Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ - ตอนที่ 1980 พฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธปรากฏ
- Home
- Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์
- ตอนที่ 1980 พฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธปรากฏ
ตอนที่ 1980 พฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธปรากฏ
อสนีบาตผ่าลงมาอย่างรุนแรง โดยกลิ่นอายของมันสามารถทําให้สรรพสิ่งตัวสั่นด้วยความหวาดผวา
อย่างน้อยก็หลิงฮันคนนึง ที่รู้สึกว่าถ้าหากโดนอสนีที่ว่าผ่าเข้าใส่ ชีวิตของเขาจะต้องดับสิ้นเป็นแน่
“นี่มันทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์!” หลิงฮันกล่าว
เพียงแต่ไม่มีใครที่กําลังทะลวงผ่านระดับเลยแท้ๆ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้มีทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ผ่าลงมาได้ แถมอํานาจของสายฟ้ายังรุนแรงเป็นอย่างมากอีกด้วย
“พฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธ!” ทั้งสี่กล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียง
พวกเขาแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่สิ่งเดียวที่พบก็คือเมฆหมอกอันหนาทึบ
หลิงฮันสูดหายใจลึก เขาควบแน่นพลังไปทั่วร่าง พร้อมกับนําดาบอสูรนิรันดร์ออกมาสั้นขึ้นใส่ท้องฟ้า
“ครืนนน” คลื่นดาบที่อัดแน่นไปด้วยปราณพิฆาต ทะลวงผ่านขึ้นไปยังชั้นอากาศ
หมู่เมฆถูกผ่าแยกออก และปรากฏท้องฟ้าอันสว่างไสว เพียงแต่ก้อนเมฆนั้นก็ราวกับมีชีวิต พวกมันเคลื่อนที่กลับมาผสานรวมเข้าด้วยกันใหม่อย่างรวดเร็ว และหุบเขาได้ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศมืดทะมึนอีกครั้ง
แต่ระยะเวลาชั่วขณะเมื่อครู่ ก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้พวกหลิงฮันทั้งสี่คนมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือเมฆได้อย่างชัดเจน
ท่ามกลางท้องฟ้าเหนือก้อนเมฆ ได้ปรากฏยอดของต้นไม้ขนาดมหึมาเกินจะพรรณนา ซึ่งตําแหน่งของพวกเขาในตอนนี้ ก็คือด้านล่างของยอดไม้ต้นนั้น
ไม่น่าแปลกใจที่ทําไมถึงมีทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เกิดขึ้น ที่แท้พวกเขาก็อยู่ใต้ พฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธนั่นเอง
“จากยอดไม้ที่เห็นเมื่อครู่ ตําแหน่งลําตรงของมันควรอยู่ทางนั้น” หลิงฮันชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“เอาล่ะ มุ่งหน้าไปกันเถอะ”
ทั้งสี่คนออกเดินทางต่อไปยังทิศทางที่ว่า พวกเขาใช้เวลากว่าเจ็ดวัน ก่อนที่เบื้องหน้าจะปรากฏลําต้นของต้นไม้ ที่ทั่วลําต้นเป็นสีดําทมิฬ
ช่างใหญ่โตอะไรอย่างนี้
นี่คือพฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธ
พวกเขายืนกันอยู่ที่ใต้ต้นพฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธ ทั้งๆ ที่พวกเขายืนอยู่ใต้ยอดของมันมา ตั้งแต่เมื่อเจ็ดวันก่อนแท้ๆ แต่กว่าจะเดินมาถึงลําต้นของมันก็ยังต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพฤกษาบรรพบุรุษต้นนี้ใหญ่โตขนาดไหน
หลิงฮันยื่นมือออกไปสัมผัสกับลําต้น พริบตานั้นเอง คลื่นอสนีสีขาวอันทรงพลังก็ส่องประกายและผลักร่างของเขาลอยกระเด็น
“หลิงฮัน เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า!” ฮูหนิวรีบวิ่งไปดู
“ไม่มีปัญหา” หลิงฮันพยุงตัวลุกขึ้นยืน แม้เขาจะกล่าวออกไปว่าไม่เป็นอะไร แต่ร่างกายกลับสั่นระริกไม่หยุด ไม่อาจประมาทพลังของพฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธได้จริงๆ ถึงแม้พลังทําลายเมื่อครู่จะไม่รุนแรงพอที่จะสังหารเขา แต่มันก็ทําให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน จนรู้สึกกระอักกระอ่วน
“มาเริ่มกันเลย พวกเจ้าทุกคนลองดูว่าใครกัน จะเป็นคนที่ได้ครอบครองแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพีตรงหน้านี้” หลิงฮันกล่าว
เขาต้องการพฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้เห็นแก่ตัว ถึงขนาดไม่ยอมมอบโอกาสให้ผู้อื่น
สตรีทั้งสามพยักหน้า ก่อนจะแยกย้ายไปกันยืนเผชิญหน้ากับพฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธ
หลิงฮันเองก้าวเดินขึ้นหน้า และโคจรทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ในเมื่อทักษะนี้เป็นทักษะบ่มเพาะระดับมหาปราชญ์สวรรค์ ที่อยู่เหนือวิถีนับหมื่น มันก็สมควรจะดึงดูดแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพีได้เป็นอย่างดี
“พรึบ” ร่างของคนทั้งสี่ส่องประกายแสงเจิดจ้า ตราประทับแห่งเต๋แต่ละอันปรากฏขึ้นบนร่างของพวกเขา เพื่อดึงดูดพฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธ
พฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธไม่ตอบสนองใดราวกับเป็นเพียงต้นไม้ธรรม
เพียงแต่ทั้งสี่คนไม่คิดจะยอมแพ้ ตราบใดที่พฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธยังอยู่ตรงหน้า พวกเขาก็ยังมีโอกาสอยู่
พวกเขาพยายามต่อไป จนเมื่อเวลาผ่านไปอีกสองสามวัน ลําต้นของพฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธก็มีตราประทับส่องแสงออกมา และปกคลุมไปทั่วลําต่ำ
ตอบสนองแล้ว!
“ตูม” เพียงแต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ คลื่นพลังอันเย็นยะเยือกก็พุ่งออกมาจากด้านหลัง และทะลวงเข้าหาพวกเขาทั้งสี่คน
หลิงฮันเค้นเสียงและปล่อยหมัดเข้าตอบโต้
“ปัง” คลื่นพลังเย็นยะเยือกสลายไปทันที แต่ในขณะเดียวกัน ตราประทับบนลําต้นพฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธ ก็หม่นแสงลงเช่นกัน ลําต้นของมันสั่นไหวจนส่งผลให้พื้นดินสั่นสะเทือน ราวกับมันกําลังต้องการจะลอยหนีไป
หลิงฮันเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก เมื่อหันหลังกลับไป เขาก็พบเจอจอมยุทธหกคนยืนอยู่
ซูหย่าหรงและอัจฉริยะคนอื่นๆ ของอาณาเขตสวรรค์กว่างล๋ง
ช่างน่ารังเกียจอะไรอย่างนี้ คนเหล่านี้ทําให้ความพยายามของพวกหลิงฮันสลายหายไปในพริบตา แถมพฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธยังเกือบหนีหายไปอีก
หลิงฮันไม่รังเกียจที่จะรับคําท้าทาย แต่การท้าทายด้วยวิธีลอบกัดเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เขารู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมาก
“รนหาที่ตาย!”
เขาลงมือโจมตี ในเมื่อคนเหล่านี้กล้าแทรกแซง พวกเขาก็ต้องเตรียมใจยอมรับ ความเกรี้ยวกราดของเขาเอาไว้ด้วย
“พรึบ แผ่นหลังของหลิงฮันปรากฏบกเปลวเพลิงสองข้าง ดาบอสูรนิรันดร์ถูกนําออกมา พร้อมกับปลดปล่อยทักษะเก้าดาบพินาศสวรรค์
ซูหย่าหรงเค้นเสียง และผลักฝ่ามือตอบโต้
คนอื่นๆ เองก็ลงมือ เมื่อมีฮูหย่าหรงคอยช่วยรั้งหลิงฮันเอาไว้ให้ พวกเขาก็มีความมั่นใจขึ้นมาทันที
“เอางั้นรึ?” หลิงฮันแสยะยิ้ม และโคจรแก่นกําเนิดนิรันดร์เปลวเพลิง “ครืนน” คลื่นแสงเปลวเพลิงพุ่งทะยานขึ้นไปถึงชั้นฟ้า และร่างของเขาได้ถูกปกคลุมไปด้วยเพลิงอัคคี อํานาจอันทรงพลังที่เหนือจะพรรณนาพรั่งพรูออกมาจากร่างของเขา
“ไม่ดีแล้ว พวกเจ้ารีบล่าถอย!” ซูหย่าหลงตะโกนออกมา
“คิดว่าจะหนีพ้น?” หลิงฮันแสยะยิ้ม พร้อมกับระเบิดพลังของแก่นกําเนิดนิรันดร์ออกมาถึงขีดสุด “ตูมมม” คลื่นเปลวเพลิงอันร้อนระอุแพร่กระจายไปทั่วสารทิศ โดยมีร่างของเขาเป็น จุดศูนย์กลาง
นี่คือการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของแก่นกําเนิดนิรันดร์ ที่ต่อให้เป็นหลิงฮันก็ใช้ได้เพียงครั้งเดียวในชั่วระยะเวลาหนึ่ง
เมื่อเปลวเพลิงค่อยๆ สลายไป ร่างของหลิงฮันก็กลับมาปรากฏให้เห็นอีกครั้ง เขายืนพาดสองมือไว้ด้านหลัง โดยที่เบื้องหน้าปรากฏร่างของคนเพียงผู้เดียว ที่ต้านทานการโจมตีของเขาได้
แน่นอนว่าร่างที่ว่าย่อมเป็นซูหย่าหรง
เพียงแต่สภาพของนางก็น่าอนาถเป็นอย่างมาก ชุดสวมใส่ทั้งหมดของนางถูกแผดเผาไม่เหลือแต่ก็มีอักขระมากมายปกคลุมผิวเอาไว้แทนเสื้อผ้า
นางหอบหายใจรวยริน เส้นผมบนหัวของนางถูกแผดเผาไปกว่าครึ่ง โดยที่ไม่เหลือความสง่างามที่เคยมีเลยแม้แต่น้อย
ส่วนจอมยุทธคนอื่นๆ – ถูกแผดเผาไปแล้วไม่เหลือซาก!
ซูหย่าหรงคํารามใส่ท้องฟ้า ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดอย่างถึงที่สุด แต่เดิมอาณาเขตสวรรค์กว่างสิ่งนั้นมีอัจฉริยะอยู่มากมาย เพียงแต่นอกจากอัจฉริยะเหล่านั้นจะถูกจี่อู๋หมิงกลืนกินไปก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้อัจฉริยะที่เหลืองยังถูกหลิงฮันสังหารอีก
อัจฉริยะเหล่านี้คือความรุ่งโรจน์ของอาณาเขตสวรรค์กว่างสิ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้
“รุ่นเยาว์โง่เขลาที่ไม่มองภาพรวมเป็นสําคัญ” ซูหย่าหรงกล่าว ในความคิดของนาง ทุกการกระทําจะต้องให้ความสําคัญกับการต่อต้านพายุมืดมาก่อนเป็นอันดับแรก นางจึงไม่อาจปล่อยให้อัจฉริยะระดับแนวหน้าตายได้ เพราะแต่ละคนมีศักยภาพ จะบรรลุกลายเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้า
การที่หลิงฮันปลิดชีพอัจฉริยะเหล่านี้ ก็เปรียบเสมือนการดับอนาคตดินแดนแห่งเซียน ซึ่งนั่นทําให้นางไม่อาจอดกลั้นความเกรี้ยวกราดเอาไว้ได้อีกต่อไป