Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ - ตอนที่ 2067 สีสุดยอดจักรพรรดิเคลื่อนไหว
- Home
- Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์
- ตอนที่ 2067 สีสุดยอดจักรพรรดิเคลื่อนไหว
ตอนที่ 2067 สีสุดยอดจักรพรรดิเคลื่อนไหว
เมื่อกลับมาถึงเมืองชิงหลง หลิงฮันไปถามคนในเมืองอีกครั้ง และตระหนักได้ว่าตนเองถูกปั่นหัวเล็กน้อย
จริงอยู่ที่ผงกระดูกมังกรสวรรค์นั้นสามารถพบได้ที่หุบเขา แถมยังเป็นสถานที่ที่ค้นหาผงกระดูกมังกรสวรรค์ได้ง่ายที่สุดอีกด้วย แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับเวลา
ในช่วงท้ายปีจะมีเวลาสามวันที่สายลมของหุบเขาจะหยุดนิ่ง ทําให้ง่ายต่อการเก็บก้อนหินเพื่อหาผงกระดูกมังกรสวรรค์
หลิงฮันถอนหายใจ ระยะเวลาสามวันที่สายลมจะหยุดนิ่งนั้นไม่ใช่ช่วงเวลาในตอนนี้ แถมการประลองเพื่อเผ่าทั้งเจ็ดก็ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว เพราะงั้นวาสนานี้จึงไม่ใช่ของพวกเขา
เรื่องที่หลิงฮันและจ่อหมิงปะทะกับจักรพรรดิทั้งสี่แพร่กระจายไปทั่วในหมู่จอมยุทธจากภายนอก ในตอนแรกไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เชื่อ แต่เมื่อข่าวที่หลังชั้นกับจีอู่หมิงสามารถเหยียบย่าไปยังเส้นทางแห่งเต๋าสวรรค์สูงสุดได้ถูกกล่าวออกมา ใครหลายคนก็เชื่อในทันที
เส้นทางแห่งเต๋สวรรค์สูงสุดคือสะพานมังกรที่ไม่มีใครเลยก้าวไปถึงมาก่อน ในอดีตอัจฉริยะที่สามารถบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับแปดได้ ล้วนแต่เคยเป็นคนที่ก้าวไปยังเส้นทางมังกรสีทองได้สําเร็จ เพราะงั้นแล้วการที่สามารถก้าวไปยังเส้นทางแห่งเต๋สวรรค์สูงสุดได้จะหมายความว่าอย่างไร? มันหมายความว่าคนผู้นั้นมีโชคชะตาที่จะกลายเป็นราชานิรันดร์ระดับเก่า
เพียงแต่ว่าพลังของสุดยอดจักรพรรดิทั้งส์นั้นฝังลึกลงไปอยู่ในจิตใจของทุกคนแล้ว จึงยังมีคนมากมายที่ปฏิเสธความจริง และเชื่อว่าเรื่องนี้มีเจตนาซ่อนเร้นที่ต้องการจะสั่นคลอนความเป็นผู้นําพันธมิตรของจักรพรรดิทั้งสี่
หลิงฮันคิดจะทําหน้าที่เป็นผู้นําพันธมิตรที่ก่อตั้งขึ้นอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาจึงไม่แยแสที่จะทําการโต้แย้งใดๆ และปล่อยให้คนอื่นๆโต้เถียงกันไปเอง
สามวันต่อมาจักรพรรดิทั้งสี่ตัดสินใจเลือกเผ่าที่จะร่วมมือด้วยได้ในที่สุด โดยที่อีกหนึ่งวันให้หลัง หลิงฮันได้พบว่าชื่อของเขากับพวกจักรพรรดินี้ไม่ได้ถูกตกลงเข้าร่วมกับเผ่าไหนๆ เลย
หากไม่มีข้อตกลง พวกเขาก็ไม่สามารถสู้เพื่อเป็นตัวแทนของเผ่าใดเผ่าหนึ่งได้
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
เขาไปถามดูและพบว่าตัวเขา พวกจักรพรรดินี้และจีอู่หมิงถูกขับไล่ออกจากพันธมิตร
เหอะๆ
หลิงฮันหัวเราะทันทีที่รู้เรื่อง พวกเทียนชิงเต่ทั้งสี่คนคิดจะใช้การประลองเพื่อเผ่าต่างๆ ในการโต้ตอบเขากับจ่อหมิงงั้นรี?
หลิงอันส่ายหัว ไม่ว่ารู้แผนการนี้เป็นความคิดของใครแต่คิดว่ามันจะได้ผลงั้นรึ? ถ้าหากสุดท้ายเขากับจีอู่หมิงยังคงเลือกที่จะทําข้อตกลงกับเผ่าเดียวกับพวกเทียนชิงเย่ แผนการของทั้งสี่ก็จะกลายเป็นไร้ความหมายไม่ใช่รึไงกัน?
เพียงแต่หลังจากหลิงฮันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจขอไม่เลือกทําข้อตกลงกับเผ่าเดียวกันกับทั้งสี่คน
ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนี้… แค่เกียรติของเขาไม่ยอมให้ท่าแบบนั้น!
ยิ่งกว่านั้นเขาก็ลองคิดถึงค่าพูดของคนเก่าแก่ที่ตู้เสาจขึ้นเคยกล่าวถึงดู การเข้าร่วมกับฝ่ายที่แข็งแกร่งไม่ใช่ว่าจะชนะเสมอไป”
“หลิงฮัน พวกเราไปทะลวงรูทวารของพวกนั้นกัน!” ฮูหนวกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดและแกว่งกําปั้นเล็กๆ เพราะหลิงฮันมักจะเอาแต่ห้ามนางเอาไว้ตลอด นางจึงโหยหาอย่างจะลองทะลวงรูทวารของใครสักคนเป็นอย่างมาก
หลิงฮันเหงื่อตก เขารู้สึกเสียใจที่ดันไปเคยระเบิดรูทวารของศัตรูให้ฮูหนิวเห็น ทําให้จิตใจของเด็กสาวเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน
“ก็ได้ แต่ถ้าหากจะทะลวงก็อย่างลืมใช้ของที่เป็นแท่งด้วย” หลิ้งฮันกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ตกลง!” ฮูหนิวดีใจและตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เรื่องนี้ทําให้ทั้งจักรพรรดินีและธิดาโร่วเหงื่อไหลออกมา นั่นคือสิ่งที่สมควรพูดตักเตือนงั้นรึ?
พวกเขามุ่งหน้าไปหาเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าในเมืองชิงหลง ไม่ว่าเผ่าแต่ละเผ่าจะมีตัวแทนหรือไม่ก็ตาม แต่หากต้องทําข้อตกลงกัน ผู้อาวุโสของเผ่าก็ต้องเป็นคนมาพูดคุยด้วยตนเอง
เมื่อทั้งสี่มาถึงวิหาร พวกเขาก็พบเห็นเทียนชิงเย่และสุดยอดจักรพรรดิอีกสามคนที่หน้าประตู แต่ละคนต่างมองมาที่กลุ่มพวกเขาด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
“หลิงฮัน พวกเราเลือกทําข้อตกลงกับเผ่าหยวนเกี่ย” จู่ๆเทียนชิงเต่ก็เอ่ยขึ้นมา
หมายความว่าอย่างไรกัน?
หลิงฮันเข้าใจได้ไม่ยาก ที่จู่ๆก็จงใจมาบอกถึงเผ่าที่ตนเองเข้าร่วมด้วยเช่นนี้ คือวิธีการยั่วยรูปแบบหนึ่งนั่นเอง
เจ้ายังจะหน้าด้านเลือกเผ่าเดียวกับพวกข้ารีเปล่า?
เพราะอย่างไรก็มีจอมยุทธจากภายนอกอยู่ถึงหลายร้อยคน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปิดข้อมูลเรื่องนี้อยู่แล้ว พวกเขาจึงเลือกที่จะพูดออกมาด้วยตัวเอง
“เจ้าตัวอัปลักษณ์ คอยก่อนเถอะ เดี๋ยวฮูหนิวจะทุบตีพวกเจ้าให้เละเลย!” ฮูหนิวต้องเขม็งแล้วกล่าว
พวกเทียนชิงเต่ทั้งสี่เผยสีหน้าเหยียดหยาม พวกเขารู้แล้วว่าฮูหนิวจักรพรรดินีเองก็กระตุ้นสะพานมังกรสีทองได้เช่นกัน นั่นหมายความว่าพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธของพวกนางเทียบเท่ากับพวกเขา แต่ด้วยพลังบ่ม เพาะที่ต่างกันถึงสามระดับย่อย ไม่ว่าพวกเขาคนใดก็สามารถกําราบฮูหนิวกับจักรพรรดินี้ได้อย่างราบคาบ เพราะ งั้นพวกเขาจึงไม่แยแสสตรีทั้งสองนี้
เพียงแต่ทันใดนั้นสีหน้าเหยียดหยามของพวกเขาก็หายไปทันที ไม่ใช่เพราะเห็นฮูหนิวที่กําลังแยกเขี้ยวยิงฟัน แต่เป็นเพราะเห็นรุ่นเยาว์ชุดขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามา
จ่อหมิง!
คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานที่ไม่อาจเมินเฉยได้ เพียงแค่ในด้านการโจมตีเพียงอย่างเดียว ในยุทธภพนี้หาใครจะเทียบกับเขาได้แล้ว
“หลิงฮัน เจ้าสนใจจะร่วมมือกับข้าเพื่อสังหารสวะเหล่านี้หรือไม่?” จ่อหมิงแสยะยิ้มเผยฟันสีขาวที่ดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
“แน่นอน!” หลิงฮันยิ้มตอบ เขาเองอยากทุบตีสุดยอดจักรพรรดิทั้งสี่ตรงหน้านี้เช่นกัน
จ่อหมิงพยักหน้าและมองไปยังสุดยอดจักรพรรดิทั้งสี่ ดวงตาของเขาราวกับเป็นพยัคฆ์ที่จ้องมองแกะตัวน้อย ซึ่งเผยความเหยียดหยามออกมาอย่างถึงที่สุด
อย่างที่รู้กันว่าจ่อหมิงในตอนนี้ยังไม่ได้อยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะร่างวิญญาณของเขาไม่ได้เข้า มาในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ด้วย ทําให้พลังต่อสู้ที่สําแดงออกมาได้คือครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดเท่านั้น
“เมื่อถึงเวลาการประลอง พวกข้าจะลบพวกเจ้าทั้งสองให้หายไปซะ!” เสี่ยโหวถงกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูมั่นใจ
“พวกเจ้านั่นแหละล้างกันรอเอาไว้เลย ฮูหนิวจะทะลวงระเบิดก้นพวกเจ้าให้เละ!” ฮูหนิวกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา พวกเทียนชิงเย่ทั้งสี่คนก็แทบจะขาอ่อนล้มลงไปกับพื้น
ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิที่สูงส่ง สตรีผู้นี้พูดจาหยาบคายเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร? นอกจากนั้นอีกฝ่ายก็ยังเป็นสตรีที่งดงามหาใครเปรียบอีกด้วย ยากที่จะจินตนาการออกว่านางจะพูดจาแบบนี้ออกมาได้จริงๆ
“เดี๋ยวก็รู้กัน!” สุดยอดจักรพรรดิทั้งสี่ไม่เสวนาโต้เถียงอีกต่อไป
หลิงฮันยิ้มและเข้าวิหารเทพมังกรไปพร้อมกับสตรีทั้งสามคน
เนื่องจากคนส่วนใหญ่ได้ทําข้อตกลงกันไปแล้ว เผ่าทั้งเจ็ดจึงไม่ได้ให้ความสําคัญกับพวกหลิงฮันทั้งห้าคนเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะเข้าร่วมกับใด สถานการณ์ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
“ถ้างั้นเลือกเผ่าชิงถงแล้วกัน” หลิงฮันกล่าว