ้าได้ ทัณฑ์สวรรค์ไม่อาจทะลวงผ่านถึงตัวผู้ที่สามเกราะนี้ กล่าวคือ มันเป็นพลังสำหรับผู้ที่คิดเป็นปฏิปักษ์ต่อเทพเจ้า
ดังนั้นเทพแห่งไฟจึงต้องตัดสินใจให้ดีก่อนจะมอบให้ใคร ครั้งสุดท้ายมันได้ถูกมอบให้กับผู้กล้า ชายหนุ่มที่ต้องการยับยั้งเทพธิดาที่พยายามทำลายประเทศของเขาเพียงเพราะพระสวามีของเทพธิดาองค์นั้นหลงรักมนุษย์ มันเป็นเรื่องที่ถูกเล่าไว้ในเทพนิยาย และผู้กล้าคนนั้นได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของประเทศ ซึ่งก็คือบรรพบุรุษของวิลเลียด แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับข้าอีกต่อไป
เทพแห่งไฟถามต่อว่าข้าคิดจะทำอย่างไรกับเรื่องนั้น ข้าจึงบอกนามเทพมารทั้งสองที่เป็นเป้าหมาย กับสิ่งที่ข้าจะทำ โดยใช้ความทรงจำของเอมิ
ซึ่งก็ทำให้เทพแห่งไฟไว้ใจข้าและรับปากว่าจะสร้างเกราะศักดิ์สิทธิ์ให้ ข้านำวัตถุดิบที่จำเป็นออกมามอบให้ครอบถ้วนก่อนที่ท่านเทพจะบอก แม้แต่เทพแห่งไฟก็ยังประหลาดใจ ‘ดูเหมือนคำพยากรณ์ของเจ้าจะเป็นของจริง’
และข้าก็ได้พูดเสริม
“เมื่อภารกิจชำระล้างเทพมารของข้าจบลงเมื่อใด ข้าสัญญาว่าจะนำเกราะศักดิ์สิทธิ์มาคืนให้กับท่านเทพแห่งไฟแน่นอน”
“…สมบัติศักดิ์สิทธิ์อันล้ำค่าที่ไม่มีทางหาได้อีกแล้วในโลกมนุษย์ ทำไมเจ้าถึงคิดปล่อยมือจากมันไปง่ายๆ?”
“เพราะมันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรครอบครองตั้งแต่แรก แม้ว่ามันจะไม่เกิดในชั่วชีวิตของข้าก็ตาม แต่ในภายภาคหน้ามันจะเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า เพราะฉะนั้น หากถึงยุคสมัยที่มีคนต้องการใช้มันอีกครั้ง ก็ขอให้คนผู้นั้นได้รับการพิจารณาจากท่านเทพแห่งไฟด้วยตนเอง”
“…พูดได้ดี”
สิ่งที่ข้าพูดออกไปนี้ไม่มีอยู่ในเรื่องราวของเกม แต่เป็นสิ่งที่ข้าเชื่อว่าเอมิจะทำเช่นนั้น ซึ่งก็ทำให้เทพแห่งไฟถูกใจเป็นอย่างมากและได้มอบพรคุ้มครองแห่งเทพไฟให้กับข้า เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดแต่เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์มีผลในการชำระล้างต้องมีประโยชน์สำหรับข้าแน่
เกราะศักดิ์สิทธิ์ตัวก่อนยังคงถูกเก็บไว้เป็นสมบัติของชาติ มรดกจากผู้กล้าบรรพบุรุษของวิลเลียด แต่ข้าได้คิดในมุมมองของเอมิ จึงเชื่อว่าส่งคืนให้มันถูกเก็บไว้ในแดนเทพจะเหมาะสมกว่า ซึ่งก็เป็นเรื่องหลังจากการแก้แค้นของข้าสำเร็จแล้ว
ข้าสวมเกราะศักดิ์สิทธิ์อันสง่างาม ลวดลายสีน้ำเงินบนพื้นผิวสีทอง ชุดเกราะที่ถูกทำมาสำหรับข้าเท่านั้น ข้าเดินข้าไปในโบราณสถานแห่งหนึ่งโดยไม่เกรงกลัวอันตราย และใช้กุญแจที่รวบรวมมาได้เปิดประตูสวรรค์ มุ่งหน้าสู่ปราสาทสีขาวที่อยู่ไกลออกไป กลางสระน้ำขนาดใหญ่ในสวนมีดอกบัวซึ่งเป็นเทพธิดาบุตรสาวองค์สุดท้ายของเทพแห่งการสร้าง เทพธิดาผู้น่าสงสารถูกสาปเป็นดอกบัวโดยจ้าวสวรรค์เพราะเธอปฏิเสธความรู้สึกของเขา ตามเนื้อเรื่อง เธอจะปรากฏตัวในบทสุดท้ายเพื่อช่วยนางเอกกับเหล่าสหายในการกอบกู้โลก
สถานที่ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของจ้าวสวรรค์นั้น จะไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้หากไม่มีเกราะศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาจากเทพแห่งไฟช่วยป้องกันการแทรกแซงจากพลังของของจ้าวสวรรค์ ในเกมจำเป็นต้องเตรียมวัตถุดิบให้ครบตามจำนวนคนที่ต้องการให้เข้าต่อสู้ และใช้เวลานานในการการสร้างให้ครบ แต่ข้าได้มันมาในเวลาอันสั้น นี่เป็นข้อดีของการออกเคลื่อนไหวคนเดียว
ข้าต้องกำจัดจ้าวสวรรค์ที่กลายเป็นเทพมารและช่วยเทพธิดา ตามเนื้อเรื่องเขาพูดเพ้ออยู่คนเดียวว่า ‘เทพธิดาแห่งการชำระล้างปฏิเสธข้าเพราะนางเห็นว่าโลกนี้สกปรกเกินไป’ ‘ข้าจะจมโลกทั้งใบลงใต้น้ำ ล้างทุกสรรพสิ่งให้กลับสู่ความว่างเปล่า อนุญาตให้เหลือไว้แต่สิ่งที่สวยงาม โลกอันโสมมจะกลับมาบริสุทธิ์อีกครั้ง และนางจะรู้สึกขอบคุณข้า ตอบรับความรู้สึกของข้า’ ในสายตาของข้าเขาเป็นแค่ตาแก่หัวโบราณ ต้องการทำลายอารยธรรมด้วยความเชื่ออย่างผิดๆ และการทำลายล้างโลกของเขาก็ไม่เคยได้เริ่มต้นขึ้นจริงแม้แต่ในเกม
สำหรับข้าที่เพิ่มขีดจำกัดของพลังมาอย่างต่อเนื่อง ตัวตนของจ้าวสวรรค์ก็ถูกทำให้หายไปด้วยมนุษย์เพียงคนเดียว เทพมารผู้เห็นแก่ตัวหลงผิดในความรักต่อเทพธิดาแห่งการชำระล้างได้ถูกข้ากำจัดลงไปอย่างสิ้นซาก ไม่เหลือแม้แต่ศพ ความตายของเทพคือการสูญสลาย ไม่หลงเหลือสิ่งใดในโลกใบนี้
ข้ากลับไปหาเทพธิดาแห่งการชำระล้างที่สระน้ำ สัมผัสเธอเบาๆ ปลุกให้ตื่นจากคำสาปที่คลายออก และเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเทพแห่งการสร้าง บิดาของเธอ ขณะที่เธอถูกจองจำอยู่ที่นี่ และขอให้เธอช่วยในเรื่องต่อจากนี้ ซึ่งเทพธิดาให้ความร่วมมือกับข้าอย่างเต็มที่ด้วยตวามเต็มใจ และมอบพลังให้ข้าเพื่อการนั้น
เป้าหมายต่อไปคือการชำระล้างเทพแห่งการสร้าง การเดินบนเส้นทางของหญิงสาวแห่งดวงดาวของข้าจบลงเพียงเท่านี้ แต่ข้ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องทำในฐานะ ‘เรมิเลีย’
ทุกครั้งที่เทพแห่งการสร้างใช้พลังจะมีมลพิษแห่งความเสื่อมโทรมก่อตัวขึ้นบนโลก เมื่อลูกสาวคนสุดท้องผู้มีพลังชำระล้างได้หายตัวไป เทพแห่งการสร้างก็ถูกความเสื่อมโทรมเข้าครอบงำและร่วงหล่นกลายเป็นเทพมาร เหตุผลที่เธอเป็นดอกบัวอาจเป็นเพราะในโลกของเอมิ ดอกบัวมีความหมายว่าความบริสุทธิ์
หลังจากข้าได้รับความไว้วางใจจาก ‘เร็นเงะ’ ผู้ที่ได้รับพลังของเทพธิดากลับคืนมา ข้ากลับออกจากแดนสวรรค์เพราะธุระของข้าที่นี่จบลงแล้ว ด้านหลังปราสาทมีดันเจี้ยนที่มีเครื่องป้องกันระดับสูง แต่ข้าก็ไม่สนใจเพราะมันเป็นของเฉพาะสำหรับหญิงสาวแห่งดวงดาว ข้าไม่ต้องการให้ ‘เรมิเลีย’ สวมใส่ของเหล่านั้น
หรือต่อให้ต้องการ ข้าก็ไม่คิดว่าจะสวมใส่มันได้ เพราะรูปร่างของพวกเราแตกต่างกันเกินไป ข้าไม่ชอบให้มีอะไรมารัดตรงหน้าอกให้อึดอัด