Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ - ตอนที่ 2040 ช่างบังเอิญ
- Home
- Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์
- ตอนที่ 2040 ช่างบังเอิญ
ตอนที่ 2040 ช่างบังเอิญ
อาณาเขตสวรรค์ผ่อนในดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตก มีระดับวรยุทธอยู่ในช่วงกลางไปถึงสูง ทําให้มีขุมอํานาจราชานิรันดร์มากมายอยู่ที่นี่ แต่สถานที่ที่มีชื่อมากที่สุดก็หนีไม่พ้นเมืองร้อยมังกร
เมืองแห่งนี้เป็นขุมอํานาจสาขาย่อยที่สําคัญของหอโอสถบรรพกาล ทําให้ทุกครั้งที่มีการแข่งขันเกี่ยวกับศาสตร์ปรุงยาจึงต้องจัดขึ้นที่นี่
เรือดําผืนปฐพีเคลื่อนที่กลับขึ้นมาบนดินห่างจากเมืองร้อยมังกรราวๆ สิบไมล์ เพราะหากเคลื่อนที่ผ่านใต้ปฐพีไปไกลกว่านี้ พวกเขาจะถูกนับว่าเป็นผู้บุกรุก และถูกรูปแบบอาคมคุ้มกันของเมืองร้อยมังกรโจมตี
ฟู่เยว่เก็บเรือดําปฐพี และหลิงฮันน้ําทุกคนออกมาจากหอคอยทมิฬ กลุ่มของพวกเขามุ่งหน้าเดินต่อไปยังเมืองร้อยมังกรที่อยู่ห่างไปสิบไมล์
การจะเข้าเมืองจําเป็นต้องจ่ายค่าผ่านทางเสียก่อน
เมืองร้อยมังกรไม่ใช่แค่เมืองศูนย์รวมศาสตร์วรยุทธ แต่ยังเป็นเมืองศูนย์รวมศาสตร์ปรุงยาด้วย เพราะงั้นไม่เพียงจอมยุทธที่เดินทางมาที่นี่ แต่เหล่าพ่อค้ามากมายเองก็มาเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ค่าผ่านทางเข้าเมืองจึงแพงเป็นอย่างมาก
หนึ่งคนต่อหนึ่งร้อยศิลาดวงดาว และจําเป็นต้องรับการตรวจสอบอุปกรณ์มิติด้วย หากมีการตรวจพบการลักลอบคนเข้าเมืองเกิดขึ้น คนที่ฝ่าฝืนกฎจะต้องถูกสังหาร!
กฏของเมืองเข้มงวดมาก แต่พวกเขาก็มีสิทธิ์จะทําเช่นนั้น เพราะหอโอสถบรรพกาลมีนักปรุงยาห้าดาวอยู่สิบคนเป็นอย่างน้อย ด้วยอํานาจที่ล้นมือเช่นนี้ ใครกันจะกล้าคัดค้านกฏที่พวกเขา
หลิงฮันจ่ายค่าผ่านทางและเข้าสู่เมือง
มีคํากล่าวว่าเมืองแห่งนี้มีมังกรนิรันดร์นับร้อยถูกฝังอยู่ ซึ่งแม้คํากล่าวนี้จะเป็นเพียงตํานานที่เล่าขาน แต่หลายครั้งก็มีคนเห็นเงาของมังกรขนาดมหึมาพุ่งทะยานออกมาจากพื้นดินขึ้นสู่ท้องฟ้า
บางทีเพราะเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ถึงได้มีตํานานเรื่องเล่าว่ามีมังกรนับร้อยถูกฝังอยู่ที่นี่
“อย่างแรกไปหาที่พักกันก่อนที่กว่า”
ในเมืองแห่งนี้สถานะนายน้อยของฟู่เยว่ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป เพราะมีนายน้อยมากมายเช่นเขาอยู่ที่นี่เช่นกัน
“พี่ชายหลิง อย่าไปยุ่งเรื่องของใครเข้าล่ะ” ฟู่เยว่เตือนหลิงฮัน
การจะไปยุ่งเรื่องคนอื่นนั้นจําเป็นต้องดูกําลังของตนเองเสียก่อน ซึ่งเกรงว่าที่นี่คงมีเรื่องมากมายที่เกินกว่ากําลังของพวกเขาจะเข้าไปยุ่มย่ามได้
หลิงฮันหัวเราะ การห้ามไม่ให้ยุ่งเรื่องคนอื่นนั้นยากที่จะตอบว่าทําได้หรือไม่ บางครั้งเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า จิตใจมันก็สั่งให้ลงมือเองอย่างไม่อาจควบคุมได้
พวกเขาหาโรงเตี้ยมที่จะพักได้ไม่ยาก และเนื่องจากฮูหนิวเป็นหญิงสาวจอมตะกละ จุดหมายที่สองของพวกเขาแน่นอนว่าต้องเป็นร้านอาหาร
โรงเตี้ยมแห่งนี้มีร้านอาหารของตนเองอยู่ด้วย แต่เพราะการประลองร้อยมหามังกรและการแข่งขันศาสตร์ปรุงยาที่ใกล้จะเริ่มขึ้น เมืองแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยผู้คน ทําให้ยากที่จะจองห้องอาหาร
“แขกทุกท่าน ห้องอาหารของเราเต็มหมดแล้ว” บริกรคนหนึ่งกล่าวกับพวกหลิงฮัน
“ไร้สาระ ห้องนั้นยังว่างอยู่เลยไม่ใช่รึไง?” ฮูหนิวกล่าวพร้อมกับชี้ไปยังห้องอาหารห้องหนึ่ง ที่บังเอิญเปิดประตูอยู่พอดี ทําให้เห็นความว่างเปล่าด้านในได้ชัดเจน
“ ห้องนั้นได้ถูกจองเอาไว้แล้ว” บริกรคนเดิมรีบกล่าวตอบ
“ในเมื่อคนจองยังไม่มา งั้นก็ให้พวกเราเข้าไปใช้ก่อนสิ เมื่อถึงเวลาพวกเราจะคืนห้องให้ทันที” ฟู่เยว่ยื่นข้อเสนอ
“เรื่องนั้น” บริกรของร้านครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและกล่าว “ข้าจะให้พวกท่านใช้ห้องอาหารห้องนั้นก็ได้ แต่หากถึงเวลาพวกท่าต้องออกจากห้องทันที และอย่าทําให้ข้าลําบาก”
“แน่นอนแน่นอน” ฮูหนิวพยักหน้า ตอนนี้นางอยากจะนําอาหารเข้าท้องเต็มที่แล้ว
กลุ่มของพวกเขาเดินเข้าห้องอาหาร โดยที่เวลาผ่านไปไม่นานสุราและอาหารเลิศรสต่างๆ ก็ถูกนํามาวาง
สมกับเป็นเมืองร้อยมังกร ที่นี่มีแม้กระทั่งเมนูอาหารเนื้อของสัตว์อสูรนิรันดร์ให้สั่ง ตราบใดที่มีเงินมากพอ ต่อให้เป็นเนื้อของสัตว์อสูรระดับตําหนักอมตะก็สามารถสั่งมากินได้
สําหรับจอมยุทธ เนื้อของสัตว์อสูรระดับตําหนักอมตะ ไม่เพียงให้ความอร่อยแต่ยังเป็นบํารุงที่ช่วยเสริมความเข้าใจในอํานาจแห่งกฎเกณฑ์ด้วย
ฟู่เยว่เป็นนายน้อยผู้มั่งคั่ง เพราะงั้นเขาจึงสั่งเนื้อของสัตว์อสูรนิรันดร์มากิน โดยเป็นถึงเนื้อของสัตว์อสูรระดับตําหนักอมตะ
อาหารจานนี้ผลาญเงินของเขาไปเกือบหนึ่งล้านศิลาดวงดาว และเมื่ออาหารถูกนํามาวางบนจานก็มีเพียงเนื้ออยู่เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
“มันอร่อยหรือไม่นั้น หนิวจะลองให้เอง” ฮูหนิวเป็นคนแรกที่ใช้ตะเกียงคีบลงจาน
“ข้าเองก็จะช่วยลองให้ด้วย” หลิงฮันใช้ตะเกียงคีบตามโดยไม่ไถ่ถามขออนุญาตฟู่เยว่ เขาคีบเนื้อไปยังจักรพรรดินีก และสตรีนกอมตะก่อน ถึงจะคืบเนื้อมายังจานของตัวเอง
ธิดาโร๋วไม่มีใครคีบให้ นางจึงทําได้เพียงคีบเนื้อด้วยตัวเอง
เสี่ยวกู่นั้นต้องการเรียนรู้ทุกอย่าง เพราะงั้นมันเองก็รีบใช้ตะเกียบคีบตามอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นภาพของตะเกียบที่เคลื่อนไหวไปมาตรงหน้า ฟู่เยว่ก็ต้องตกตะลึงเพราะพบว่าจานอาหารของตนเองว่างเปล่าเสียแล้ว
บัดซบ ข้ายังไม่ทันได้ขยับตะเกียบเลยแม้แต่นิดเดียว
ศิลาดวงดาวเกือบล้านก้อนของเขา ราวกับถูกทิ้งลงไปในแม่น้ําอย่างสูญเปล่า
“แขกทุกท่าน รีบๆ เตรียมตัวออกเร็วเข้า แขกคนที่จองไว้กําลังมาแล้ว” ทันใดนั้นเอง บริกรคนก่อนหน้าก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้ารีบร้อน
ในเมื่อรับปากเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว พวกหลิงฮันย่อมคัดค้านไม่ได้และทําได้เพียงลุกขึ้นยืน เพื่อเดินออกไป สําหรับอาหารที่เหลือนั้นไม่มีความจําเป็นต้องกังวล เพราะมีจอมตะกละที่จะเก็บทุกอย่างกลับไปด้วยอยู่ด้วย
พวกเขาเดินออกมาจากห้องอาหาร แต่ทันทีที่เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว พวกเขาก็เห็นคนเจ็ดคนกําลังเดินเข้ามาใกล้ โดยที่ทั้งเจ็ดคนล้วนแต่เป็นบุรุษรุ่นเยาว์
“หืม!”
หนึ่งในนั้นมองมายังพวกหลิงฮัน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และร่างกายเริ่มสั่นเครีอ
“มีอะไรงั้นรีเสี่ยวหร่วน? หรือเจ้าเล่นสนุกหนักเกินไปเมื่อคืน ขาเลยอ่อนแรง?” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างหัวเราะ
หลิงฮันกวาดสายตามอง และก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าโลกนี้ช่างแคบยิ่งนัก
คนผู้นี้… หร่วนตง
“เจ้า เจ้า เจ้า” หร่วนตงยกนิ้วขึ้นมาชี้อย่างสั่นเครือ สีหน้าของเขาปรากฏทั้งความโกรธและความหวาดกลัว
นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาถูกฟู่เยวสังหารไปแล้วหนึ่งครั้ง ความหวาดกลัวย่อมกัดกินอยู่ในใจ
“เสี่ยวหร่วน มีอะไรงั้นรึ?” รุ่นเยาว์ชุดเขียวถามด้วยน้ําเสียงหนักแน่น ก่อนจะเดินขึ้นหน้ามาโดยมีรุ่นเยาว์คนอื่นอีกหกคนตามหลัง
“เมื่อไม่กี่เดือนก่อน คนเหล่านี้สังหารร่างวิญญาณของข้า!” หร่วนตงกล่าวอย่างเคียดแค้น “ในตอนนั้นข้ากําลังไล่ตามคู่หมั้นและชู้รักของนางอยู่ แต่ก็ถูกคนเหล่านี้ขวางทางเอาไว้ และถูกคนผู้นั้นสังหารร่างวิญญาณ”
เขาชี้นิ้วไปยังฟู่เยว่
เมื่อรับรู้เรื่องราว รุ่นเยาว์ชุดเขียวและรุ่นเยาว์อีกหกคนก็ชะงัก ใครจะไปคิดว่าพวกหลิงฮันจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ ไม่เพียงแค่พวกเขาจะปกป้องชายชู้ แต่ยังสังหารร่างวิญญาณของผู้เคราะห์ร้ายอย่างฟู่เยว่ด้วย
“ฮ่าๆๆ ไม่คาดคิดว่าจะมีคนแบบนี้อยู่บนโลกด้วย” รุ่นเยาว์ชุดม่วงก้าวเดินออกมา สายตาของเขาจดจ้องไปยังกลุ่มของหลิงฮัน พร้อมกับกล่าวอย่างเหยียดหยาม “พวกเจ้าทุกคนทําลายร่างวิญญาณของตนเองและไสหัวไปซะ”
“แต่!” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะชี้นิ้วไปที่ฟู่เยว่ “เจ้าต้องอยู่ต่อ!”